Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๑๗๔

ความรักกับอัตตา (ที่ไม่เคยเห็น)

Purple Jade

love-love-33915309-500-313

เคยเป็นมั้ย? เวลาคบใครซักคนนึง เราใส่ใจเค้ามาก รู้สึกรักมาก ทำอะไรต่อมิอะไรให้เค้าได้มากมาย แต่พอมาถึงวันนึงที่ความสัมพันธ์ไม่เป็นไปอย่างใจเราแล้ว เรากลับบอกเลิกได้ทันทีโดยไม่ต้องรีรอ ไม่เหลือเยื่อใย ไม่นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำว่าเค้าจะตัดเราได้เหมือนที่เราตัดเค้ามั้ย เค้าจะเสียใจแค่ไหนหรือเจ็บจากการถูกบอกเลิกยังไง..? เราเป็นคนนึงที่เคยพร้อมบอกเลิกคนอื่นได้ทันทีเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ทั้งที่เมื่อวานยังรู้สึกว่ารักเหลือเกิน… หรือบางครั้งแทนที่จะจบความสัมพันธ์ลงอย่างง่ายดายแบบกรณีแรก เรากลับเลือกที่จะพยายามยื้อไว้จนถึงที่สุด ดิ้นรนพยายามทุกวิถีทาง ไม่แคร์ว่าที่ทำอยู่นั้นไม่ได้ทำให้ใครมีความสุขเลย รู้แค่ว่าต้องเอาชนะให้ได้ ทุกอย่างต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิม เค้าต้องกลับมาเป็นของเราเหมือนเดิม! เราเองอีกเหมือนกันที่เคยดันทุรังแบบนั้น แม้จะทรมานแทบขาดใจกับทุกๆวันที่ผ่านไปก็ตาม

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็มีบ้างที่กลับมาสงสัย โดยเฉพาะเวลาที่เราจะเริ่มคบกับคนใหม่ ก็จะกลับมานึกถึงความสัมพันธ์ที่เพิ่งจบไปทุกครั้ง แล้วไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาเราเคยรักใครจริงมั้ย พร้อมกับระแวงอยู่ในใจว่าเดี๋ยวก็คงจบแบบเดิมอีก ซึ่งมารู้ทีหลังว่านั่นคือเพราะไม่รู้จักความรักที่แท้จริง และไม่รู้วิธีที่จะรักแล้วไม่ทุกข์

มาเริ่มรู้จักการเจริญสติได้ไม่นาน เริ่มหัดภาวนา รู้บ้างหลงบ้าง เห็นกิเลสบ้าง ไม่เห็นบ้าง ทำต่อเนื่องกันไปหลายเดือน วันนึงมันก็เข้าใจขึ้นมา นึกถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านๆมาได้เองว่า จริงๆแล้วเราไม่เคยรักใครจริงเลยนะ เราแค่รักความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นกับเราตอนคบกับคนๆนั้น รักที่มีเค้ามาให้ความสนใจ ทำให้เรามีความสำคัญ มีตัวมีตนขึ้นมา รักที่เค้าเอาใจและตามใจเรา ซึ่งถ้าลองสังเกตแบบเป็นคนนอกมองเข้ามา ทั้งหมดที่ว่ามานั่นก็คือรักตัวเองล้วนๆ อยากให้ตัวเองมีความสุข เพราะไม่ได้มีตรงไหนที่นึกถึงใจของอีกฝ่ายเลย ดังนั้นพอถึงวันที่ความสัมพันธ์เริ่มเปลี่ยนไป เราไม่ได้รับความรู้สึกดีๆ ไม่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญเหมือนเดิมแล้ว เราจึงบอกเลิกได้ทันทีโดยไม่ได้คิดจะพยายามทำความเข้าใจหรือให้โอกาสใคร หรือบางครั้งแทนที่จะปล่อยเค้าไปง่ายๆ เรากลับดันทุรังรั้งเค้าไว้ เพราะอัตตาทำงานรุนแรงกว่าที่เคย เราเลือกที่จะทำสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อสนองความต้องการของตัวเองว่าทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ “เรา” เท่านั้น

มองย้อนกลับไปอีกนิด ความหวังดีและสิ่งต่างๆที่เราทำให้ในขณะที่คบกัน ที่เคยคิดว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจมาโดยตลอด ณ เวลานั้นๆ จริงๆแล้วกลับไม่ได้บริสุทธิ์อย่างที่เข้าใจนัก เพราะมันถูกทำไปภายใต้ความหวังว่าเราจะต้องได้รับความรู้สึกดีๆตอบแทนกลับมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นความสัมพันธ์ที่มีเงื่อนไข แต่เราไม่เคยมองเห็น แม้กระทั่งตอนที่เราบอกว่าคิดถึงเค้า นั่นก็เพื่อตัวเราเองอีกเหมือนกัน ดูลงไปจริงๆที่คิดถึงนั้นคือคิดถึงเวลาที่อยู่ด้วยกัน เพราะเวลาเหล่านั้นทำให้ “เรา” มีความสุข คิดถึงเค้าจึงไม่ได้แปลได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ารักเค้า ส่วนใหญ่แล้วน่าจะแปลว่ารักตัวเองมากกว่า

หลายคนรอบตัวเราทุกข์เพราะอกหัก สิ่งที่คนอกหักแทบจะทุกคนพูดเหมือนกันคือ ทุกข์ใจเสียใจเพราะรักมากเหลือเกิน เราเองก็เคยเป็นแบบนี้ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ คิดว่าที่ต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ขนาดนี้เนี่ยเพราะคำว่ารักคำเดียวเลย จริงๆแล้ว... ถ้าจะพูดเต็มๆอาจจะต้องพูดใหม่ว่ารักคำเดียวจริงๆ แต่เป็นรักตัวเอง ไม่ใช่รักเค้าอย่างที่เข้าใจหรอก เพราะเราแค่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราต้องการเท่านั้น พอไม่ได้เลยทุกข์ และนี่ก็เป็นตัวอย่างของการรักตัวเองในแบบที่ไม่ค่อยฉลาดนัก เพราะรักแล้วเป็นทุกข์ รักแล้วมีแต่ความขุ่นเคืองในจิตใจ รักตัวเองแต่ทำร้ายตัวเอง อย่างนี้น่าจะเรียกได้ว่า ไม่ได้รักด้วยปัญญา...

เรามารู้จักความจริงนี้ได้ชัดเจนขึ้นอีก เมื่อได้มารู้จักความรักอีกแบบ ความรักที่เป็นการเกื้อกูลกัน ความรักที่หวังให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ด้วยใจจริง เริ่มตั้งแต่เรื่องปัจจัย4 ขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับการพ้นทุกข์แบบข้ามสังสารวัฏ เราเริ่มต้นง่ายๆด้วยการ “ให้” เริ่มเสียสละ เริ่มไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งหรือศูนย์กลางของจักรวาลแบบที่เคย เอาใจเค้ามาใส่ใจเรามากขึ้น และเป็นฝ่ายยอมบ้างเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข แปลกตรงที่มองดูแล้วเราน่าจะเป็นฝ่าย “เสีย” แต่ทำไมเรากลับรู้สึก “ได้” กลับมาแบบเต็มเปี่ยมล้นหัวใจก็ไม่รู้ เพิ่งได้รู้ว่าการให้มันมีความสุขมากกว่าการได้รับและเรียกร้องเอาแต่ใจฝ่ายเดียวขนาดไหน

การสละสิ่งของและเงินทองให้กับผู้ด้อยโอกาสตามกำลัง รวมถึงการถวายปัจจัย ใส่บาตร ทำสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน เพื่อทำนุบำรุงสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ตลอดจนการให้ความรักความใส่ใจทั้งกับคนและสัตว์รอบๆตัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นความรักและการให้ที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างหนึ่งซึ่งไม่สามารถจะอธิบายออกมาได้หมด เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจ เพียงแค่ได้รู้ว่าผู้รับจะได้ประโยชน์ จะมีความสุข ได้รู้ว่าจะมีผู้ที่มีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสว่างเกิดขึ้น จนถึงขั้นมีปัญญาที่จะนำพาตัวเองไปเพื่อความพ้นทุกข์อย่างถาวรได้ มันเป็นความเย็น ความสบายใจ เป็นความรักอีกแบบที่เบา โล่ง จิตใจเป็นสุขและมีอิสระ ไม่ใช่ความรู้สึกร้อนแรงหรือแน่นทึบ ไม่ผูกมัด ไม่หวง ไม่เหนื่อย เพราะที่ให้ไปทั้งหมด นอกจากไม่ได้หวังว่าจะได้อะไรกลับมาเพื่อตัวเองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสุขมากขึ้น เรากลับเป็นสุขยิ่งกว่า แม้บางครั้งการเสียสละของเราอาจจะหมายถึงการเสียคนรักไป เพื่อให้เค้าได้มีความสุขมากขึ้นกับคนอื่น ไม่ใช่กับเราก็ตาม

และถ้าเราได้มาพบเจอคนแบบเดียวกันนี้ คนที่มีจิตใจคิดสละออกเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ คนที่มีความรักความเมตตาเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต เมื่อได้รักคนแบบนี้ จะเข้าใจว่าชีวิตที่มีความรักได้โดยไม่ต้องดราม่านี่มันดีขนาดไหน ต่างฝ่ายต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มันเย็น เป็นสุข และเป็นแสงสว่างส่องทางให้กันได้ขนาดไหน แสงสว่างนี้มันสว่างกว้างขวางออกไปจนช่วยเพื่อนร่วมโลกได้อีกมากมายเลย

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกดีได้มากๆในทุกครั้งหลังการให้ไป ไม่ว่าจะเป็นการสละแรงกาย แรงใจ สละทรัพย์ หรือให้ปัญญา ทุกครั้งที่เรามีความสุข อาจจะเป็นความสุขสงบจากการสวดมนต์ก็ได้ ลองแผ่เมตตารวมถึงอุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย แผ่เมตตาไปไม่มีประมาณด้วยจิตใจที่เปิดกว้างเย็นสบายของเราในตอนนั้น ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์ มีความสุข ขอให้เค้ามาร่วมอนุโมทนาบุญและได้มีส่วนในบุญกุศลที่เราทำไว้ดีแล้วทั้งหมด เมื่อแผ่เมตตาเสร็จแล้ว ลองกลับมาสำรวจใจตัวเองดูสิ บางครั้งอาจจะได้พบว่าความสุขที่มีก่อนหน้านี้มันกลับยิ่งเอ่อล้นเพิ่มพูนขึ้นมาอีกมากมายหลายเท่าเลย… รักเหนือรักนั้นคือเมตตา ส่วนรักที่แท้จริงยิ่งกว่าคือต่างพากันรักพระนิพพาน