Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๑๘๖

เมื่อจิตดีความสุขก็มา

ปนัดดา ธรรมพาสุข

suppe-186

ตั้งแต่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก เท่าที่จำความได้น่าจะอายุสักประมาณ ๕ – ๗ ขวบ ผู้เขียนโชคดีที่ได้มีโอกาสอาศัยอยู่กับคุณปู่ ป้า ลุง และพี่ๆ ที่ต่างจังหวัด เติบโตมาจากบ้านสวนร่มรื่น มีผัก ผลไม้ให้กินตลอดทั้งปี ไม่ต้องหาซื้อให้เปลืองเงิน เรามีผักอยู่ริมรั้วบ้าน มีมะม่วง ฝรั่ง มะพร้าว ฯลฯ อยู่ที่สวน ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนที่บ้านบอกเสมอว่าให้เตรียมข้าวเหนียว และอาหารไปดักรอใส่บาตรเวลาพระสงฆ์มาบิณฑบาต ผู้เขียนก็ปฏิบัติตามที่ผู้ใหญ่บอกเสมอจนกระทั่งเรียนจบชั้นประถม ๖ ก็ต้องแยกจากทางนี้ เพื่อสอบเรียนต่อระดับชั้นมัธยมในกรุงเทพฯ คราวนี้ก็ได้มีโอกาสมาอยู่กับพ่อแม่จริงๆจังๆ ระหว่างที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น – มัธยมปลาย ไม่เคยละทิ้งการทำบุญใส่บาตร ช่วยงานพระอาจารย์ ถ้ามีโอกาสจะไปวัดฟังธรรมะสม่ำเสมอ รวมทั้งหาโอกาสไปปฏิบัติธรรม เมื่อเรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ก็ยังคงปฏิบัติเช่นนี้อยู่เรื่อยไป และทุกวันนี้เพื่อนๆ หรือคนรู้จักก็ตั้งฉายาให้ไปแล้วเรียบร้อยว่า “แม่ชี”

ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันนี้ สิ่งที่ผู้เขียนประสบมาโดยตลอด คือ “ความสุข” กับสิ่งที่พอเพียงและพอดี เป็นความงดงามของชีวิตถึงแม้จะไม่สนุกสนานจนล้นเหมือนอย่างวัยรุ่นคนอื่นๆ แต่ผู้เขียนมีความสุขมากกับสิ่งที่เป็นอยู่ หรือแม้แต่เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เนื่องด้วยที่ผ่านมาชีวิตของเรานั้นได้ถูกอบรมบ่มเพาะให้คลุกคลีและเรียนรู้อยู่กับสิ่งดีดี ชีวิตจึงเป็นโจทย์ที่งดงาม ในการวางแผนเดินมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่บิดเบือนคำสอนสั่งที่เคยได้รับมา

ปัจจุบันนี้ผู้เขียนเข้าสู่วัยทำงานมาก็ประมาณ ๔ ปีได้แล้ว ยังคงปฏิบัติธรรม เรียนรู้เหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย นั่นคือ มีสติอยู่กับสิ่งที่ทำอยู่ ยังคงนึกแปลกใจอยู่ว่าชีวิตเราถึงแม้จะไม่ได้ร่ำรวยมากนัก แต่ก็มีความสุขดีกับการใช้ชีวิต สุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ขณะปัจจุบัน เคยมีคนถามผู้เขียนว่าเคยรู้สึกเครียดหรือเหนื่อยอกเหนื่อยใจจากเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตบ้างไหม ผู้เขียนตอบได้เลยว่า ใครๆ ก็เครียดได้ รู้สึกเหนื่อยได้ แต่ที่สำคัญสุด คือ มันก็แค่เกิดขึ้นชั่วขณะ ไม่สามารถบั่นทอนความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ให้ไขว้เขวได้ พูดง่ายๆ คือ เราสามารถควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่อาการเก็บกดแต่อย่างใด แต่มันคือวิธีการของการ “ฝึกจิต” มาดีแล้ว

ถ้าจิตของเราได้รับการฝึกมาดีแล้ว เสมือนว่าเรามีภูมิคุ้มกัน มีเกราะป้องกันเรื่องร้ายๆ ทั้งหลาย จิตที่ดีจะเป็นตัวกรองให้เราประสบพบเจอแต่เรื่องดีๆ

ทุกวันนี้ เหตุการณ์บ้านเมืองกำลังเป็นที่หวั่นวิตกยิ่งนัก อาจจะด้วยเพราะ “จิต” ที่ยังไม่ได้รับการฝึกมาดี จึงเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรงและเรื้อรังมาจนกระทั่งปัจจุบัน

หากเราลองจินตนาการว่า ถ้าหากทุกคนในสังคม หรือประเทศของเรามีการพัฒนาและฝึกจิตของตนนั้นมาแล้วเป็นอย่างดี เราจะรู้สึกเห็นใจ อ่อนน้อม ไม่รุนแรง ไม่ทำร้าย ไม่คดโกง จิตเราจะเข้มแข็ง จะไม่ยอมปล่อยให้ความชั่วทั้งปวงมีโอกาสได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

ละเว้นความชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส นี้แหละคือ “หัวใจของพระพุทธศาสนา” อย่างแท้จริง

ขอให้ทุกท่านมีจิตใจที่เข้มแข็ง ซื่อตรงต่อการฝึกจิตให้คิดดีอยู่เสมอ แล้วท่านจะพบความสุขอยู่กับสิ่งที่เป็นขณะปัจจุบัน