Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๑๔๗

ขอบคุณ ทุกข์ และ สุข

มุทิตา


misc-147

ย้อนหลังไปเมื่อหลายสิบปีกว่า เวลามีความทุกข์ สิ่งที่ฉันทำคืออะไร

หาวิธีดับทุกข์ ด้วยวิธีที่ไม่ฉลาด โดยการหาอะไรอร่อยๆกิน
ออกไปเดินห้างฯ โทรศัพท์คุยกับเพื่อนด้วยเรื่องไร้สาระ
หรือไม่ก็ชวนกันไปเที่ยว ได้พูดคุย เฮฮา ก็คิดว่ามีความสุขแล้ว

แต่พอกลับมาอยู่คนเดียวหลีกพ้นจากครอบครัว และสังคมแวดล้อม ทุกข์นั้นก็กลับย่างกรายเข้ามาหาฉันอีก

ทุกข์ที่ประสบบ่อยๆ คือไม่ได้ในสิ่งที่ชอบที่พอใจ ได้แต่สิ่งที่ไม่ชอบไม่พอใจ
อยากเป็นนั่นเป็นนี่ แต่กลับต้องเป็นอย่างอื่นแทน
เวลามีความสุข อยากยื้อให้อยู่กับเราไปนานๆ
แต่พอมีทุกข์ก็อยากผลักออก แต่มักไม่เป็นผล
สุขและทุกข์ไม่ฟังเสียงเราเลย

มีแอบบ่นอยู่เหมือนกัน นี่ยุคประชาธิปไตยแล้วนะ ฟังกันบ้างสิ แต่ก็ดูคล้ายจะเหมือนคนบ้า

ตอนฉันยังเป็นเด็กหญิง
ครอบครัวของฉันก็ประสบปัญหาพิษเศรษฐกิจ ทำให้พ่อและแม่ต้องขายบ้านไป
การที่ไม่มีบ้านอยู่แล้ว นั่นคงเป็นทุกข์ที่สุดในชีวิต ฉันร้องไห้ไม่หยุด
แต่ก็คิดผิด เพราะเมื่อโตขึ้นมาหน่อย ก็เจอปัญหาอีก

ฉันเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง รักมาก เฝ้าทะนุถนอม
แต่วันหนึ่งมันก็จากฉันไป นั่นก็ทุกข์อีก
ฉันร้องไห้ไม่หยุดและคิดว่าทุกข์สุดๆแล้ว แต่ก็ไม่ใช่...

โตขึ้นมาอีกหน่อย ทำงานก็เจอผู้คนหลายรูปแบบ
ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีหรอกนะ แต่เราก็ชอบมองแต่ข้อเสียของคนอื่น
เลยเป็นการสร้างความทุกข์ขึ้นมาให้โดยไม่รู้ตัว
คิดแต่ว่าสิ่งที่ฉันคนนี้ทำ นั่นคือสิ่งที่ถูกที่สุด จนโดนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดว่า

เธอคิดว่าเธอไม่พอใจคนอื่นเป็นอย่างเดียวเหรอ
เธอเคยถามคนอื่นบ้างหรือเปล่า ว่าพวกเค้าก็ไม่พอใจเธอเหมือนกัน

ฉันสะอึกไปแต่ยังวางฟอร์ม ยังไงฉันก็ถูกที่สุดอยู่ดี

มาถึงจุดที่เกือบทุกๆ คนต้องเจอ ก็คือเรื่องความรัก
คิดว่าเป็นสิ่งที่วุ่นวายที่สุดของชีวิตแล้ว ความรักทำให้ทุกข์ เพราะรักไม่ถูกวิธี
เคยทั้งรักเขา แต่เขาไม่รักเรา
, มีคนมารักเรา แต่เราไม่รักเขา,
พอเจอคนที่เรารักเขาและเขาก็รักเรา แต่เพราะนิสัยเข้ากันไม่ได้ สุดท้ายต้องเลิกกัน
แล้วก็ไม่พ้นคือความทุกข์อยู่ดี

ยังเสียใจไม่ทันหาย ก็ตกงานซ้ำเติมเข้ามาอีก
อยากตะโกนออกไปดังๆ มีใครจะซวยเท่านี้อีกไหม...

เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่นั่นเป็นความคิดที่โง่มาก
ดีนะที่ตอนนั้นเป็นคนกลัวเจ็บ ฉันจึงยังมีชื่ออยู่บนโลกนี้ต่อไป
พอมาอ่านเจอ เค้าว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปอย่างหนัก
ก็โล่งใจ นึกขอบคุณที่ตอนนั้นกลัวความเจ็บขึ้นมา

หลังจากนั้นรู้สึกเหมือนมีอะไรมาดลใจให้ไปค้นหาหนังสือธรรมะมาอ่าน
อ่านแล้วก็รู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด ดีขึ้นมากจริงๆนะคะ

“นี่ เมื่อไรเธอจะมีบ้านกับเค้าสักที เห็นว่าอยู่บ้านเช่ามานานหลายปีแล้ว ไม่คิดจะมีบ้านบ้างเหรอ
คำถามตอกย้ำที่เป็นปมด้อยแต่เด็ก จุดชนวนความโกรธขึ้นมา

อย่ามายุ่งน่าฉันตอบสะบัดเสียง
ไม่รู้เหรอกว่าสิ่งที่คนถาม ถามเพราะเป็นห่วงหวังดี หรือว่าเป็นการเยาะเย้ยกัน
ด้วยความมองโลกในแง่ร้าย ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่า ฉันคิดว่าอะไร
?

แต่นั่นก็ทำให้เกิดแรงฮึดขึ้นมา
บอกพี่ๆน้องๆ ว่ารวบรวมเงิน วางแผนกันว่าจะต้องซื้อบ้านสักหลังให้ได้
ทุกคนก็เห็นด้วย มีบางเสียงเท่านั้นละที่เอ่ยคำถามตัดรอนกำลังใจ
จะซื้อได้เหรอฉันหันไปค้อนให้พี่สาวคนโต

จะว่าโชคช่วยก็ได้ การทำเรื่องกู้ซื้อบ้านผ่านไปได้ด้วยดี
ฉันและครอบครัวได้บ้านหลังนี้มาครอง ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข
แน่นอนว่าพ่อและแม่สุขมากๆ ที่ลูกๆซื้อบ้านให้อยู่ได้แล้ว

พอถึงสิ้นเดือนต้องจ่ายค่าผ่อนบ้าน
ฉันก็เริ่มรู้สึกว่า ฉันคิดอะไรผิดไปหรือเปล่า
จากปกติก็ชักหน้าไม่ค่อยถึงหลังอยู่แล้ว นี่มีรายจ่ายมาเพิ่มอีก
ที่เคยอ่านเจอพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า
“ทรัพย์สมบัติเป็นโซ่ตรวนผูกขา” เริ่มจะจริงตามนั้นแล้วสิ

แต่ทำไงได้ ก็เลยมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ต้องทำกันต่อไป
บอกตัวเองให้ สู้ๆ อีกอย่างก็เป็นการแสดงความกตัญญูให้พ่อและแม่ได้มีความสุขกับเขาบ้าง
ไม่เป็นไรหรอก ชีวิตยังไม่สิ้นก็ดิ้นกันต่อไป

พอคิดปลงตรงนี้ได้ เรื่องใหม่ก็เข้ามาให้ทุกข์อีก
อยู่ดีๆ ก็โดนคนขู่จะทำร้ายกัน เล่นเอาปอดแหกไปหลายวัน
พยายามคิดซะว่า นั่นคงเป็นเจ้ากรรมนายเวร
แต่ถามว่ากลัวไหม กลัวนะ กลัวมากๆ
แต่ที่ทำได้คือ สวดมนต์อุทิศบุญไปให้ และสำคัญที่สุดคือเราต้องมีสติ

เหตุการณ์ที่กระหน่ำสร้างทุกข์ให้คนหลายคนคือ อุทกภัย ที่เกือบทุกคนได้ประสบ
ยังไงละทีนี้ ทุกข์หนักขึ้นอีก บ้านที่เพิ่งซื้อได้ไม่กี่เดือนก็โดนลูกหลงไปด้วย
เงินทองก็ร่อยหรอ ต้องอพยพพ่อแม่ไปอยู่ที่ปลอดภัย
ไหนจะพี่ๆน้องๆ บอกว่าต้องซื้อของมาเตรียมไว้อีก
ความทุกข์ในเรื่องทรัพย์สินไม่หมดไปง่ายๆ เพราะมันกระจ่างชัดขึ้นทุกที
กับความทุกข์ในทรัพย์สมบัติที่มี เริ่มรู้สึกว่าอยากจะโยนบ้านทิ้งแล้วสิ
แต่เป็นความที่จิตตกขั้นรุนแรง จนลืมสังเกตไปว่า
ทั้งสุขและทุกข์ที่เข้ามา สักพักเค้าจะจากเราไปเอง...
ลองสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนดูสิคะ ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

เวลาเจอความทุกข์อะไร ก็มักรู้สึกว่าความทุกข์ประดังประเดเข้ามาหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนดังข้อสอบ ให้เราได้ทดสอบเพื่อเลื่อนระดับชั้น

แน่นอนว่ายิ่งเลื่อนระดับชั้นได้ บททดสอบต่อไปก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาเจอทุกข์มักโทษสิ่งอื่น คนอื่น ว่านำทุกข์มาให้
จนลืมนึกถึงจิตตัวเราเอง ว่าความทุกข์เป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นเพียงสังขารความปรุงแต่ง
หยิบจับไม่ได้ ไม่สามารถถือครองได้ สักวันก็ต้องสลายไปอยู่ดี
แต่เราผิดเองมัวแต่ไปยึดทุกข์ไว้อย่างแน่นหนา

ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่คนที่บรรลุธรรมแล้ว
แต่เพราะระยะหลังได้อ่านธรรมะของพระพุทธเจ้า
ได้อ่านธรรมะดีๆ คำสอนของพระอรหันต์เจ้า อริยเจ้าทั้งหลาย
แต่ก็มีหลายช่วงจังหวะที่จิตตก มักจมอยู่ในกองทุกข์ กว่าจะได้สติมาก็นานอยู่เหมือนกัน
เห็นไหมคะ ยังเป็นปุถุชนธรรมดาอยู่เลย

มีหลายครั้งที่อ่านพระธรรมแล้วซาบซึ้งจนน้ำตาไหลก็มี
คิด พิจารณา และปฏิบัติตาม
ผลที่ได้มา เป็นความสุขอย่างที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว
เป็นความสุขที่หาได้จากจิตใจของเราเอง

บางทีสิ่งที่เราคิดว่าเราทุกข์มากๆ
พอได้มองเห็นคนอื่น เค้าทุกข์กว่าเราอีก
บางคนทุกข์มากมายแต่เขายังอยู่ได้ ยังดำเนินชีวิตต่อไปได้
เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป โดยมีสติเป็นเครื่องนำทาง

มานั่งนึกๆดู ต้องขอขอบคุณทั้งความทุกข์และความสุข ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
ทำให้เรารู้ว่า การเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้สนุกสนาน ไม่ได้น่าพิสมัยเลยสักนิด
เค้าทำให้เรารู้ว่า เรามีเวลาเหลือน้อยเต็มที ที่เราจะต้องรีบเร่งปฏิบัติธรรมแล้วล่ะ
เพราะน้องงู น้องจระเข้ และอีกหลายๆน้อง เค้าจะมาหาเราเมื่อไรไม่รู้
แล้วถ้าเค้ามา เค้าจะอยู่กับเรานานหรือเปล่า นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เราคาดการณ์ไม่ได้

อย่าประมาท
เพราะสิ่งที่แน่นอนที่สุด คือความไม่แน่นอนนะคะ