Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๙๙

แผนสอง
(inochi no poka-yoke)

malimalimalimali



อ่านย้อนหลังได้ที่นี่

ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๕
ตอนที่ ๖
ตอนที่ ๖ ช่วงที่ ๒ (กำลังอ่านอยู่ตอนนี้)
ตอนที่ ๖ ช่วงที่ ๓ (ติดตามได้ในตอนต่อต่อไป)
ตอนที่ ๗ (ติดตามได้ในตอนต่อต่อไป)
ตอนที่ ๘ (ติดตามได้ในตอนต่อต่อไป)


etc099_01

 

ตอนที่ ๖ ช่วงที่ ๒
แผนปฏิบัติ ขั้นที่ ๑
ฝึกให้เห็นเรา


 

การฝึกสังเกตเห็น เรา
มีให้เลือกทำตามความถนัด ๔ ทาง ได้แก่


แบบที่มองเห็น จับต้องได้

ทางร่างกาย


แบบที่มองไม่เห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้นอกจากทางใจ

ทางความรู้สึก
ทางลักษณะของใจ
ทางพื้นเพดั้งเดิมของใจ




 

 

การฝึกให้เห็น เรา ทางร่างกาย




การสังเกตทางร่างกาย
เกือบร้อยทั้งร้อย มักจะเป็นพื้นฐานก.ไก่กุ๊กๆ
ให้กับการสังเกตทางใจอีก ๓ ทางที่เหลือ
เพราะร่างกายเรา จับต้องได้ รู้สึกได้
มองเห็นกันจะจะ วัดได้กันจริงจริง และมีอะไรให้ดูเยอะแยะ
ไม่ว่าจะเป็น:

ดูสภาพร่างกาย
มือ แขน ขา หน้า หู ตา คอ จมูก ปาก ลิ้น

ดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย
เดิน ยืน นั่ง นอน เอกเขนก ไขว่ห้าง ขัดสมาธิ เต้นเมกาแด๊นซ์ วิ่งขึ้นรถเมล

ดูสิ่งที่ผ่านเข้ามาในร่างกาย
ลมหายใจ น้ำ อาหาร

ดูสิ่งที่ผ่านออกจากร่างกาย
เหงื่อ น้ำตา น้ำลาย ขี้มูก อุนจิ 





แต่ แต่ แต่...

“เรา” ไม่ได้อยู่ในสิ่งเหล่านี้หรอกนะ






อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ
อย่าเพิ่งขว้างอะไรมานะเออ




“เรา” ไม่ได้อยู่ในสิ่งเหล่านี้ก็จริง
แต่ก็ไม่ได้แปลว่า “เรา” ไม่มีอยู่สักหน่อย




เอ้า
เราลองมามองความรู้สึกนึกคิดเราต่อสิ่งเหล่านี้ดูซิ




เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามองร่างกายตาม 4 แบบนี้
แล้วมีความคิด หรือความเคยชินที่จะคิดผุดขึ้นมาว่า:

นี่คือมือของฉัน หน้าของฉัน ผมของฉัน
เรากำลังเดิน เรากำลังยืน เรากำลังนั่ง
เรากำลังหายใจ เรากำลังดื่มน้ำ
เรากำลังถ่ายท้อง เรากำลังสั่งน้ำมูกออกจากจมูกของเรา...ปู้ดดด

แทนที่จะคิดเฉยๆว่า มือ ใบหน้า เส้นผม
ขากำลังเดิน ร่างกายอยู่ในท่ายืน ร่างกายกำลังนั่ง
มีลมเข้าร่างกาย ออกจากร่างกาย มีน้ำเข้าร่างกาย
ของเสียกำลังออกจากร่างกาย น้ำมูกออกจากจมูก

etc099_02

 

 

เมื่อนั้น ความคิดที่เป็น ของเรา เกิดขึ้นที่นั่น
และ เรา ก็อยู่ตรงนั้นด้วย


แต่ก็ไม่แปลก ถ้ายังสังเกตไม่เห็นความเป็น
ของเรา ในระยะแรก
เพราะเรามีความเคยชินมากับเรื่องความเป็นเจ้าของร่างกายตัวเองอยู่แล้ว

เราอาจจะคิดว่า เอ๊ะ ก็นี่ไงมือ ก็คิดว่ามือเฉยๆนี่ไง
แต่ไม่จริงหรอก เราไม่เฉย
และเราจะยิ่งเห็นชัดว่าเราไม่ได้เห็นว่ามือเป็นมือเฉยๆ
เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย เราจะยิ่งเห็นว่าเป็นมือเรา มือเขา

เราอาจจะคิดว่า นี่ไง นั่ง ก็นั่งเฉยๆนี่
จริงๆเราไม่ได้แค่คิดว่า ร่างกายนั่งเฉยๆ หรอก
เราคิดว่า เรานั่ง ไม่ก็ ร่างกายของเรากำลังนั่งอยู่

เราอาจจะคิดว่า โถ่ ลมหายใจ น้ำ อากาศ เราจะไปมองเป็นของเราได้ไง
จริงๆก็ถูกแล้ว ลมหายใจ น้ำ อากาศ เรามักไม่ได้คิดว่าเป็นเรา
แต่เรามักมองว่า ร่างกายของเรามีลมหายใจเข้าไป น้ำเข้าไป
หรือไม่ก็เวลาอินเลิฟ
เราก็คงอยากฟังเสียงลมหายใจของเธอ ใช่ไหม?

หรือน้ำลาย ขี้มูก อุนจิ เราไม่มองว่าเป็น
ของเราหรอก
เพราะว่าเรา ไม่อยากให้มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเราน่ะสิ

เห็นไหม
ของเรา มันแฝงอยู่ทั่วไปหมดเลย

etc099_03

 

 

 

 

 

การฝึกให้เห็น เรา ทางความรู้สึก





ความรู้สึกสุขทุกข์ ดูเหมือนจะไม่ต้องอธิบายมาก
เพราะคนเราก็มีความรู้สึกกันตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว

การสังเกตเห็น
เรา ทางความรู้สึก
สังเกตได้จากความรู้สึก 3 แบบที่เกิดขึ้นมาในใจเรา ได้แก่

ความรู้สึกสุข
เกิดจากเรื่องต่างๆ เช่น
ไปนวดแล้วรู้สึกสบายตัว
คิดเรื่องดีๆที่เคยเกิดขึ้นแล้วแฮปปี้
ได้ของที่อยากได้มานานเป็นของขวัญ
ได้ทานของอร่อยๆ
ได้ฟังเพลงเพราะๆในบรรยากาศดีๆ
ได้อยู่กับคนที่เรารัก
ได้รับคำชื่นชมเยินยอ
มีความปลอดโปร่ง สบายใจ


ความรู้สึกทุกข์
เกิดจากเรื่องต่างๆ เช่น
ล้มป่วย
ปวดท้องต้องการเข้าห้องน้ำด่วน
ได้งานที่ไม่ชอบ
ทานของที่ไม่อร่อย
ข้างบ้านคาราโอเกะหนวกหูทั้งคืน นอนไม่หลับ
ต้องร่วมงานกับคนที่เหม็นขี้หน้า
ทะเลาะกับแฟน
เคว้งคว้างไร้ตัวตน
คนที่รักมาจากกันไป



ความรู้สึกเฉยๆ
เป็นความรู้สึกเฉยชากับเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามา
ชาชินเคยตัวกับเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
เฉื่อยชาจากการงานเช้าชามเย็นชามค่ำชาม
ปลงๆแบบแกนๆไปกับสมาชิกในครอบครัวที่ทำตัวน่าเบื่อ
เฉยๆกับดอกไม้ช่อโตที่ได้ทุกเช้า
การที่รู้สึกงั้นๆ ไม่สุขซะทีเดียว ไม่ทุกข์ซะทีเดียว
แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขโดยสิ้นเชิง





เมื่อไหร่ที่มีความคิดว่า เรา รู้สึกอย่างนี้ อย่างนั้น
ซึ่งจะยิ่งเห็นชัดเมื่อเราอยู่กับคนอื่น
เราจะเห็นความรู้สึก ของเรา และ ของเขา
ซึ่งเราให้ค่าไม่เท่ากันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

เรารู้สึกว่า ความรู้สึก
ของเรา สำคัญกว่าของคนอื่น
เราอยากให้คนอื่นมาสนใจความรู้สึก ของเรา
เรารู้สึกว่า ความรู้สึก ของคนที่เรารัก
สำคัญกว่าความรู้สึก ของใครก็ไม่รู้
ทั้งๆที่อาจจะเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันเป๊ะๆเลย

บางทีเราก็คิดว่า ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึก
ของเรา อย่างแท้จริง
เพราะ คนอื่น ก็เป็น คนอื่น ไม่ใช่ เรา

มีความอยากดิ้นจะเอาตัว
เรา หนีให้พ้นความรู้สึกทุกข์
หรือดิ้นรนจะทำให้ความรู้สึกสุขอยู่กับ เรา ไปตลอดขึ้นมา

เจออาการ ความคิดเหล่านี้เมื่อไหร่เมื่อนั้นก็สวัสดีฮัลโหลโอ้ลั้นลา ตัวเรา ได้เลย

ก็โผล่
เรามาซะทั้งตัวขนาดนี้แล้ว


etc099_04





การฝึกให้เห็น เรา ทางลักษณะของใจ




ลักษณะของใจเชื่อมต่อกับความรู้สึกหรืออาการทางใจในแง่ที่ว่า
เมื่อเกิดอาการใดอาการหนึ่งขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็นไม่สบายใจ ชอบใคร โกรธ หลงใหล สงสัยใคร่รู้
เมื่อนั้น ลักษณะของใจก็จะสอดคล้องกับอาการที่เกิดขึ้น

ไม่ต่างอะไรกับวุ้นใบเตยรูปหัวใจบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง วงกลมบ้าง
ถ้าวุ้นใบเตยจะออกมาเป็นวงกลมได้
แม่พิมพ์ก็ต้องมีรูปวงกลมเช่นเดียวกันสิเออ 


เช่นลักษณะของใจ ที่คล้ายเป็นลูกไฟที่มีแรงดันอยู่ข้างใน
ก็สะท้อนความรู้สึกที่โกรธ เป็นความร้อนๆ อึดอัดๆ

ลักษณะของใจ ที่ตัวหดเล็กๆอยู่ในซอกแคบๆมืดๆ
ก็สะท้อนความรู้สึกหดหู่ มืดมิดทางใจ

ลักษณะของใจที่พองโตคับอก แต่ไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนแบบแรกก็สะท้อนความรู้สึกสุข ภูมิใจ

เมื่อไหร่ที่เห็นลักษณะของใจเหล่านี้
แล้วถือว่าเป็น ลักษณะของใจ ของเรา

เมื่อใดที่เกิดความอยากให้ลักษณะของใจอย่างนั้นเกิดขึ้น
อยากเอาลักษณะของใจอย่างนั้นมาเป็น ของเรา ขึ้นมา
อยากให้ลักษณะของใจอย่างโน้นไปไกลๆ เรา

เมื่อนั้น เรา ถูกเห็นแล้ว

etc099_05






การฝึกให้เห็น เรา ทางพื้นเพดั้งเดิมของใจ





ถ้าความรู้สึกเปรียบดังวุ้นใบเตย 
แล้วลักษณะของใจเปรียบดังแม่พิมพ์วุ้นใบเตย
พื้นเพดั้งเดิมของใจ ก็คือสถานการณ์ที่ยังไม่มีแม่พิมพ์วุ้นใบเตยเกิดขึ้น

เราเสพติดวุ้นใบเตยกันจนชิน
เราเห็นว่ามีแม่พิมพ์อยู่ในบ้านเรา เราก็เอาไปทำวุ้นใบเตยจนเป็นนิสัย
จนเราอาจจะนั่งขมวดคิ้วเป็นเลขแปด
เมื่อให้เราลองนึกถึงตอนที่ไม่มีแม่พิมพ์ ไม่มีวุ้นใบเตยอยู่


โต๊ะเปล่าๆที่ไม่มีอะไรวางอยู่เลย
พอเริ่มมีการใช้งาน ก็มีผ้าปูโต๊ะปกคลุมบ้าง มีแจกันวางทับ
มีคราบอาหาร มีรอยด่างจากแก้วน้ำที่วางทับ
เป็นที่วางของสารพันเป็นกองพะเนิน
นานวันเข้า เราก็ลืมไปแล้วว่า โต๊ะเปล่าๆเป็นอย่างไร
เรานึกภาพไม่ออก พอจะนึกภาพ
ก็นึกได้แต่โต๊ะที่อย่างน้อยก็มีแจกันตั้งอยู่ หรือโต๊ะที่มีคราบเต็มไปหมด 



เราคุ้นเคยกับการมองโลก
ในแบบที่ มีอะไร อยู่ในโลกนี้สักอย่าง
แต่เราไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
กับการมองเห็นโลก
ก่อนที่จะ “มีอะไร” อยู่

 

พื้นเพดั้งเดิมของใจก็เช่นกัน
มันก็อยู่ของมันมาดีๆ
ต่อมามันมีเรื่องของเรา เขา มัน ฉัน เธอ
ดำ ขาว ต่ำ สูง ดี เลว สวย น่าเกลียด
รวย จน โง่ ฉลาด ทราม งาม เลิศ เชิด หยิ่ง
ชาติพัฒนาแล้ว ชาติกำลังพัฒนา ตระกูลผู้ดีเก่า ตระกูลเถ้าแก่
ตำแหน่ง ศักดิ์ศรี เกียรติยศ ชื่อเสียง
กองพะเนินเต็มใจไปหมด
เราก็ไม่เห็นว่าสภาพพื้นเพดั้งเดิมจริงๆแล้วมันเป็นยังไง 





จะให้คิดว่า ไม่มี อย่างไร ก็คงจะคิดไม่ออก
ไม่ใช่มันไม่เคยปรากฏ
แต่เพราะเราไม่เคยสังเกต
เผลอทีไร ก็เอาของไปกองไว้อีก
เรามีแต่เอาของออกไป แล้วก็เอาเข้าไปกอง
แต่เราไม่ได้หยุดคิดพิจารณา เวลาที่มันไม่มีอะไรไปวางไปเกาะอยู่
วันๆเราจึงเห็นแต่กองพะเนินสามล้านห้าแสนอย่าง
บางทีเราก็นึกว่ามันสะอาดแล้ว
แต่พอมองใกล้ๆ กลับยังเห็นคราบสกปรกหยากไย่อยู่เต็ม อี๋...

ต่อเมื่อเราเริ่มเรียนรู้ว่า
ที่สุมๆกองพะเนินทั้งหมดนั้น ไม่ได้เรียกว่าโต๊ะ
นั่นคือจาน นั่นคือชาม นั่นคือแจกัน นั่นคือหนังสือ
นั่นคือหยากไย่ นั่นคือฝุ่น นั่นคือคราบอาหาร นั่นคือคราบน้ำลาย

ต่อเมื่อเราเริ่มแยกแยะสิ่งต่างๆได้
เมื่อเราเริ่มเรียนรู้ที่จะยกเอาสิ่งพวกนั้นออกไป
เช็ดคราบ เช็ดฝุ่น รอยเลอะเทอะเปรอะเปื้อนออก
แล้วสังเกตโต๊ะโล่งๆตัวนั้นดูบ่อยๆเวลามันสะอาดจริงๆ

เราถึงจะได้เห็นสภาพพื้นเพดั้งเดิมที่โต๊ะจริงๆมันเป็นยังไง
โดยที่ไม่ต้องคิดเองเออเอง

ฉะนั้น
เมื่อไหร่ที่เรามองไปที่ใจเรา
แล้วเรายังพบว่า เรื่องนั้นเกี่ยวกับเรา
เรื่องนี้เราพิจารณาแล้วว่าไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เป็น ของเขา
เรื่องนั้น สูง เรื่องนี้ ต่ำ เรื่องโน้น ต่ำกว่า
ยังต้องมองด้วยความ มี อะไรสักอย่าง

เมื่อนั้น
เรา ยืนท้าทายเราอยู่ตรงนั้นแหละ

etc099_06





การสังเกตเห็นความเป็น เรา
แรกๆอาจจะยากหน่อย
และเหมือนจะดูกำปั้นทุบดิน ไร้ประโยชน์อย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ดูไปทำไม ทำไปทำไม


อย่างที่บอกว่า
เราเคยชินแต่การเป็นลูกกระจ๊อก เป็นทาส
เคยชินกับการทำตามคำสั่งบัญชาของ เรา มาตลอด
เวลามีเรื่องหรือความรู้สึก ลักษณะทางใจอะไรเกิดขึ้น
เราก็มักวิ่งไปเตรียมเข้าแถวรอรับคำสั่งแล้ว
ไม่ได้สนใจว่าตัวที่สั่งมามันคือใคร ทำไมสั่งจัง!
พอสะกิดให้ลองจ้องตรวจสอบผู้สั่ง
ดูว่า เรา ที่สั่ง เป็นอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ทำงานดีไหม
ก็กลับคิดว่าพิลึก! สาระมันอยู่ที่การตอบสนองตามคำสั่งให้ได้ต่างหาก!


แต่เมื่อเราลองสังเกตเห็น
เรา สักครั้งสองครั้ง สี่ห้าครั้งแล้ว
เราจะเริ่มเห็นด้วยกับแผนสองแล้วล่ะว่า
เออแฮะ! มันมี เรา จริงๆด้วย
และเรานี่ล่ะนะ คิดอะไรของแกอยู่
ทำไมชอบสั่งอะไรไม่ได้เรื่องมาให้ทำเรื่อยเล้ย!


etc099_07

etc099_08