การมีใจจดจ่ออยู่กับงานมาก
จนไม่รับรู้เรื่องราวรอบข้าง เป็นเรื่องปกติหรือไม่
ถาม – เวลาที่ดิฉันกำลังทำงานอยู่ แล้วมีคนมาคุยกันใกล้ๆ
ก็มักจะไม่รู้เรื่องที่พวกเขากำลังสนทนา เว้นแต่จะตั้งใจฟังอย่างจดจ่อตั้งแต่แรก
ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ไม่เป็นแบบนี้
ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด แบบนี้ควรทำอย่างไรดีคะ
ตอบ - แสดงว่าคุณถือว่ามีสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ก็ดีแล้วนี่
จะไปทำงานไปด้วยแล้วก็เงี่ยหูฟัง หรือว่าแบ่งโสตประสาท
ไปรับคำพูดหรือว่าคำคุยของใครต่อใครเขาทำอะไร
มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่อยากจะทำให้ได้แบบนั้นหรอก
แต่เอาละ คือถ้าหากว่าอธิบายนะ
คือจะให้เกิดความเข้าใจเนี่ย อาจจะได้สบายใจขึ้นนะครับ
ว่าทำไมคนอื่นเขาเป็นกันอย่างนั้น แล้วทำไมเราถึงไม่เป็นเช่นนั้นบ้าง
การที่เรามีใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เรียกว่ามีความสนใจ มีโฟกัสที่เต็มๆ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นน่ะ
แสดงถึงการมีสมาธิโดยพื้นฐานนะ
คือไม่ใช่หมายความว่าเราสมาธิดีแค่ไหน หรือว่าจะประณีตเพียงใด
แต่โดยพื้นฐานแล้วเนี่ย ใจของเราเมื่อโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว
มันจะไปปิดการทำงานของประสาทส่วนอื่น
ไม่ให้เกิดการรับรู้ ไม่ให้เกิดการวอกแวก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ใครๆ เขาอยากจะเป็นอย่างนี้กัน
ถ้าหากว่านั่งทำงานแล้วได้ยินคนอื่นคุยไปด้วยเนี่ย
แสดงว่าใจไม่ได้โฟกัสอยู่กับงานจริง
หรือถึงแม้ว่าทำงานได้ดูเป็นปกติ แต่ว่าคุณภาพของจิตก็จะไม่เต็มร้อยนะ
คือถ้าคิดในแง่ของคนที่อยากจะต่อยอดจากการทำงานทางโลก มาเจริญสติแล้วเนี่ย
คนที่โฟกัสอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วไม่สนใจสิ่งอื่นเลยเนี่ย จะได้เปรียบกว่า
โดยพื้นฐานนิสัยนะ ถ้าหากว่าพื้นฐานนิสัยของคุณเนี่ย
จะเกื้อกูลกับการเจริญสติมากกว่า
เปรียบเทียบได้กับตอนที่พระพุทธเจ้าท่านเคยประทับอยู่ในโรงนา
คือท่านไปขออาศัยชาวบ้านที่มีโรงนา แล้วพำนักอยู่ชั่วข้ามคืนนะครับ
ที่มีฟ้าร้องฟ้าผ่า มีเสียงอึกทึกจากการที่ฝนตกอะไรแบบนี้
ท่านก็เหมือนกับมีการออกมาเดินจงกรมบ้าง
เดินจงกรมอยู่ในโรงนานั่นแหละ ไม่ใช่ออกมาข้างนอกโรงนานะ
เสร็จแล้วตอนเช้าท่านก็คุยกับเจ้าของโรงนา
เจ้าของโรงนาก็บอกว่า เมื่อคืนนอนหลับไหม บรรทมได้ดีหรือเปล่า
เพราะว่าเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเนี่ย มันดังอึกทึกครึกโครมมาก
ท่านก็บอกว่า ท่านไม่ได้ยินเสียงเลย ท่านเดินจงกรมแล้วก็ประทับนั่งสมาธิ
เหมือนกับเรียกว่าเวลาที่ท่านอยู่ในสมาธิเนี่ยนะ
คือสมาธิระดับฌานเนี่ย ประสาทหูจะไม่ทำงานเลย ท่านไม่ได้ยินเลย
ท่านตอบเจ้าของโรงนาอย่างนั้น
เจ้าของโรงนาก็อัศจรรย์ใจนะครับ
บอกว่า โอ้โห! ฟ้าผ่าดังขนาดนั้น แล้วก็มีการเปรี้ยงปร้างใกล้กับโรงนาด้วยซ้ำ
แต่น่าอัศจรรย์มากที่นักบวชท่านนี้ไม่ได้ยิน
คือท่านเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสเป็นความจริง
เพราะว่าดูจากลักษณะท่าทาง
หรือว่ารัศมีคาริสม่าของพระพุทธเจ้าน่ะ ไม่ใช่คนโกหกหรอก
เมื่อท่านบอกว่าไม่ได้ยิน ก็แปลว่าท่านคงไม่ได้ยินจริงๆ
คงมีการปฏิบัติธรรม แล้วก็จิตเนี่ยตัดจากการรับรู้ทางประสาทอื่นๆ นะครับ
อย่างเช่นหู อย่างเช่นทางกลิ่น อะไรแบบนี้นะ
ก็รับรู้อยู่เฉพาะสิ่งที่เป็นอารมณ์ในการบำเพ็ญเพียรเจริญสติ
คืออย่างพระพุทธเจ้าไม่ต้องบำเพ็ญเพียรแล้วล่ะ
แต่ท่านเจริญสติ ดูขันธ์ห้าโดยความเป็นอนัตตา เพื่อความสุขในปัจจุบัน
ท่านตรัสไว้นะ พระอรหันต์เนี่ยท่านยังเดินจงกรมอยู่นะ ยังขยันอยู่ ยังนั่งสมาธิอยู่
ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้เห็นขันธ์ห้าโดยความเป็นอนัตตา
เป็นความสุขเฉพาะเวลาปัจจุบันซึ่งยังดำรงขันธ์อยู่ของพวกท่าน
อันนี้ก็เอามาเปรียบเทียบว่า
ถ้าหากเราจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่ง แล้วไม่ได้ยินอะไรเลย
นั่นแสดงว่าจิตของเรามีความโน้มเอียงนะครับ ที่สามารถเข้าฌานได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเสียงเป็นปฏิปักษ์กับฌาน
หมายความว่าถ้าหากยังได้ยินเสียง ยังมีเสียงเป็นเครื่องรบกวนอยู่เนี่ย
โอกาสที่จะเข้าถึงฌานเนี่ยมันยาก
เพราะว่าคลื่นเสียงเป็นสิ่งสั่นสะเทือน
ทำให้จิตเนี่ยมีอาการหวั่นไหว มีอาการที่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
ตามลักษณะที่เสียงมันเข้ามาปรุงแต่งจิตนะครับ
เอาเป็นว่าถ้าหากเราเป็นตัวประหลาดในแบบดีก็เป็นไปเถอะ
อย่ามาเป็นคนปกติกับเขาเลย