Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๗๓

ยิ่งให้ ยิ่งได้?
บัวตอง?

ในยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้เรื่องเงินๆ ทองๆ ยังเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วไป โดยเฉพาะ คนไม่ค่อยมีทรัพย์สินหลายคนในยุคนี้หูผึ่งทันทีที่ได้ยินคำว่า ?รายได้เสริม? หรือ ?ทำกำไรได้จำนวนมาก? มิใช่หมายความว่าคนที่ชื่นชอบเงินเป็นคนไม่ดี แต่แท้จริงแล้วมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนหน้าอยู่ภายใต้คำว่า เงินตรา?

ในสมัยก่อนที่ข้าพเจ้าเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ การหางานที่ได้ค่าตอบแทนสูงหรือที่เรียกว่าเงินเดือนดีนั้น เป็นสิ่งที่อยู่ในความสนใจอันดับต้นๆ ของบัณฑิตไร้ประสบการณ์ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ?

ยังจำได้ว่าในบทสัมภาษณ์เข้าทำงานตอนหนึ่งของบริษัทในเครือซีเมนต์ไทย (ปี ๒๕๓๗) พนักงานอาวุโสฝ่ายบุคคลผู้สัมภาษณ์ ได้ยิงคำถามจี้ใจดำในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ว่า คุณคิดว่าเงินเดือนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดหรือเปล่าในการเลือกทำงานกับองค์ใดๆ ก็ตาม (ต้องนึกภาพว่าสมัยนั้นเศรษฐกิจยังดีกว่าปัจจุบันมาก ลูกจ้างจึงเป็นฝ่ายเลือกนายจ้างได้ ไม่เหมือนกับในสมัยนี้)?

ในตอนนั้นข้าพเจ้ายังขาดประสบการณ์นักทั้งในเรื่องการทำงานและปรัชญาการดำเนินชีวิต จำได้ว่าได้ตอบเค้าไปตามจริงในขณะนั้น ?ใช่ค่ะ? เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่านอกจากเงินเดือนแล้ว ยังมีปัจจัยอะไรบ้างที่ต้องคำนึงถึงอีก หลังจากนั้นเค้าได้พูดอะไรอีกซัก ๒-๓ ประโยค แล้วเราก็ร่ำลากัน?

วันเวลาผ่านไปหลายปี ข้าพเจ้าได้ลืมคำพูดปริศนาประโยคนั้นไปนานแล้ว จวบจนกระทั่ง ประสบการณ์ชีวิตได้ตกตะกอน......... ในวันหนึ่งข้าพเจ้ามีโอกาสทำงานทางด้านการตลาดกับทีมงานรุ่นน้อง และประโยคหนึ่งได้หลุดออกมาจากปากข้าพเจ้า ?เวลาทำงานให้ทำด้วยใจ เรารู้ว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการมีชีวิตอยู่ในยุคนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจำเป็นต้องทำงานเพื่อเงิน? หลุดปากพูดออกไปก็สะดุ้งในใจด้วยคุ้นๆ ว่าเคยได้ยินประโยคคล้ายกันนี้ที่ไหน กลับไปบ้านจึงถึงบางอ้อ มันเป็นประโยคเดียวกับที่พนักงานฝ่ายบุคคลท่านนั้นได้พยายามอธิบายให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อ ๑๕ ปี ที่แล้วนั่นเอง หลายคนอาจงงและเกิดข้อโต้แย้งในใจว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเราไม่ได้ทำงานเพื่อเงิน เมื่อตอนข้าพเจ้าจบใหม่ๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ?

หินในแม่น้ำได้ถูกสายน้ำกัดเซาะ กัดกร่อนจนกลมเกลี้ยงฉันใด วันเวลาที่พัดผ่านบวกประสบการณ์ถูกผิดก็ได้ลับคมความคิดของข้าพเจ้าให้ชัดเจนในชีวิตมากขึ้นฉันนั้น จวบจนวันนี้จึงได้เข้าใจว่า การที่เราไม่ได้คาดหวังว่าจะทำงานเพื่อเงิน แต่เล็งเป้าเข้ามาที่ผลงานที่กำลังจะเกิดขึ้น ว่ามันจะสามารถทำประโยชน์ให้ผู้อื่นได้มากเท่าใดต่างหาก เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานและการประสบความสำเร็จในชีวิต การทำงานด้วยหัวใจรัก และหมั่นพิจารณาไตร่ตรองหาทางแก้ไขปรับปรุงโดยไม่ย่อท้อ ทำให้เกิดผลงานที่ยิ่งใหญ่เพราะมันเกิดขึ้นจากความคิดจะเป็นผู้ให้ตั้งแต่เริ่มแรก?

หัวใจของผู้ให้เป็นหัวใจที่ยิ่งใหญ่ มีพลังแห่งความเมตตา ลองนึกภาพการให้อาหารหมาแมวจรจัด หรือสัตว์ที่เรารู้ว่ายังไงซะมันก็คงไม่สามารถตอบแทนอะไรเราได้มากกว่าการมองตาปริบๆ ด้วยความขอบคุณ หรืออย่างดีก็ประจบประแจง เลียแข้งเลียขาก็เท่านั้น เมื่อเรามีใจคิดจะให้ด้วยเมตตา จิตนั้นจะดึงดูดสิ่งที่เป็นบวกกลับมาหาเรารวมถึง เงินแม้เราจะต้องการมันหรือไม่ก็ตาม ?

เมื่อเดือนก่อนข้าพเจ้ามีโอกาสปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดในจังหวัดชลบุรี ท่านให้แง่คิดในเรื่องเงินไว้ดังนี้?
?ไม่ต้องดิ้นรนวิ่งหามัน แต่ถ้าเรา ดีพอเงินจะวิ่งตามหาเราเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม เงินจะตามเราจนพบ? เหมือนกับลูกศิษย์แม่ชีท่านหนึ่ง ทำงานเลี้ยงชีพในทางโลก ส่วนในทางธรรมก็ปฏิบัติวิปัสสนาเป็นประจำ เค้ามิได้ต้องการความร่ำรวย ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพเท่านั้นเอง แต่ผลจากการถือศีลและปฏิบัติธรรมส่งผลให้เค้าเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้ว เย็นใครๆ ก็อยากเข้าใกล้ อยากพูดคุย อยากร่วมงานด้วย ท้ายที่สุดมีคนสั่งซื้อสินค้า (order) จากเค้าเป็นจำนวนมาก ทำให้มีกำไรมาก เค้าแบ่งปันบางส่วนไปทำบุญทำทาน นอกจากนั้น การที่มี order จากลูกค้ารายเดียวจำนวนมาก ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาลูกค้าเพิ่ม เค้าจึงมีเวลาปฏิบัติธรรมที่วัดต่อได้อีก?

ในเรื่องนี้ หากพิจารณาดูแล้ว ก็ตรงกับหลักการทำงานของพระพุทธเจ้า นั่นคือ หลัก อิทธิบาท ๔?
๑. ฉันทะ มีความชอบ และมีใจรักในงานที่ทำ?
๒. วิริยะ ความขยันหมั่นเพียร อดทน ไม่ย่นย่อต่อการงานทั้งหลาย?
๓. จิตตะ มุ่งมั่น ฝึกฝน มีใจจดจ่อในงานตลอดเวลา?
๔. วิมังสา หมั่นพิจารณาตรวจตราแก้ไข ปรับปรุง จนกว่างานนั้นจะบรรลุผลสำเร็จ?

นอกจากนั้นแล้ว หากต้องการเป็นคนมั่งมี ก็ต้องรู้จักวิธีใช้เงิน (ไม่ยอมให้เงินใช้เราให้ทำงานเพื่อมัน) และเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ข้าพเจ้าได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็คือ การแบ่งปันท่านว่า ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้รับยิ่งเป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนด้วยแล้วนั้นเป็นเรื่องแปลก กลับทำให้ยิ่งได้รับมากขึ้นเป็นทวีคูณ?

กฎ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับนี้ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพิสูจน์มาแล้วใน ๒ ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าทำงานด้วยความสุขยิ่งนัก ทุกๆ วันทำหน้าที่ของตนโดยคำนึงถึงผลแห่งงาน ว่าจะสามารถสร้างประโยชน์และความสุขให้กับผู้อื่นได้มากน้อยเพียงไร อีกทั้ง การทำงานด้วยความรักความชอบ (ฉันทะ) ในงานที่ทำนั้นเอง ทำให้เราได้ถอยออกมาอีกก้าวเพื่อสำรวจตัวเอง โดยเอาเรื่องเงินไว้เป็นประเด็นหลังๆ ทำให้ใจมีอิสระในการสร้างสรรค์ สมองโปร่งใส คิดอ่านได้แหลมคมขึ้น ทำให้มองเห็นโอกาสที่แต่ก่อนไม่เคยมองเห็นมาก่อน แล้วลงมือทำอย่างจริงจัง จนกระทั่งงานสำเร็จ ไม่น่าเชื่อ เงินวิ่งตามมาจริงๆ ด้วย ..........?

คำเตือน : ต่อให้วันนั้นคุณวิ่งหนี เงินก็จะตามจนพบและพยายามเคาะประตูมาอยู่ด้วยจนได้