เข้าใจความปรุงแต่งจิต
เมื่อไม่รู้ตัวว่า แต่ละความคิดเกิดขึ้นได้อย่างไร
คุณจะรู้สึกว่าความคิดคือตัวคุณ ตัวคุณคือความคิด
พอความคิดร้ายกาจ ก็เหมือนตัวคุณร้ายกาจ
พอความคิดดีงาม ก็เหมือนตัวคุณดีงาม
บางคนคิดร้ายหรือดีโดยมาก
ก็เห็นว่าตัวเองเป็นคนร้ายหรือคนดีชัดๆ
แต่บางคนคิดร้ายหรือดีสลับกันครึ่งๆ
ก็อาจสับสนว่าตัวเองเป็นคนร้ายหรือคนดีกันแน่ แยกไม่ถูก
ต่อเมื่อรู้ชัดว่า ‘จิตปรุงแต่ง’ เป็นอย่างไร
คุณจะไม่รู้สึกว่าความปรุงแต่งจิตเป็นตัวคุณ
แล้วมองว่า ‘ความคิด’ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรุงแต่งทางจิต
คิดร้ายเดี๋ยวเดียว แล้วก็หายไป
ไม่เกิดความสำคัญผิดว่ามีตัวคุณคิดร้าย
คิดดีเดี๋ยวเดียว แล้วก็หายไป
ไม่เกิดความสำคัญผิดว่ามีตัวคุณคิดดี
วิธีเจริญสติ
เพื่อให้สามารถเข้าไปรู้ถึงความปรุงแต่งทางจิตในระหว่างวัน
ไม่ใช่จู่ๆเข้าไปดู ‘ตัวความคิด’ แบบพรวดพราด
เพราะความคิดมีหลากหลาย
ดูแล้วเหมือนเมฆหมอกคลุมเครือเหมือนๆกันไปหมด
ที่ถูกแล้ว ก่อนอื่นคุณต้องแยกแยะประเภทความคิด
โดยทำความเข้าใจให้ดีว่า การปรุงแต่งจิตหลักๆ
ยืนพื้นอยู่บน ‘ความพอใจ’ กับ ‘ความไม่พอใจ’
เหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงปูพื้นให้สังเกตจิตมีราคะและจิตมีโทสะ
ก่อนจิตชนิดอื่นใดทั้งหมด
เมื่อเข้าใจชัดเจนไปที่รากฐานการปรุงแต่งได้เช่นนั้น
ก็ให้ต่อยอดเป็นการสังเกตตามจริงว่า
ราคะกับโทสะมักเกิดจากการ ‘นึกคิดเรื่องคน’ เป็นหลัก
เช่น เมื่อนึกถึงบุคคลอันเป็นเป้าล่อให้เกิดความยินดีทางเนื้อหนัง
คุณจะนึกถึงส่วนใดส่วนหนึ่งที่เร้าตาเร้าใจ
แต่เมื่อนึกถึงบุคคลอันเป็นเป้าล่อให้เกิดความยินร้ายทางอารมณ์
คุณจะนึกถึงภาษาพูดหรือภาษากายอันน่าขัดเคือง
ฉะนั้น เมื่อถามตัวเองง่ายๆว่า
นาทีหนึ่งๆ คุณกำลังนึกถึงอะไรในใคร
ก็จะตอบตัวเองถูกว่า
จิตกำลังเกิดการปรุงแต่ง โดยยืนพื้นอยู่บนราคะหรือโทสะ
หลังจากตอบตัวเองถูกไปเรื่อยๆว่า
จิตมีราคะ จิตมีโทสะ
คุณจะเห็น ‘ราคะหายไปจากจิต’ เป็นบางครั้ง
หรือเห็น ‘โทสะหายไปจากจิต’ เป็นบางคราว
เมื่อเห็นการเกิดขึ้นและหายไปบ่อยเข้า
ก็จะเริ่มเข้าใจว่า ‘ความปรุงแต่งจิต’ เป็นอย่างไร
ตลอดจนรู้สึกว่าความปรุงแต่งจิตเป็นของหลอกชั่วคราว
ไม่มีอิทธิพลขนาดทำให้คุณตัดสินใจผิดๆเหมือนเมื่อก่อนได้
ดังตฤณ
ตุลาคม ๖๖