Print

ดังตฤณวิสัชนา ฉบับเปิดกรุ - ฉบับที่ ๒๖๘

dungtrin_cover

 dungtrin_gru2a

 

 

 

การมีใจจดจ่ออยู่กับงานมาก
จนไม่รับรู้เรื่องราวรอบข้าง เป็นเรื่องปกติหรือไม่

ถาม – เวลาที่ดิฉันกำลังทำงานอยู่ แล้วมีคนมาคุยกันใกล้ๆ
ก็มักจะไม่รู้เรื่องที่พวกเขากำลังสนทนา เว้นแต่จะตั้งใจฟังอย่างจดจ่อตั้งแต่แรก
ในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ไม่เป็นแบบนี้

ดิฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด แบบนี้ควรทำอย่างไรดีคะ


ตอบ - แสดงว่าคุณถือว่ามีสมาธิจดจ่ออยู่กับงาน ก็ดีแล้วนี่
จะไปทำงานไปด้วยแล้วก็เงี่ยหูฟัง หรือว่าแบ่งโสตประสาท
ไปรับคำพูดหรือว่าคำคุยของใครต่อใครเขาทำอะไร

มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่อยากจะทำให้ได้แบบนั้นหรอก
แต่เอาละ คือถ้าหากว่าอธิบายนะ
คือจะให้เกิดความเข้าใจเนี่ย อาจจะได้สบายใจขึ้นนะครับ
ว่าทำไมคนอื่นเขาเป็นกันอย่างนั้น แล้วทำไมเราถึงไม่เป็นเช่นนั้นบ้าง

การที่เรามีใจจดใจจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เรียกว่ามีความสนใจ มีโฟกัสที่เต็มๆ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นน่ะ
แสดงถึงการมีสมาธิโดยพื้นฐานนะ
คือไม่ใช่หมายความว่าเราสมาธิดีแค่ไหน หรือว่าจะประณีตเพียงใด
แต่โดยพื้นฐานแล้วเนี่ย ใจของเราเมื่อโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว
มันจะไปปิดการทำงานของประสาทส่วนอื่น
ไม่ให้เกิดการรับรู้ ไม่ให้เกิดการวอกแวก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ใครๆ เขาอยากจะเป็นอย่างนี้กัน

ถ้าหากว่านั่งทำงานแล้วได้ยินคนอื่นคุยไปด้วยเนี่ย
แสดงว่าใจไม่ได้โฟกัสอยู่กับงานจริง
หรือถึงแม้ว่าทำงานได้ดูเป็นปกติ แต่ว่าคุณภาพของจิตก็จะไม่เต็มร้อยนะ
คือถ้าคิดในแง่ของคนที่อยากจะต่อยอดจากการทำงานทางโลก มาเจริญสติแล้วเนี่ย
คนที่โฟกัสอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วไม่สนใจสิ่งอื่นเลยเนี่ย จะได้เปรียบกว่า
โดยพื้นฐานนิสัยนะ ถ้าหากว่าพื้นฐานนิสัยของคุณเนี่ย
จะเกื้อกูลกับการเจริญสติมากกว่า

เปรียบเทียบได้กับตอนที่พระพุทธเจ้าท่านเคยประทับอยู่ในโรงนา
คือท่านไปขออาศัยชาวบ้านที่มีโรงนา แล้วพำนักอยู่ชั่วข้ามคืนนะครับ
ที่มีฟ้าร้องฟ้าผ่า มีเสียงอึกทึกจากการที่ฝนตกอะไรแบบนี้
ท่านก็เหมือนกับมีการออกมาเดินจงกรมบ้าง
เดินจงกรมอยู่ในโรงนานั่นแหละ ไม่ใช่ออกมาข้างนอกโรงนานะ
เสร็จแล้วตอนเช้าท่านก็คุยกับเจ้าของโรงนา
เจ้าของโรงนาก็บอกว่า เมื่อคืนนอนหลับไหม บรรทมได้ดีหรือเปล่า
เพราะว่าเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเนี่ย มันดังอึกทึกครึกโครมมาก
ท่านก็บอกว่า ท่านไม่ได้ยินเสียงเลย ท่านเดินจงกรมแล้วก็ประทับนั่งสมาธิ
เหมือนกับเรียกว่าเวลาที่ท่านอยู่ในสมาธิเนี่ยนะ
คือสมาธิระดับฌานเนี่ย ประสาทหูจะไม่ทำงานเลย ท่านไม่ได้ยินเลย

ท่านตอบเจ้าของโรงนาอย่างนั้น
เจ้าของโรงนาก็อัศจรรย์ใจนะครับ
บอกว่า โอ้โห
! ฟ้าผ่าดังขนาดนั้น แล้วก็มีการเปรี้ยงปร้างใกล้กับโรงนาด้วยซ้ำ
แต่น่าอัศจรรย์มากที่นักบวชท่านนี้ไม่ได้ยิน
คือท่านเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสเป็นความจริง
เพราะว่าดูจากลักษณะท่าทาง
หรือว่ารัศมีคาริสม่าของพระพุทธเจ้าน่ะ ไม่ใช่คนโกหกหรอก
เมื่อท่านบอกว่าไม่ได้ยิน ก็แปลว่าท่านคงไม่ได้ยินจริงๆ
คงมีการปฏิบัติธรรม แล้วก็จิตเนี่ยตัดจากการรับรู้ทางประสาทอื่นๆ นะครับ
อย่างเช่นหู อย่างเช่นทางกลิ่น อะไรแบบนี้นะ
ก็รับรู้อยู่เฉพาะสิ่งที่เป็นอารมณ์ในการบำเพ็ญเพียรเจริญสติ

คืออย่างพระพุทธเจ้าไม่ต้องบำเพ็ญเพียรแล้วล่ะ
แต่ท่านเจริญสติ ดูขันธ์ห้าโดยความเป็นอนัตตา เพื่อความสุขในปัจจุบัน
ท่านตรัสไว้นะ พระอรหันต์เนี่ยท่านยังเดินจงกรมอยู่นะ ยังขยันอยู่ ยังนั่งสมาธิอยู่
ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้เห็นขันธ์ห้าโดยความเป็นอนัตตา
เป็นความสุขเฉพาะเวลาปัจจุบันซึ่งยังดำรงขันธ์อยู่ของพวกท่าน

อันนี้ก็เอามาเปรียบเทียบว่า
ถ้าหากเราจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่ง แล้วไม่ได้ยินอะไรเลย
นั่นแสดงว่าจิตของเรามีความโน้มเอียงนะครับ ที่สามารถเข้าฌานได้

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเสียงเป็นปฏิปักษ์กับฌาน
หมายความว่าถ้าหากยังได้ยินเสียง ยังมีเสียงเป็นเครื่องรบกวนอยู่เนี่ย
โอกาสที่จะเข้าถึงฌานเนี่ยมันยาก
เพราะว่าคลื่นเสียงเป็นสิ่งสั่นสะเทือน
ทำให้จิตเนี่ยมีอาการหวั่นไหว มีอาการที่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง
ตามลักษณะที่เสียงมันเข้ามาปรุงแต่งจิตนะครับ
เอาเป็นว่าถ้าหากเราเป็นตัวประหลาดในแบบดีก็เป็นไปเถอะ
อย่ามาเป็นคนปกติกับเขาเลย