สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๑๔๖
บันทึกแม่จัมมัย ตอน เหตุเกิดจาก...ข้าวมันไก่
ช่วงเข้าพรรษาปีนี้ ฉันตั้งสัจจะที่จะทำคุณงามความดีเพื่อขัดเกลากิเลส ถวายเป็นพุทธบูชาและอาจาริยบูชา คือไม่นอนที่สูง กินอาหารเพียง 2 มื้อ คือหลังมื้อเที่ยงไปแล้วจะไม่กินของขบเคี้ยว แล้วถือศีล 8 ในวันพระตลอดเข้าพรรษา ประมาณตัวเองแล้วว่าคงไม่ลำบากนัก เรื่องนอนนั้นฟูกบางๆ ก็นอนได้แล้ว ปกติก็ไม่ค่อยกินอาหารเย็นเพราะกลัวอ้วน จะมีบ้างบางวันที่รู้สึกหิวหรือนึกอยาก ก็จะจกแค่คำสองคำ ดูหนังดูละครก็เลิกดูมานานนม เรื่องนี้น่าจะกล้วย ๆ แต่เรื่องแต่งหน้าแต่งตัวนี้สิ ต้องขอยกเว้นเพราะด้วยอาชีพการงาน อีกอย่างรำคาญที่จะต้องตอบคำถามเพื่อนที่ทำงาน แต่จะว่าไปแล้ว ลึกๆ มันกลัวไม่สวย
สองเดือนผ่านไปสิ่งที่คิดว่ากล้วยๆ กลับไม่กล้วยอย่างที่คิด บางวันหิว บางวันอยาก อยากกินโน้น อยากกินนี้ไปหมด ที่แย่ก็คือ เวลากินไม่นึกอยาก เวลาอยากไม่ได้กินเนี่ยแหละ จนบางครั้งกิเลสชวนเลิกด้วยซ้ำแต่บางทีก็ตอบสนองความอยากด้วยการซื้อให้คนอื่นกินแทน มาสองอาทิตย์หลังนี้ ความอยากมันเข้มข้นเหลือประมาณ ประเภทว่าต้องกินเองถึงจะหายอยาก แล้วสิ่งที่อยากกินก็ไม่ใช่สิ่งที่โปรดปราน...
ฉันอยากกิน “ข้าวมันไก่” อยากกิน “ทุเรียน”
แล้วต้องเป็นข้าวมันไก่เจ้าที่น้ำจิ้มอร่อยเท่านั้นนะ ไม่อร่อยไม่กิน หยิ่งซะด้วยสิ แถวที่ทำงานก็พอมีข้าวมันไก่เจ้าอร่อยอยู่หรอก แต่ต้องวานแม่บ้านเดินไปซื้อ ซึ่งไกลจากที่ทำงานพอสมควร ฉันจึงเกรงใจไม่กล้ารบกวน แต่แอบกระซิบแม่บ้านไว้ว่า “ถ้าป้าไปเมื่อไหร่ บอกหนูด้วยนะ”
ส่วนแถวบ้าน จะมีร้านข้าวมันไก่เกาลูนในตลาด ก็อร่อยพอได้อยู่ แต่ต้องรอวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ครั้นพอเสาร์อาทิตย์เกือบครึ่งวันเช้า ฉันจะไปศึกษาธรรมะกับพระอาจารย์ที่ฉันเคารพและศรัทธา ขากลับจะแวะกินข้าวบ้านญาติธรรม รับส่งลูกเรียนพิเศษ จึงไม่เคยไปถึงตลาดในเมืองสักที อีกอย่างตอนช่วงเช้ามักไม่นึกอยาก มักจะอยากเอาช่วงที่หมดเวลากินแล้วนี่แหละ เวลาขับรถผ่านแผงทุเรียนข้างทาง อยากกิน อยากกิน เคยคิดว่ากิเลสอยากกินนั้นเป็นแค่ตัวเล็กๆ พอเอาเข้าจริงๆ มันเอาเรื่องเหมือนกัน
อยู่มาวันหนึ่งเหมือนนางฟ้ามาโปรด ป้าแม่บ้านเดินเข้ามาถามฉันว่า
“คุณนาย วันนี้ป้าจะไปซอยศูนย์วิจัย จะกินข้าวมันไก่มั๊ย ?”
(เคยถามว่าทำไมป้าชอบเรียกหนูว่าคุณนาย ป้าบอกว่าเห็นชอบออกงาน ชอบช๊อปปิ้ง แหม! ว่าไปนั่น)
แล้วฉันก็กล่าวขอบคุณด้วยความดีใจที่จะได้กินข้าวมันไก่
“ดีใจจังเลย ขอบคุณคะป้า หนูอยากกินมาหลายวันแล้ว”
แล้วก็นั่งทำงานไปเรื่อยๆ ใจหลงไปคิดถึงเจ้าข้าวมันไก่บ้าง เวลาผ่านไปป้าแม่บ้านเดินกลับมาพร้อมกับหิ้วถุงก๊อปแก๊ปข้างในบรรจุกล่องโฟม ฉันมองไปที่ถุงก๊อปแก๊ปด้วยความดีใจ แล้วป้าก็บอกฉันว่า
“คุณนาย วันนี้ข้าวมันไก่ไม่ขาย เห็นเขาบอกว่าหยุดมาสองสามวันแล้ว ป้าเลยซื้อผัดไทยมาให้แทน”
ฉันเห็นใจที่แป้วลงทันที แล้วก็บอกป้าไปว่า “หว่า! เสียดายจังเลยค่ะ”
ใจอดปรุงไม่ได้ว่ากรรมอะไรหนอ? สงสัยเคยทำกรรมเรื่องกั๊กของอร่อยไว้กินเองคนเดียวแหงๆ จึงได้รับวิบากอยากกินแล้วไม่ได้กิน
แล้วความหวังใหม่ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง อาทิตย์นี้หลวงพ่อท่านงดแสดงธรรม ฉันเลยตั้งใจจะสนองความอยากให้จงได้ เช้าวันอาทิตย์ตื่นนอนขึ้นมา สิ่งที่นึกถึงก็คือข้าวมันไก่ วันนี้แหละจะกินเจ้าให้สาแก่ใจ ทำงานบ้านเสร็จด้วยความเหนื่อยก็เลยหาอะไรรองท้องด้วยความหิว ใจคิดว่า “เล่นรองท้องซะขนาดนี้ เดี๋ยวก็กินข้าวมันไก่ไม่ลงหรอก” เสร็จแล้วก็อาบน้ำ แต่งตัว ไปส่งลูกเรียนพิเศษ ทำธุระในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วกะว่าจะซื้อของใช้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในช่วงเช้าเลย ยังไม่ทันจะได้ซื้อของก็ยกมือถือขึ้นมาดูเวลา
“อ้าว ! สิบเอ็ดโมงกว่าแล้วหรือนี่ ขืนเข้าไปซื้อของคงไม่ทันกินข้าวมันไก่แน่เลย เอาไงดีล่ะ หิวก็ไม่หิวเท่าไหร่ กิน ? ไม่กิน ? แต่ถ้าไม่กินวันนี้จะหาโอกาสได้อีกเมื่อไหร่ ? งั้นไปกินก่อนดีกว่า เดี๋ยวรับลูกแล้วค่อยกลับมาซื้อ”
คิดเสร็จสรรพก็ตัดสินใจขับรถออกจากห้างมุ่งตรงไปที่ร้านข้าวมันไก่เกาลูนเจ้าอร่อย มื้อเที่ยงผู้คนต่างเสาะแสวงอาหารเข้าปากเข้าท้อง คนจึงเยอะเป็นเรื่องธรรมดา ฉันเลือกนั่งโต๊ะริม แล้วก็นั่งมองพนักงานที่เดินไปเดินมา ต่างคนต่างทำหน้าที่ พยายามมองหาพนักงานที่จะสบตาฉันสักคนเพื่อจะได้สั่ง แต่ก็ไม่มีใครมองมา ฉันยังรักษาท่าทีด้วยความสำรวม โดยไม่เดินไปจู่โจมที่เขียงไก่เพื่อบอกความประสงค์ นั่งคิดในใจว่า
“สั่งพิเศษเพิ่มเนื้อไก่ดีมั๊ย ? แต่ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ รองท้องมาซะขนาดนี้ เอาธรรมดาแล้วกัน”
คิดไปพลางมองพนักงานเสิร์ฟไปพลาง “หว่า ! เมื่อไหร่จะมองมาสักที” ฉันคิด
จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมองมา ด้วยต้องทำเวลาฉันจึงเลิกรักษาท่าที ตัดสินใจเรียกพนักงานหญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านฉันไปด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าวมันไก่จานหนึ่ง ไม่เอาหนังค่ะ”
สักพักจานข้าวมันไก่ก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าฉัน
“มาแล้ว มาแล้ว ข้าวมันไก่ที่ฉันอยากกิน” ฉันคิด แล้วก็นั่งมองจานที่มีเนื้อไก่นุ่มๆ สีขาวประกบอยู่บนข้าวมัน น้ำจิ้มรสเด็ด พร้อมด้วยน้ำซุป ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมาว่า
“นี่หรือ ! สิ่งที่ฉันอยากกิน ดิ้นรนเพื่อจะได้กิน มันก็เท่านี้เอง อยู่ข้างหน้าแล้วนี่ไง ได้มาแล้วเป็นไง ก็แค่เท่านั้น ไม่ต่างกับความสุขที่แสวงหา คิดว่าได้สิ่งนี้แล้วจะสุข ทำสิ่งนี้แล้วจะสุข อยู่กับคนนี้แล้วจะสุข ดิ้นรนเพื่อให้ได้มันมา มันก็ไม่ต่างไปจากข้าวมันไก่จานนี้เลย ได้มาแล้วก็แค่เท่านั้น เมื่อความอยากถูกตอบสนองก็หมดอยาก ความอร่อย ความดีใจ มันก็สุขแค่ตอนที่ได้มา ล้วนชั่วคราว ไม่ถาวร จะรักษาไว้ก็ไม่ได้ แล้วจะดิ้นรนไปทำไม”
และแล้วความอยากที่จะโซ้ยข้าวมันไก่ด้วยความโอชะ มันก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา เรียกว่า “หมดอร่อย” เหลือแต่หน้าที่ที่ต้องก้มหน้าก้มตากินข้าวมันไก่จานนี้ให้หมดด้วยความเสียดาย ยังไม่ทันจะจ่ายกะตังค์ ความอยากอีกสิ่งหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “ทุเรียน”
“เอาแล้วมั๊ยล่ะ ปัญญาเพิ่งเกิดหยกๆ ไงผุดขึ้นมาอีกตัวเร็วนักล่ะ พอสิ่งหนึ่งได้รับการตอบสนอง ก็อยากอีกสิ่งหนึ่ง เหอออ กิเลสหนอกิเลส เนี่ยแหละเหมือนที่หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า ใจที่มันหิว ใจที่มันเรียกร้องตลอดเวลา คือใจที่ไม่มีความสุข...”
พอจ่ายกะตังค์เสร็จก็ขับรถมุ่งไปรับลูกที่บ้านครู ระหว่างทางมีรถกระบะจอดขายทุเรียน เลยตัดสินใจจะซื้อทุเรียนเพื่อกินสักเม็ดสองเม็ด แล้วคิดเข้าข้างตัวเองว่า
“กินกินไปซะ จะได้จบเรื่องจบราวกันไป ไหนๆ วันนี้กะจะตามใจมันแล้วนี่”
นำรถจอดข้างทาง แล้วลงจากรถเดินไปซื้อทุเรียนมาหนึ่งแพ็ค จากนั้นกลับขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องยนต์ เปิดแอร์ เข้าเกียร์ มือหนึ่งจับพวงมาลัยเพื่อบังคับรถ อีกมือหนึ่งหยิบทุเรียนเข้าใส่ปาก เพราะนาทีทองของวันนี้กำลังจะหมดลงในเวลาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า หากรอให้ถึงเป้าหมายปลายทางก็คงอดกิน จากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากที่จอดช้าๆ
ทันใดนั้นเอง!!! ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมายืนกลางถนนเพื่อขวางรถของฉัน กางแขนสองข้าง แล้วทำสัญญานมือให้ฉันหยุดรถเดี๋ยวนี้ ฉันตกกะใจ !!! สงสัย ??? แล้วจิตก็ปรุงเป็นฉากๆ ว่า
“มันจะทำอะไรฟะ ? ไอ้แค่กินทุเรียนตอนขับรถ มันทุเรศน่าเกลียดขนาดต้องออกมายืนขวางรถให้หยุดเชียวหรือ? เอ๊ะ ! แต่มันก็ไม่น่าจะใช่อย่างงั้นนา มันยังไงกันแน่นะ !?!”
หลังจากนั้นก็เหลือแต่ความระแวง จิตสั่งการให้เหยียบเบรคเพื่อหยุดรถ แล้วชายคนนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ มาหยุดที่หน้ารถของฉัน ก้มตัวลงเหมือนจะทำอะไรสักอย่างที่หน้ากระโปรงรถ แล้วเขาก็ค่อยๆ เงยขึ้นมาพร้อมกับหยิบกรวยสีส้มสำหรับกั้นจราจร ซึ่งถูกรถของฉันลากออกมา เพื่อชูให้ฉันดู
“เฮ้อ! โล่งอก นึกว่าเรื่องอะไร ใจหายหมดเลย”
แล้วฉันก็ก้มศีรษะเพื่อขอบคุณชายคนนั้น ด้วยความอับอายในความเบอะบะของตนเพราะมัวแต่ห่วงกินทุเรียน
เรื่องนี้จึงจบลงด้วยประการฉะนี้....แล