งดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ข้อควรระวังสำหรับผู้สูงอายุ
ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ผมมีภาระต้องดูแลผู้สูงอายุหลายท่านนะครับ
ในช่วงเช้าวันหนึ่งช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา
คุณอาท่านหนึ่งที่อยู่บ้านเดียวกับผม
ท่านเดินตกบันไดแล้วก็ล้มลงมาศีรษะฟาดพื้น ไม่รู้สึกตัว
ซึ่งในช่วง ๕ ปีก่อนหน้านี้ ผมได้เตือนคุณอาท่านนี้มาไม่ต่ำกว่า ๕๐ ครั้งแล้ว
ว่าขอให้ย้ายลงมานอนชั้นล่าง จะได้ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันได เสี่ยงต่อการล้ม
แต่คุณอาท่านนี้ดื้อมาก เธออยากจะนอนห้องนอนเดิมที่ชั้นสอง
ไม่ยอมย้ายลงมานอนในห้องชั้นล่าง ทั้ง ๆ ที่ชั้นล่างก็มีห้องนอนว่างอยู่
หลังจากที่คุณอาล้มลงมาศีรษะฟาดพื้น ไม่รู้สึกตัวแล้ว
ผมก็รีบนำท่านไปส่งที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใกล้บ้าน
คุณอาท่านนี้ไม่มีโรคประจำตัวนะครับ หายากนะครับ
ไม่เป็นความดัน เบาหวาน โรคไต หรือโรคหัวใจ ไม่ป่วยสักโรคหนึ่ง
ก่อนหน้านี้เคยพาไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล
แต่ผลตรวจออกมาปกติหมด
ท่านจึงไม่มีโรคพยาบาลที่รักษาประจำ
ผมจึงเลือกพาไปที่โรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้บ้านที่สุด
เมื่อส่งตัวคุณอาเข้าโรงพยาบาลแล้ว ทางโรงพยาบาลก็นำท่านไปอยู่แผนกฉุกเฉิน
เนื่องจากคุณอาท่านนี้ไม่มีสามีและบุตร ไม่ได้แต่งงาน
แล้วก็ไม่ได้มีทรัพย์สมบัติส่วนตัวอะไรด้วย
โดยท่านก็อยู่อาศัยกับผมที่เป็นหลานแหละครับ
ผมจึงเป็นคนที่นำส่งท่านไปโรงพยาบาล
โดยก็มีคุณอาอีกท่านหนึ่งที่เป็นน้องสาว และสูงอายุเหมือนกันไปด้วย
คุณอาท่านที่เป็นน้องสาวนี้ก็ไม่มีสามีและบุตร ไม่ได้แต่งงาน
แล้วก็อยู่อาศัยกับผมที่เป็นหลานเช่นเดียวกัน
ทีนี้ ด้วยความที่คุณอาท่านที่เป็นน้องสาวนี้ก็สูงอายุเช่นกัน
ไม่ได้ทำงานมีรายได้อะไร และไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเอกสารต่าง ๆ
ผมจึงเป็นคนลงนามในเอกสารต่าง ๆ กับทางโรงพยาบาล
และดำเนินเรื่องต่าง ๆ กับทางทางโรงพยาบาลเอง
ก่อนหน้านี้ คุณอาท่านที่ล้มนี้ก็เคยสั่งผมและคนอื่น ๆ ไว้นะครับว่า
ถ้าท่านป่วยเป็นอะไรหนัก ๆ แล้วก็ไม่ต้องรักษาอะไรนะ
โดยก็ให้ปล่อยให้ท่านไปแบบเร็ว ๆ ได้เลย
เพราะว่าท่านก็ไม่ได้มีภาระหน้าที่อะไร และไม่ได้มีห่วงอะไร
อยู่บ้านแต่ละวัน ท่านก็ไม่ได้ต้องทำงานอะไรนะครับ
โดยปกติก็คือใส่บาตรพระหน้าบ้านตอนเช้า
ระหว่างวันก็ฟังซีดีธรรมะ เดินจงกรม แล้วก็อาจจะดูโทรทัศน์บ้างเท่านั้น
ตอนที่พาเข้าโรงพยาบาล ผมก็ไม่ทราบว่าอาการท่านเป็นอย่างไร
แต่สิ่งที่ผมทำเป็นอย่างแรกก็คือ ขอเซ็นใบ Non-Resurrection ไว้ให้โรงพยาบาล
หมายถึงว่า ถ้าหากคนป่วยเกิดตายขึ้นมาแล้ว
ห้ามมิให้โรงพยาบาลปั๊มหัวใจกลับมา หรือใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ
หรือให้ยากระตุ้นเพื่อให้คนป่วยกลับมีชีวิตขึ้นมา
กรณีนี้ขออธิบายว่า ไม่ใช่ว่าผมอยากจะให้คุณอาท่านตายนะครับ
แต่เราก็ต้องยอมรับว่าแต่ละคนก็ย่อมมีอายุขัยของตนเอง ทุกคนต้องตาย
ปัญหาที่สำคัญคือ “การส่งคนป่วยให้จากไปอย่างสงบ”
โดยหากคนป่วยได้จากไปอย่างสงบด้วยดีแล้ว
เราไม่สมควรที่จะไปปั๊มหัวใจให้ฟื้นกลับมา
เพราะว่ามันไม่สบายนะครับ เช่น บางคนที่ปั๊มหัวใจแล้ว ซี่โครงหักก็มี
คนป่วยฟื้นกลับมาก็จริง แต่ก็ต้องมาเจ็บปวด แล้วไม่นานก็ตายอยู่ดี
หรือกรณีใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจนั้น ก็เจ็บมากนะครับ
พอใส่ไปแล้วก็จะมีปัญหาอีกว่าในอนาคต ใครจะเป็นคนสั่งให้ถอด
เพราะกลายเป็นว่าคนสั่งถอดเท่ากับว่าไปทำให้เขาตาย
ในเรื่องนี้ผมเคยเขียนซีรีส์บทความเรื่อง “เมื่อพ่อแม่ป่วยหนักมาก”
ซึ่งเนื้อหาส่วนหนึ่งจะครอบคลุมถึงการสร้างเหตุและปัจจัย
เพื่อส่งให้พ่อแม่ที่ป่วยหนักและกำลังจะจากไปนั้น ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
โดยบทความดังกล่าวอยู่ในวารสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ ๑๑๕ ถึง ๑๒๐
ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๑๕
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๑๖
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๑๗
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๑๘
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๑๙
เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๒๐
และก็เคยเขียนบทความเรื่อง “ส่งผู้ป่วยให้จากไปอย่างสงบ”
ในวารสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ ๒๔๓ ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
http://www.dharmamag.com/mag/index.php/dhammajaree-issues/1291-2016-02-11-01-26-48
หลังจากที่คุณอาได้ไปอยู่ที่ห้องฉุกเฉินสักพักหนึ่งแล้ว
คุณหมอที่รับผิดชอบห้องฉุกเฉินก็เชิญผมเข้าไปแจ้งสิทธิให้ทราบว่า
เนื่องจากคุณอามีอาการซึม และเข้าเกณฑ์ที่จะใช้สิทธิตาม
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตของภาครัฐ
หรือที่เรียกว่า “โครงการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่”
(Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ของภาครัฐ
ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถรักษาได้ฟรี ๗๒ ชั่วโมง
โดยหลังจากนั้น เราก็สามารถย้ายผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น
ที่ผู้ป่วยมีสิทธิข้าราชการ ประกันสังคม หรือบัตรทองก็ได้
รายละเอียดของโครงการ UCEP นี้ ผมแนะนำให้ลองค้นในอินเตอร์เน็ต
หรืออาจจะลองอ่านจากข่าวตามลิงก์ข่าวต่อไปนี้ก็ได้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2811
http://www.komchadluek.net/news/edu-health/269383
https://www.matichon.co.th/news/516486
ซึ่งสำหรับท่านผู้อ่านที่มีญาติเป็นผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุแล้ว
ก็แนะนำให้ศึกษาข้อมูลไว้ก่อนครับ เพราะจะเป็นประโยชน์มากในกรณีฉุกเฉิน
ผมไม่ทราบว่าคุณอาที่ล้มนี้อาการหนักแค่ไหน
แต่พิจารณาแล้วเห็นว่า ผมอยากจะให้รักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านในช่วงแรกก่อน
โดยผมก็ทราบอยู่แล้วว่าโครงการประกันสุขภาพของประเทศไทยเราขณะนี้
กำลังขาดแคลนงบประมาณอย่างมากนะครับ
ถ้าเราพอจะรับผิดชอบอะไรได้เองแล้ว ก็ไม่อยากไปรบกวนงบประมาณภาครัฐ
จึงแจ้งคุณหมอไปว่าผมจะไม่ใช้สิทธิตามโครงการ UCEP
ซึ่งทางโรงพยาบาลก็จะมีเอกสารมาให้เราลงนามนะครับว่าจะไม่ใช้สิทธิ
หลังจากนั้น ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (“สปสช.”)
โทรศัพท์หาผมด้วยนะครับ เพื่อให้คำแนะนำในการใช้สิทธิโครงการ UCEP
แล้วก็สอบถามว่าทำไมจึงไม่ใช้สิทธิ
ผมก็แจ้งไปว่าสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองได้
และผมก็ไม่อยากย้ายคุณอาไปโรงพยาบาลที่คุณอามีสิทธิบัตรทองในภายหลัง
เพราะจะเป็นการไปแย่งเตียงผู้ป่วยท่านอื่น ๆ ที่เขาลำบากและจำเป็นมากกว่า
เจ้าหน้าที่ สปสช. ก็แจ้งว่าถ้าผมเปลี่ยนใจ
ก็สามารถติดต่อสายด่วนที่หมายเลข 1330 ได้ตลอด
คุณอาท่านอยู่ที่ห้องฉุกเฉินช่วงระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากนั้น ก็ได้ย้ายไปอยู่ห้องไอซียู
แล้วก็ได้ทำการเอ็กซ์เรย์สมอง ซึ่งปรากฏว่ามีเลือดออกในสมอง
คุณหมอที่ดูแลได้โทรศัพท์หาผม และแนะนำให้ทำการผ่าตัดสมอง
โดยแจ้งด้วยว่าหลังผ่าตัดจะต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ
เรื่องการผ่าตัดสมอง และต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจนี้
เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากนะครับ
โดยก่อนหน้าที่คุณหมอจะโทรมานี้
ผมได้เช็คข้อมูลความเสี่ยงของการผ่าตัดสมองแล้ว
พบว่าบางกรณีเป็นผักไปเลยก็มี ความจำเสื่อมก็มี อาการน่ากลัวสารพัด
แต่ว่าที่ผ่าตัดแล้วหายก็มี ปัญหาคือว่า ถ้าเราไม่ผ่าตัดแล้ว มันไม่หายแน่ ๆ
หากปล่อยให้เลือดออกในสมองต่อไป มันมีแต่แย่ลงแน่ ๆ
แต่หากเราลองเสี่ยงผ่าตัดแล้ว มันมีโอกาสหาย และโอกาสไม่หาย
ดังนั้นแล้ว ผมจึงแจ้งอนุญาตทางโทรศัพท์ให้คุณหมอทำการผ่าตัดสมองได้
หลังจากผ่าตัดสมองแล้ว คุณอาที่ล้มก็มีอาการไม่ตอบสนองนะครับ
หรือที่เรียกว่าเป็น “ผัก” นั่นแหละ และต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ
แต่แม้ว่าจะมีอาการเป็นผักก็ตาม การใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจนี้
ก็ทำให้ท่านดูทรมานมากนะครับ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องการไอนั้น
สีหน้าคุณอาจะออกแดงก่ำ และทำสีหน้าทรมานมาก
บางทีถึงขนาดมีหยดน้ำตาซึมออกมาด้วย
หลังผ่าตัดแล้ว คุณอาพักฟื้นอยู่ที่ห้องไอซียูเป็นเวลา ๑๐ วัน
แต่ก็ยังไม่ฟื้นและมีอาการเป็นผักอยู่อย่างนั้น ต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจไปเรื่อย
ทีนี้ ปัญหาเริ่มจะเกิดขึ้นกับทางผมด้วยแล้ว
เพราะว่าค่าผ่าตัดและค่าห้องไอซียูโรงพยาบาลเอกชนนี้มันโหดร้ายมากนะครับ
เรียกได้ว่าผมเก็บเงินมา ๒ ปี แต่หมดไปภายใน ๑๐ วันที่อยู่โรงพยาบาล
แถมต้องไปยืมเงินญาติมาบางส่วนอีก
แต่ก็ยังดีที่ว่าพี่น้องและญาติบางท่านก็ให้เงินช่วยเหลือมาด้วยส่วนหนึ่ง
ผมจึงต้องมาพิจารณาแล้วว่า จะดูแลรักษาคุณอายังไงต่อไป
เพราะถ้าให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เป็นเดือน
ญาติที่ดูแลและออกค่าใช้จ่ายจะตายก่อนคุณอาเสียอีก
ผนวกกับผมเองก็ยอมรับในเรื่องวิบากกรรมนะครับ
ถ้าหากคุณอาไม่ได้ทำกรรมอะไรมา ย่อมไม่ได้รับวิบากในวันนี้
ดังนั้นแล้ว ถ้ามันเป็นวิบากกรรมที่จะต้องรับ เราก็หนีไม่พ้น
มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหาหนทางไหนที่บรรเทาวิบากได้ดีที่สุด
ผมพิจารณาแล้วก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะให้คุณอาอยู่โรงพยาบาลต่อไป
เพราะโดยสภาพก็กลายเป็นผักอยู่แล้ว โอกาสที่จะฟื้นมีน้อยมาก
แทนที่ผมจะนำเงินไปจ่ายให้กับโรงพยาบาลไปเรื่อยจนเราล้มละลาย
ผมนำเงินมาดูแลคุณอาตามอัตภาพเพื่อให้สบายตัวเท่าที่ทำได้จะดีกว่า
โดยถ้าสามารถพาคุณอากลับมาอยู่บ้านได้แล้ว
ก็ตั้งใจว่าจะเปิดซีดีธรรมะหรือซีดีสวดมนต์ให้ฟัง
ฟังเข้าหูหรือไม่เราก็ไม่ทราบ แต่นี่ถือว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว
เมื่อสรุปได้ดังนี้แล้ว ผมจึงหารือกับคุณหมอที่ดูแลว่า
จะขอให้ค่อย ๆ ลดการรักษา และค่อย ๆ ลดการใช้ท่อเครื่องช่วยหายใจ
เพื่อที่ผมจะได้พาคุณอากลับบ้าน ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะคุยกันได้ง่ายนะครับ
แต่ปรากฏว่าคุยกันไม่ง่ายครับ เพราะคุณหมอไม่เห็นด้วย
และบอกว่าคนป่วยยังมีโอกาสหาย จึงต้องรักษาต่อไป เป็นหน้าที่ของหมอ
และคุณหมอแนะนำให้นำคนป่วยไปเอ็กซ์เรย์สมอง
เพื่อดูอาการว่าจะรักษาอย่างไรต่อไป
ผมพยายามคุยกับคุณหมอแล้ว ก็ไม่เข้าใจกันนะครับ
ผมเองพยายามจะนำคุณอากลับบ้าน ไม่ต้องรักษาให้เจ็บตัวแล้ว
จะให้กลับมานอนฟังซีดีธรรมะหรือซีดีสวดมนต์ แล้วก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ
แต่คุณหมอพยายามจะให้รักษาต่อไปในโรงพยาบาล
แล้วถามว่า หากท้ายที่สุดรักษาไม่หายแล้ว ผมจะได้ค่ารักษาพยาบาลคืนไหม
เราก็คงเข้าใจตรงกันว่า ไม่ได้คืนอยู่แล้วล่ะ
คุณอาท่านนี้ก็ไม่ได้มีทรัพย์สินส่วนตัวอะไรด้วย
เมื่อตกลงกันไม่ได้ และผมเองก็ไม่อยากจะมีปัญหากับคุณหมอและโรงพยาบาล
ผมจึงทำการย้ายโรงพยาบาลไปโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ผมมีเพื่อนเป็นคุณหมอที่ทำงานเป็นผู้บริหารอยู่
โดยผมได้เคลียร์ค่าใช้จ่ายกับโรงพยาบาลเดิม
แล้วก็ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลใหม่ภายในบ่ายวันเดียวกัน
ซึ่งในวันเดียวกันนั้น ก็ได้หารือแนวทางกับคุณหมอที่โรงพยาบาลใหม่
ปรากฏว่าคุยเข้าใจตรงกันว่า ญาติต้องการให้รักษาในแนวทางใด
เพื่อนผมที่เป็นคุณหมอที่ทำงานเป็นผู้บริหารอยู่ ก็มาช่วยตรวจอาการให้ด้วยนะครับ
โดยก็บอกกับผมว่า คุณอาเป็นผักไปแล้ว และมีโอกาสฟื้นน้อยมาก
ผมต้องหาวิธีการดูแลรักษาให้ดี ไม่อย่างนั้นค่าใช้จ่ายจะเยอะมาก
โดยจะเป็นลักษณะของสุภาษิตที่ว่า “คนตายขายคนเป็น” ทำนองนั้น
คุณอาอยู่ที่โรงพยาบาลใหม่ได้ ๓ วัน ก็สามารถถอดท่อเครื่องช่วยหายใจออกได้
แล้วหลังจากนั้นอีกประมาณ ๑๐ วัน ก็สามารถพากลับบ้านได้
โดยคุณหมอที่โรงพยาบาลใหม่ได้ผ่าตัดเจาะช่องคอคุณอา
เพื่อให้หายใจได้สะดวก และให้สามารถดูดเสมหะออกได้ง่าย
ทีนี้ การที่เราจะดูแลคนที่เป็นผักนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ นะครับ
เพราะว่าต้องมีการให้อาหารทางสายยางวันละ ๔ เวลา
และต้องช่วยจับพลิกตัวทุก ๒ ชั่วโมง เพื่อป้องกันแผลกดทับ
ต้องคอยใช้เครื่องดูดเสมหะออก และมีรายละเอียดจิปาถะอื่น ๆ อีก
ซึ่งทางโรงพยาบาลบอกว่า ให้คนที่จะดูแลมาเข้าคอร์สของโรงพยาบาล
เพื่อที่ทางโรงพยาบาลจะสอนวิธีการดูแลให้
ผมก็ดูอาการแล้ว เห็นว่าไม่น่าจะสามารถดูแลไหว
เพราะผมเองก็ออกไปทำงานระหว่างวัน กลางคืนก็สลบ
คนที่จะต้องดูแลก็จะมีแต่ผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งแค่ให้ท่าน ๆ ดูแลตัวเองก็เหนื่อยแล้ว
แล้วไหนจะต้องมาช่วยพลิกตัวเวลากลางคืนอีก
ใครจะอยู่เฝ้ากลางคืนไหว ใครจะใช้เครื่องดูดเสมหะให้
ต่อให้จะจ้างคนมาดูแลหนึ่งคน เขาก็ดูแลได้เฉพาะกลางวัน
ถ้าจะจ้างคนมาดูแลสองคน ยังไงก็ต้องมีวันหยุด
แล้วค่าใช้จ่ายและค่ากินอยู่จะเป็นเท่าไร
ฉะนั้นแล้ว ไม่ง่ายเลย และมีแต่ค่าใช้จ่ายทั้งนั้นนะครับ
ผมพิจารณาแล้วจึงตัดสินใจว่า
จะนำคุณอาไปฝากให้ศูนย์ดูแลผู้ป่วยทำการดูแลครับ
โดยก็เน้นที่ใกล้บ้าน เพื่อที่เราจะสามารถไปเยี่ยมได้สะดวก
เมื่อพาคุณอาออกมาจากโรงพยาบาลไปอยู่ที่ศูนย์ฯ แล้ว
มันยังไม่จบแค่นั้นนะครับ เพราะแม้ว่าจะเป็นผักก็ตาม
คุณอาก็ยังต้องทานยา เช่น ยากันอาการชัก เป็นต้น
และต้องพาคุณอาไปหาหมอตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อตรวจอาการ
ทีนี้ เราจะพาคนเป็นผักไปโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ง่าย ๆ นะครับ
ถ้าจะให้สะดวก ก็ต้องใช้รถพยาบาล ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายอีก
นอกจากนี้ หากคุณอามีอาการอักเสบ หรือติดเชื้อแล้ว
ก็ต้องไปนอนให้ยาฆ่าเชื้อที่โรงพยาบาล ซึ่งก็แล้วแต่ระยะเวลา
อาจจะต้องนอน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน หรือนานกว่านั้น
ซึ่งก็จะเป็นอย่างนี้ และมีค่าใช้จ่ายไปเรื่อยจนกว่าจะถึงแก่กรรม
เจ้าตัวเองก็ไม่ใช่ว่าสบายนะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าท่านจะรู้สึกตัวไหม
ถ้ารู้สึกตัวและรับฟังได้ แต่ขยับไม่ได้แล้ว คงจะทรมานมาก
ทรมานยิ่งกว่าติดคุกเสียอีก เพราะว่าคนติดคุกยังขยับตัวได้นะ
นี่ต้องนอนเฉย ๆ เป็นผักขยับอะไรไม่ได้เลย
แต่ก็ยังดีว่าคุณอาท่านนี้ได้มีโอกาสฟังธรรมเทศนาครูบาอาจารย์มามาก
ผมก็พยายามบอกท่านว่า ให้นอนดูกายไปนะครับ กายไม่ใช่เรา เราสั่งไม่ได้
แล้วก็ให้ดูจิตที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปว่ามันไม่เที่ยงหรอก
ซึ่งผมพูดให้ฟังไป ก็ไม่ทราบว่าท่านจะได้ยินไหม หรือได้ยินแล้วจะทำได้ไหม
แต่ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้วที่จะสามารถทำได้
คุณอาย้ายมาอยู่ที่ศูนย์ฯ แล้ว ไม่ต้องใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจ
หน้าตาไม่ทรมานเหมือนเวลาที่ใส่ท่อเครื่องช่วยหายใจนะครับ
โดยก็ผมก็เปิดซีดีธรรมะให้ฟังไปเรื่อย ๆ
โดยก็ต้องดูแลกันไปอย่างนี้จนกว่าจะจากไปตามธรรมชาติ
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะเป็นข้อเตือนแก่ท่านผู้สูงอายุนะครับว่า
ไม่ควรจะดื้อนะครับ โดยหากรู้ตัวว่าเราสูงอายุแล้ว
ก็ควรจะย้ายมานอนชั้นล่าง จะเป็นการปลอดภัยกว่า
ท่านเองอาจจะรู้สึกว่า ฉันยังไหว
แต่ผมขอเรียนว่าคุณอาที่ล้มท่านก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกันครับ
แต่พอถึงเวลาทีเกิดอุบัติเหตุล้มขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
ก็จะเดือดร้อนกันหมดแบบครบวงจรครับ
ถ้าตายไปทันทีเลย คงไม่น่ากลัวหรอกนะ
เจอกรณีที่เป็นผักแบบนี้สิ น่ากลัวมากกว่าเยอะ
เพื่อนท่านหนึ่งที่เป็นหมออยู่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งบอกผมว่า
มีหลายกรณีที่คนเป็นผักอยู่ได้เป็นสิบปีกว่าจะตาย
ดังนั้นแล้ว เราอย่าไปหลงเข้าใจว่าเป็นผักแป๊บเดียว ก็จะตายนะครับ
ไม่ใช่อย่างนั้น คนเป็นผักอาจจะอยู่ได้นานกว่าคนไม่เป็นผักเสียอีก
อีกกรณีหนึ่งก็คือ เวลากลางคืนควรเปิดไฟทางเดินไว้นะครับ
และสิ่งของอะไรที่วางเกะกะทางเดิน ก็ควรจะย้ายออกให้หมด
เพื่อที่ว่าท่านผู้สูงอายุจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำได้สะดวก
โดยปัญหาที่เจอคือ ท่านผู้สูงอายุมักจะต้องการประหยัดค่าไฟฟ้า
ซึ่งก็เคยเจอกรณีของพ่อเพื่อนท่านหนึ่งที่ประหยัดค่าไฟอย่างนี้แหละ
แล้วพอกลางคืนเดินไปเข้าห้องน้ำก็สะดุดหรือลื่นล้ม
แล้วก็ต้องไปผ่าตัดสมอง รายนั้นท่านผ่าตัดเสร็จแล้ว ไม่นานก็ถึงแก่กรรม
โดยก็นับว่ายังไปสบายนะครับ ถ้าผ่าตัดแล้วกลายเป็นผักล่ะก็จะทรมานกว่า
ดังนั้นแล้ว ผมก็หวังว่าเรื่องคุณอาท่านนี้ จะเป็นอุทาหรณ์และเป็นประโยชน์แก่
ญาติธรรมท่านผู้สูงอายุท่านอื่น ๆ ที่จะไม่ต้องมาประสบชะตากรรมเช่นเดียวกันครับ
ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ให้ย้ายลงมานอนชั้นล่าง
เปิดไฟทางเดินในเวลากลางคืน และย้ายสิ่งของที่วางเกะกะทางเดินครับ