Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๗๔

เริ่มที่หนึ่ง จบที่ศูนย์
วิทวัชร์

ผมเองก็คงไม่ต่างอะไรกับนักเรียน นักศึกษาสมัยนี้ทั่วไปตรงที่ชอบเล่นเกม ถึงจะรู้ว่ามีงานกองพะเนินรออยู่ตรงหน้า แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งโง่ ยอมตามใจกิเลสเสียบ้าง

ผลพลอยได้จากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้นมีอยู่หลายประการ และหนึ่งในนั้นก็คือวิวัฒนาการของเกม จากที่เดิมขนาดเท่าตู้เย็นและมีอยู่แค่ตามสถานที่สาธารณะ จนกลายเป็นขนาดเท่าอุ้งมือพกพาไปไหนต่อไหนได้ เมื่อครั้งมีคอมพิวเตอร์ เราก็มีเกมคอมพิวเตอร์ เมื่อครั้งมีมือถือ เราก็มีเกมมือถือ เมื่อครั้งมีอินเตอร์เน็ต เราก็มีเกมออนไลน์ ถ้าต่อไปจะมีโทรทัศน์ภาพสามมิติ ก็คงมีเกมภาพสามมิติออกตลาดมาพร้อมๆกัน ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าไปถึงไหน อุปกรณ์เกมก็ก้าวหน้าไปถึงตรงนั้น

เป็นความจริงที่ว่า นักคิด นักออกแบบระดับโลก ใช้เวลาเป็นปีๆในการสร้างเกมให้ต้องตาต้องใจผู้เล่น แต่ในขณะเดียวกันเครื่องมือในการยับยั้งชั่งใจคน หรืออุปกรณ์ในการดึงคนออกจากเกมนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม จึงไม่น่าแปลกที่ภายในเวลาไม่นานเกมได้กลายไปเป็นภัยเงียบ กลายเป็นปัญหาสังคมอย่างที่เราได้เห็นได้อ่านกันตามสื่อทั่วไป

คนเราเล่นเกมด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ที่เห็นบ่อยที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเพื่อความสนุกเพลิดเพลิน เกมบางเกมต้องใช้ทักษะของกาย ตาและมือต้องทำงานสอดคล้องกันอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว เกมบางเกมต้องใช้ทักษะของสมอง ต้องมีความคิดวางกลยุทธ์หาวิธีอยู่ตลอดเวลา เกมบางเกมต้องใช้เวลาข้ามวันข้ามคืน ต้องสะสมประสบการณ์ หมกมุ่นหาทางฝ่าด่านสุดท้ายให้ได้

แต่ถึงเกมจะมีหลากหลายรูปแบบขนาดไหน โดยปกติเกมจะต้องมีองค์ประกอบบางอย่างร่วมกันอยู่ เกมทุกเกมจะต้องมีอุปสรรค เกมทุกเกมจะต้องมีเป้าหมาย เกมทุกเกมจะต้องมีตอนจบ คนที่เล่นเกมจะรู้ว่าฉากจบของเกมนั้นน่าดีใจพอๆกับน่าใจหาย ในนัยหนึ่ง ฉากจบของเกมเป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป้าหมายของเกมนั้นบรรลุแล้ว ฝ่าฟันอุปสรรคได้หมดแล้ว ปลายทางของเกมจบที่ตรงนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือความจริงที่ว่าทุกความพยายามที่ทุ่มเทไปกับเกม ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะสมมาได้ในเกมนั้นจะอันตรธารหายไปตลอดกาล เหมือนกับฟองสบู่ที่โตเต็มที่แล้วก็แตกไป ไม่มีอะไรหลงเหลือให้ชื่นชมได้อีก

แม้ตัวเกมจะออกมาพิสดารอย่างไรก็ตามแต่ แต่ความจริงก็คือเกมทุกเกมเหมือนกันหมดที่ตอบจบ รางวัลสุดท้ายของการต่อสู้อันยาวนานก็คือหน้าจอที่ว่างเปล่า ดนตรีเบาๆ กับรายชื่อว่าเกมนี้ใครเป็นผู้สร้าง ใครเป็นผู้ออกแบบ

ถ้าจะให้เด็กสักคนมาเล่นเกมเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบ ถึงจุดหนึ่งเด็กจะเบื่อของเขาเองและยอมรับว่า ?ไม่รู้จะเล่นไปทำไม? ถึงจะมีตัวละครที่เก่งกล้าสามารถ ประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยม อาณาจักรที่กว้างขวางใหญ่โต แต่เมื่อเกมบรรลุเป้าหมาย ทุกอย่างก็ต้องกลับไปเป็นศูนย์ ชัยชนะครั้งสุดท้ายไม่ได้ให้อะไรติดมือมากไปกว่าการเล่นแพ้ ถึงจะไม่ต้องอ้างว่าโลกในเกมเป็นจินตนาการที่ต่างไปกับโลกจริง แต่โลกของเกมเองก็แสดงหลักฐานให้เราเห็นอยู่ ว่าฉากจบของฉันก็คือความว่างเปล่า

ฉากจบของฉันก็คือความว่างเปล่า...
ไม่ได้ต่างอะไรกับชีวิตจริงเลย

เทียบกันแล้วชีวิตในเกมเป็นชีวิตที่สั้น สั้นพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรเข้าไปยึดมั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่ยาว ยาวพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งทั้งหลายน่ายึดมั่น น่ามี น่าเอา น่าเป็น น่าสะสม น่าเก็บรักษา

แต่พอถึงวันสุดท้ายของชีวิต โลกของจริงก็จะแสดงหลักฐานให้เราดูเหมือนกัน ว่าฉากจบของฉันก็คือความว่างเปล่า

ในเกมแห่งชีวิต จะมีตัวละครตัวหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็น ?เรา? เรามีสิทธ์บังคับตัวละครตัวนี้ แต่เราต้องหาอาหารให้มันกิน หาที่ให้มันอยู่ หาเงินให้มันใช้ หาเรื่องสนุกให้มันทำ เป้าหมายของเกมนี้ไม่มีใครถือติดตัวออกมายามเกิด แต่เราก็เชื่อตามกันไปว่าเราต้องเก็บสมบัติให้มากที่สุด เสพสุขให้มากที่สุด เป็นที่หนึ่งเหนือคนอื่นให้เร็วที่สุด

และที่ตอนจบ เกมนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับเกมอื่น ทุกอย่างที่สะสมมาได้ ทุกอย่างที่เก็บรักษามาได้ จะต้องสาบสูญหลุดมือไปทั้งสิ้น

ที่สุดของการได้ครอบครอง ก็คือการได้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง แม้แต่ร่างกายที่เคยหวงแหนนักหนา วันหนึ่งก็ต้องเน่าเปื่อยผุพัง ทิ้งไว้ให้เป็นภาระกับคนรุ่นหลัง จะสาอะไรกับสิ่งอื่นนอกกาย เงินทองทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง และ เกียรติยศ ยิ่งไขว่คว้ามาได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งหลุดมือไปมากเท่านั้น ภาพรวมสุดท้ายของชีวิต แทบจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความว่างเปล่า แต่ช่วงอายุขัยหลายสิบปีของชีวิตมนุษย์นั้นยาวนานพอที่จะทำให้คนเราหลงอยู่กับสิ่งที่สร้างแล้วสูญ หลงเก็บรักษาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา และไม่มีวันเป็นของเราได้

ผู้ใหญ่ที่เห็นโลกมามาก มีโอกาสติดเกมน้อยกว่าเด็กที่เห็นโลกมาน้อย นี่ไม่ใช่เพราะว่าผู้ใหญ่ไม่รักสนุก ผู้ใหญ่ไม่ชอบความเพลิดเพลิน แต่เป็นเพราะผู้ใหญ่เล็งเห็นว่าเกมเป็นความสนุกฉาบฉวย เล่นแล้วเดี๋ยวเดียวก็จบ ชีวิตจริงมีอะไรน่าเรียนรู้ มีอะไรน่าทำมากกว่านั้น

แต่ยังมีความจริงที่ยิ่งกว่านั้น ยังมีความเห็นว่าแม้แต่โลกเองก็ว่างจากสาระไม่ต่างอะไรกับเกม กามคุณทั้งหลายก็เป็นความสนุกฉาบฉวย เสพได้เดี๋ยวเดียวแล้วก็จบ เสพแล้วพออยากเสพอีกก็เป็นทุกข์ และถึงเสพมากเท่าไหร่ก็หนีจากวังวนนี้ไปไม่พ้น ทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็เป็นของฉาบฉวย มันจะสูญหาย หรือเราจะต้องตายจากมันไปวันไหนก็ไม่อาจทราบได้ ความภาคภูมิใจทั้งหลายก็เป็นของฉาบฉวย ถึงจะเติมเต็มเราได้ในวันนี้ แต่พอหวนกลับมานึกถึงใหม่ในวันรุ่งขึ้นก็กลายเป็นของจำเจไปเสียแล้ว

แต่โชคยังดี ในวันนี้ที่เรายังเล่นเกมสร้างแล้วสูญ เกมเกิดแล้วตาย เกมที่ชนะแล้วกลับเป็นแพ้นี้อยู่ ยังมีคำสอนของผู้รู้แจ้ง ยังมีผู้รู้หนทางที่ถูกต้อง และเป้าหมายที่ถูกต้องของเกมนี้อยู่ ว่าเกมนี้ชนะไม่ได้ด้วยการเก็บสมบัติ ชนะไม่ได้ด้วยการสร้างบ้าน ชนะไม่ได้ด้วยการครองโลก เกมนี้ชนะไม่ได้ด้วยการ ?เอา? แต่เกมนี้จบได้ด้วยการ ?วาง? เกมนี้จบได้ด้วยการวางความเห็นผิด วางความยึดมั่นถือมั่น วางตัวละครอันเป็นหมากตัวสุดท้ายและจบเกมอย่างบริบูรณ์ ดังข้อความตอนหนึ่งในหนังสือ มีชีวิตที่คิดไม่ถึง ดังว่า

?เมื่ออ่านเกมกรรมออก (คุณ)จะเริ่มเห็นรางๆว่าคุณต้องเล่นไปเรื่อยเพื่อความเหนื่อยเปล่าอย่างไร้แก่นสาร ทั้งต้องดิ้นรนหากิน ทั้งต้องหาซื้อบ้าน ทั้งต้องวุ่นวายจัดการภาระต่างๆในชีวิตให้ลงตัว เสร็จแล้วก็ตาย ต้องไปหาใหม่เอาข้างหน้าอีก...

การหยุดเล่นเกมเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่คุณไม่รู้จัก ไม่ใช่ความน่าเบื่ออย่างที่คิด และหาใช่อะไรที่คุณจะจินตนาการขึ้นมาด้วยประสบการณ์อันแคบจำกัดของหูตานี้... การตั้งใจหยุดเล่นเกมนั่นแหละคือสิ่งที่คุณคิดไม่ถึง และเมื่อได้คิดก็จะพบว่านี่เองคือเส้นทางแห่งความสุขและการมีชีวิตที่คิดไม่ถึงอย่างแท้จริง?