เพื่อนธรรมจารี - ฉบับที่ ๑๑๕
เมื่อพ่อแม่ป่วยหนักมาก (ตอนที่ ๑)
งดงาม
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
มนุษย์เราเมื่อเกิดมาแล้ว เรื่องแก่ เจ็บ และตายเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นนะครับ
หากจะไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ และไม่ให้ตายแล้ว ก็ต้องไปแก้ไขที่ต้นเหตุว่าไม่เกิดมาแต่แรกเลย
เรื่องคุณพ่อคุณแม่เจ็บไข้ ป่วยหนัก หรือถึงแก่กรรมนี้ ก็เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นเช่นกัน
ในเวลาที่พ่อแม่ป่วยหนักมากแล้ว ก่อนอื่นเลย เราควรที่จะทำใจยอมรับความจริงว่า
ทุกคนที่เกิดมาล้วนแต่ต้องตายทั้งนั้น พ่อแม่เราก็เช่นกัน ท่านก็ย่อมจะต้องตายในวันใดวันหนึ่ง
เมื่อพ่อแม่ป่วยหนักแล้ว ท่านอาจจะไม่ตายก็ได้ หรือท่านอาจจะตายก็ได้ (ตามแต่เหตุและปัจจัย)
เราจึงควรเผื่อใจไว้บ้าง โดยมองอย่างเป็นกลาง ๆ โดยไม่มองแต่เพียงด้านดีด้วยความหวังเท่านั้น
กล่าวคือ ไม่ควรจะคิดแต่เพียงว่าท่านจะต้องหาย หรือท่านจะต้องรอดเท่านั้น
แต่เราควรจะคิดเผื่อ และตระเตรียมไว้สำหรับในกรณีที่รักษาท่านไม่หายและท่านตายไว้ด้วย
บางท่านอาจจะมองว่า หากไปคิดแบบนั้นแล้ว ย่อมเท่ากับว่าแช่งพ่อแม่ให้ตายซึ่งน่าจะเป็นอกุศล
หรือการจะไปตระเตรียมอะไรเผื่อกรณีตายแล้ว จะทำให้บั่นทอนกำลังใจของพ่อแม่ในการรักษาให้หาย
จึงคิดเพียงว่า ควรจะมุ่งรักษาให้หายทางเดียวเท่านั้น
คิดแบบนั้นก็ดูเหมือนจะดีนะครับ ...
แต่จริง ๆ แล้ว ก็เท่ากับว่าไม่ได้ตระเตรียมกรณีที่รักษาไม่หาย และก็ตายเผื่อเอาไว้ด้วยเลย
ทำให้บรรดาลูกไม่ได้ตระเตรียมอะไรที่จะช่วยเหลือพ่อแม่ในวาระสุดท้ายได้อย่างเหมาะสม
และพ่อแม่เองก็อาจจะไม่ได้สั่งเสียสิ่งสำคัญ หรือสิ่งค้างคาใจให้กับลูกหลานไว้ก่อนถึงแก่กรรม
บรรดาลูกเองก็อาจจะทะเลาะกันในภายหลังด้วยความที่พ่อแม่ไม่ได้สั่งเสียเรื่องใด ๆ ไว้ชัดเจน
เช่นว่า จะจัดงานศพอย่างไร จะจัดการศพอย่างไร จะจัดการทรัพย์มรดกอย่างไร เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว เมื่อเราได้ประสบเหตุการณ์พ่อแม่ป่วยหนักมากแล้ว พึงทราบนะครับว่า
เราต้องตัดสินใจเลือกแล้วล่ะว่า จะตระเตรียมเผื่อกรณีพ่อแม่รักษาไม่หายและเผื่อตายไว้ด้วยไหม
ขอแนะนำนะครับว่า “อย่าประมาท”
ฆราวาสธรรมดาอย่างเรา ๆ ที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไร ก็ยังต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏนี้กันต่อไป
เราจึงควรถามตัวเองว่า พ่อแม่เราได้เตรียมเสบียงไว้เดินทางไกลไปต่ออย่างเพียบพร้อมแล้วหรือ
ท่านตายแล้ว ท่านจะได้ไปภพภูมิที่ดีหรือเปล่า
เราเป็นลูกหรือหลานก็ตาม เราได้มีส่วนช่วยสร้างเหตุและปัจจัยให้ท่านได้ไปภพภูมิที่ดีหรือไม่
เราเองมีเรื่องสงสัยค้างคาใจที่ต้องการสอบถามพ่อแม่หรือเปล่า
เรามีเรื่องผิดใด ๆ คงค้างในใจที่ต้องการสารภาพกับพ่อแม่หรือไม่
เราคิดว่าพ่อแม่เรามีเรื่องใด ๆ ที่ยังต้องการสั่งเสียกับเราไหม ฯลฯ
คำถามทั้งหลายเหล่านี้จะไม่ได้รับการจัดการดูแลอย่างเหมาะสมและเรียบร้อย
หากเรายังมัวแต่จะมองเหตุการณ์ในแง่ดีว่า พ่อแม่เราจะต้องรักษาหายเท่านั้น
หากเราจะทำใจยอมรับไม่ได้ ผมก็แนะนำให้ถามแพทย์และพยาบาลที่โรงพยาบาลก็ได้นะครับ
ว่าคนป่วยหนักที่เข้าโรงพยาบาลนั้น รักษาหายทุกคนหรือ หายเท่าไร ตายเท่าไร
ในแต่ละวัน สัปดาห์ เดือน และปีนั้น มีผู้ป่วยที่ถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลนั้นเท่าไร
ทำไมเราจึงมั่นใจเสียเหลือเกินว่า พ่อแม่เราจะต้องรอด จะต้องหาย และจะต้องไม่ตาย
ในขณะที่หากเรามั่นใจไร้สติเช่นนั้นแล้ว
เราได้ตัดโอกาสช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับพ่อแม่ของเรา
เราได้ละโอกาสช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้สื่อสารสิ่งค้างคาในส่วนลึกในใจเรากับพ่อแม่
พ่อแม่ก็เสียโอกาสที่จะได้สั่งสอนครั้งสุดท้าย หรือสั่งเสียสิ่งสำคัญในใจท่านกับเรา
และเราก็จะพลาดโอกาสที่จะช่วยสร้างเหตุและปัจจัยในการช่วยส่งให้ท่านไปสู่ภพภูมิที่ดีด้วย
การสร้างเหตุและปัจจัยในการช่วยส่งให้ท่านไปสู่ภพภูมิที่ดีนั้นเป็นอย่างไร?
ในที่นี้ก็จำเป็นต้องอธิบายคำว่า “จุติจิต” และ “ปฏิสนธิจิต” นะครับ
คำว่า “จุติ” แปลว่า เคลื่อน (จากภพหนึ่งไปสู่ภพอื่น) หรือแปลว่า “ตาย” นะครับ
(แต่ในภาษาไทยแล้ว บางท่านใช้กันจนเข้าใจสับสนว่าหมายถึง “เกิด” ก็มี)
“จุติจิต” จึงหมายถึง จิตดวงสุดท้ายของภพนั้น ๆ
ส่วน “ปฏิสนธิจิต” หมายถึง จิตที่เกิดเป็นดวงแรกในภพใหม่
ในชีวิตมนุษย์ธรรมดาสามัญที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์นี้
จุติจิตเป็นจิตดวงสุดท้ายแห่งภพชีวิตมนุษย์อันจะน้อมนำไปสู่ปฏิสนธิจิตในภพอื่น ๆ ต่อไป
อธิบายได้ว่า คนเราก่อนตายนั้น หากจุติจิตเป็นบุญกุศล ก็จะทำให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี
เช่น ไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ เป็นต้น
แต่หากจุติจิตเป็นอกุศล ก็จะทำให้ได้ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี เช่น ภพอบายภูมิต่าง ๆ
ยกตัวอย่างว่า ก่อนตายนั้นหากคนตายได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรม
ระลึกถึงพระสงฆ์ หรือได้ระลึกถึงทานที่ได้ทำไว้ดีแล้ว ก็ย่อมจะพาให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี
แต่หากก่อนตายนั้น คนตายได้ระลึกถึงบาปอกุศลที่ตนเองได้เคยทำไว้
ก็ย่อมจะนำพาให้ไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี เช่น นรกภูมิ หรือเปรตภูมิ เป็นต้น
เพราะฉะนั้นแล้ว งานหลักงานหนึ่งของเราในฐานะลูกในช่วงโอกาสสุดท้ายนี้ก็คือ
พยายามช่วยสร้างเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ให้พ่อแม่เพื่อให้ท่านได้มีจุติจิตที่เป็นกุศล
อันจะนำพาท่านไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ ก็เสมือนกับว่าเรากำลังช่วยส่งพ่อแม่เราขึ้นรถ บขส ครั้งสุดท้าย
หากเราช่วยส่งท่านขึ้นรถไปถูกสาย ท่านก็ไปสวรรค์ หรือไปภพภูมิที่ดี
หากเราไม่ได้ช่วยท่านเลย ท่านก็อาจจะขึ้นรถไปเองถูกหรือผิดก็ได้
หากเราช่วยส่งท่านขึ้นรถผิด หรือท่านขึ้นรถผิดเองก็ตาม ท่านก็จะไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี เช่น นรกภูมิ เป็นต้น
ในรายละเอียดนั้น จะค่อย ๆ เล่าไปเรื่อย ๆ นะครับ
ในชั้นนี้ ขอย้อนกลับมาที่เรื่องการทำใจยอมรับความจริง และยอมรับทางเลือกเผื่อตายนะครับ
ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยสำหรับบรรดาลูก ๆ ที่จะดูแลพ่อแม่ในช่วงป่วยหนักมากนี้
การดูแลพ่อแม่ในช่วงที่ป่วยหนักนี้ ผมจะขอแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ ๆ นะครับคือ
ส่วนแรก เรื่องการช่วยดูแลรักษาโรคและร่างกายของท่าน
ส่วนที่สอง เรื่องการดูแลภาวะจิตใจของท่านให้สบายใจ
ส่วนที่สาม เรื่องการช่วยสร้างเหตุและปัจจัยเพื่อส่งให้ท่านไปสู่ภพภูมิที่ดี
เริ่มที่ส่วนแรกในเรื่องการช่วยดูแลรักษาโรคและร่างกายของท่าน
เราเองที่เป็นลูกนั้น อย่าเพิ่งคิดสบาย ๆ ว่าจะโยนทุกอย่างไปให้แพทย์ตัดสินใจนะครับ
เพราะว่าการช่วยดูแลรักษาโรคและร่างกายนั้น บางทีก็จะส่งผลกระทบไปในเรื่องอื่น ๆ ด้วย
ยกตัวอย่างว่า การรักษาโรคบางวิธีการนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้ลูกหลานต้องเดือดร้อน
หรือเป็นการกระทบต่อทรัพย์สินที่พ่อแม่หามาอย่างยากลำบาก และหากท้ายที่สุดแล้ว
ท่านก็ไม่หาย และก็ถึงแก่กรรมอยู่ดี แต่ทรัพย์สินที่ท่านตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกหลานนั้น
กลับสูญสิ้นหมดเพราะการรักษาโรค ทำให้ท่านไม่สบายใจ หรือเป็นทุกข์ใจ
ก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อเรื่องการดูแลภาวะจิตใจของท่านให้สบายใจนะครับ
(เป็นประเด็นในส่วนที่สองที่จะได้กล่าวต่อไป)
การรักษาโรคบางวิธีการนั้น อาจจะทำให้ร่างกายมีความเจ็บปวดมาก
ทำให้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตพ่อแม่เราเผชิญแต่ความเจ็บปวดทางร่างกาย
ทำให้เป็นการยากที่จะดำรงจิตใจให้สงบและระลึกในเรื่องกุศล
ซึ่งก็ย่อมจะส่งผลกระทบต่อเรื่องการช่วยสร้างเหตุและปัจจัยเพื่อส่งให้ท่านไปสู่ภพภูมิที่ดีครับ
(เป็นประเด็นในส่วนที่สามที่จะได้กล่าวต่อไป)
พึงทราบว่าบรรดาลูกในฐานะญาติสนิทนั้น ย่อมมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจในทางเลือกรักษาผู้ป่วย
โดยบรรดาลูกย่อมสามารถจะแจ้งต่อแพทย์ได้ว่าประสงค์จะให้ทำการรักษาไปในแนวทางใด
เช่น จะให้ทำการผ่าตัดหรือไม่ จะให้ทำคีโม และฉายรังสีหรือไม่ เป็นต้น
แพทย์เองย่อมจะไม่ทำการรักษาผู้ป่วยไปโดยพลการโดยไม่ได้สอบถามคนป่วยก่อน
หรือสอบถามญาติสนิทคนป่วยก่อน (เว้นแต่กรณีฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุที่ไม่สามารถติดต่อได้)
การที่บรรดาลูกจะตัดสินใจใด ๆ ในการรักษาโรคและร่างกายของพ่อแม่จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
ในการนี้ ขอให้เราได้วางวัตถุประสงค์เป้าหมายไว้สองประการ คือ
ประการแรก พยายามรักษาโรคให้หาย หรือให้ทุเลาลง
ประการที่สอง หากไม่สามารถรักษาให้หาย หรือให้ทุเลาแล้ว ก็พยายามให้ท่านมีชีวิตช่วงสุดท้าย
ที่สบายทางกาย โดยไม่มีความเจ็บปวดทางกาย หรือให้เจ็บปวดทางกายน้อยที่สุด
เพราะเมื่อเจ็บปวดทางกายน้อยมากแล้ว
โอกาสที่เราจะช่วยสร้างเหตุและปัจจัยให้ท่านสบายใจ
และได้มีจุติจิตที่เป็นกุศล และได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีนั้น ก็จะมีมากขึ้น
เมื่อประมาณสองปีก่อน คุณพ่อผมป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายพักอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
โดยเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ และก็ลามไปที่ตับหมดแล้ว (ซึ่งท่านได้ถึงแก่กรรมไปแล้วนะครับ)
มีอยู่วันหนึ่งที่คุณพ่อมีอาการปวดทางร่างกายและต้องการทานยาระงับปวดชนิดหนึ่งเพื่อระงับปวด
แต่พยาบาลของโรงพยาบาลไม่ให้ยาแก้ปวดดังกล่าวแก่ท่าน โดยเหตุที่เกรงว่าจะส่งผลไม่ดีต่อตับ
ผมได้ไปชี้แจงกับพยาบาลว่า ในเมื่อมะเร็งลามไปทั่วตับแล้ว และก็รักษาไม่หายแล้ว
พยาบาลก็ไม่ควรจะต้องมากังวลกับเรื่องเล็กน้อยที่ว่ายาแก้ปวดจะไปส่งผลไม่ดีต่อตับแล้ว
สิ่งที่สำคัญขณะนั้นก็คือ การทำให้คนไข้ไม่เจ็บปวดทางกายมากกว่า จะได้สบายใจและนอนหลับได้
(เพราะยังไงก็ไม่หายและก็จะต้องตายอยู่แล้ว ทำไมจะต้องให้อยู่อย่างเจ็บปวดในช่วงท้าย ๆ ด้วย)
ผมชี้แจงดังนี้แล้ว พยาบาลก็โทรศัพท์ไปสอบถามแพทย์เจ้าของคนป่วย
ซึ่งแพทย์ท่านได้ตอบพยาบาลว่า ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่ามะเร็งที่กำลังทำลายตับคนไข้แล้ว
ดังนั้นแล้ว หากคนไข้ได้ทานยาแก้ปวดแล้วสบายใจ หายเจ็บปวด และนอนหลับได้
ก็ควรจะให้ยาแก้ปวดแก่คนไข้ได้ โดยไม่ต้องไปคิดเรื่องกระทบตับอะไรแล้วล่ะ
พยาบาลจึงนำยาแก้ปวดให้คุณพ่อผม แล้วก็ทำให้ท่านลดการปวดลง และนอนหลับได้นะครับ
ที่เล่ามานี้ ก็เพื่อจะให้เห็นว่า การตัดสินใจทางเลือกการรักษาของบรรดาลูกที่ดูแลพ่อแม่อยู่นั้น
มีส่วนสำคัญอย่างมากในการดูแลรักษาท่านในช่วงสุดท้ายนี้ครับ
(มีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ควรต้องคุยกันอีกมาก แต่ขอยกไปตอนหน้านะครับ)