Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๑๑๙

ต้องรอไปถึงเมื่อไร

โดย สิริภาริน

น้าสาวของฉันตรวจเจอเนื้อร้ายที่หน้าอกอีกข้างล่ะ

ก่อนหน้านี้เพื่อนเพิ่งบอกข่าวดีมาว่า น้าสาวที่เป็นผู้หญิงเก่ง เรียนจบสูง
รักการทำงานยิ่งกว่าสิ่งใด ทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ จนหน้าที่การงานก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ต้องลาออกจากงานกะทันหัน ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า ๓ ปี
เพราะเนื้อร้ายที่หน้าอก และเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาไม่นาน
กลับตรวจเจอเนื้อร้ายอีกข้างแล้ว

ข่าวนี้ทำให้ฉันมาสะท้อนชีวิตว่า ในหนึ่งชีวิตที่เราได้เกิด
และเริ่มรู้สึกตัวว่าฉันเป็นใคร มาเกิดบนโลกนี้ทำไม มันอาจจะสายเกินไป
เพราะเมื่อเราไม่เคยถามตัวเองแบบนี้
แต่เรากลับใช้ชีวิตไปตามสังคมที่บอกต่อกันมาว่า ถ้าเดินไปทางนี้แล้วดี
ถ้าคิดแบบนี้แล้วถูก ถ้าทำตัวแบบนี้คือใช่
จนเชื่อตามกันว่า ชีวิตที่ดีคือ การศึกษาดี มีฐานะดี
มีหน้าที่การงานเป็นหน้าเป็นตาของครอบครัว แต่งงาน มีลูกดี มีหลานดี
ใช้ชีวิตตอนแก่อย่างมีความสุข แล้วก็รอวันจากโลกนี้ไป
อย่างคนแก่ที่หมดลมด้วยหน้าตาที่อิ่มเอิบ ปล่อยวางทุกอย่างได้

มันจะเป็นไปได้ตามที่คิดหรือ...คนทุกคนสามารถ แก่ก่อนตายได้หรือ
แล้วถ้าถึงเวลานั้น คนแก่ที่ยิ่งมีทุกอย่างแล้ว
จะกล้าปล่อยวางและทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ประหนึ่งผ้าม่านโรงละครรูดม่านปิด ลาโรง
เพื่อกล่าวกับผู้ชมว่าละครจบไปอีกหนึ่งเรื่องอย่างง่ายๆ ได้หรือ !

ก่อนที่ฉันจะตอบคำถามที่กลับมาถามตัวเองได้นั้น
ก็ต้องได้ไปงานศพของคนใกล้ชิดของเพื่อนร่วมงาน
มันเหมือนเหตุการณ์ที่ยิ่งมาบอกว่า

ยิ่งเราอยู่บนโลกนี้นานเท่าใด งานศพก็ยิ่งเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
จนถึงวันของเราเอง สักวันหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่แน่นอนของชีวิตอย่างแท้จริง
แต่เราก็มักหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง ไม่กล้ายอมรับความจริงของชีวิต
พยายามที่จะปิดบังให้มากที่สุด จนบางครั้งหากใครพูดเรื่องตายออกมา
ก็อาจโดนประณามว่า ปากไม่ดี พูดจาไม่เป็นมงคล
ซึ่งฉันอยากบอกว่านี่แหละมงคลของชีวิต ความตาย หรือความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
คือของขวัญจากเบื้องบนที่คอยมาส่งสัญญาณบอกเราว่า เฮ้ย
! อย่ามัวแชเชือน เลื่อนเปื้อน
และเล่นกับชีวิตมากเกินไป และอย่าเกิดมาเปล่าดาย และตายไปอย่างไม่รู้สึกตัว

ความมีค่าของชีวิตนั้นน่าจะหมายถึง เราใช้ชีวิตอย่างรู้สึกตัวมากแค่ไหน
ทุกขณะของชีวิต ไม่ว่าจะทำกิจกรรมใดของชีวิต ตาจะขยิบ ปากจะขยับ มือจะเขยื้อน
หรืออวัยวะส่วนใดในร่างกายจะเคลื่อนไหว ได้เอาใจไปสัมผัสและรู้สึกบ้างไหม
หากเราไม่เคยทำแบบนี้เลย ปล่อยกายและใจแยกกันไป
ตัวใครตัวมัน ปากก็เคี้ยวไป ใจก็ลอยไปไหน
หรือไปแปะติดกับเสื้อในห้างที่เมื่อวานเล็งแล้วเล็งอีกแต่ยังไม่กล้าสอยมา
อย่างนี้ก็เรียกว่า เกิดมาเปล่าดาย ไม่รู้สึกตัวและรู้ถึงคุณค่าของชีวิตนี้เลย

วันใดที่ใจมีสติอยู่กับกาย จนใจว่างจากความคิดได้
วันนั้นก็เป็นวันเกิดใหม่ที่นับจากนี้ไป...ชีวิตจะไม่ไร้ค่าอีกต่อไป