Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๙๖

พึงฆ่าความโกรธด้วยความเมตตา

พัฒนเดช


ครูทางธรรมคนหนึ่งที่ผมเคารพ ท่านเล่าว่า
ความเกลียดชังซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้เป็นกรรมที่คนไทยทำร่วมกัน

?เริ่มมาจากการไม่มีความจริงใจ ให้กันมาระยะหนึ่งแล้ว
ต่างฝ่ายต่างเอาชนะกัน ต่างฝ่ายต่างมองว่าตนเองถูก
และฟังข้อมูลแต่ฝ่ายตน พรรคพวกข้างตนเองถูกต้องที่สุด
มองอีกข้างเป็นศัตรู จึงกลายเป็นผลกรรมที่ต้องรับร่วม กัน
นี่จึงเป็นผลกรรมที่ทำร่วมกัน ไม่ใช่กรรมของผู้นำ ไม่ใช่กรรมของผู้ตาม
แต่เป็นกรรมของคนไทยด้วยกันที่ ทำแล้วไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น?

ใครที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทั้งที่จริงและเท็จด้วยอกุศลเจตนา
ต้องการให้คน เกลียดชังฝ่ายตรงข้ามปรารถนาจะเห็นความพินาศของผู้อื่น
ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟ สร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งตนเองและผู้อื่นเช่นเดียวกัน

ในสภาวะที่บ้านเมืองแตกแยก เต็มไปด้วยความรุนแรง
หนังสือพิมพ์มติชนถึงขนาดพาดหัวข่าวว่า ?ประเทศพินาศ? ยิ่งชวนให้เรารู้สึกสลดหดหู่
แต่ผมกลับคิดว่าไม่มีสถานการณ์ใดจะเหมาะสำหรับการเจริญภาวนา
และหมั่นระลึกถึงคุณค่าของความดีได้มากไปกว่าช่วงนี้อีกแล้ว

ยิ่งเราอยู่ในความมืดที่มืดมิดเพียงไร เราก็จะมองเห็นแสงสว่างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ขอให้เรามองย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 6 ปีก่อน ตอนที่เกิดมหันตภัยสึนามิ
เฉพาะในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตและสูญหายมากว่าหมื่นราย
และอีกกี่หมื่นครัวเรือนที่ต้องสูญเสียญาติพี่น้อง สูญเสียบ้านและทรัพย์สิน

จำได้ไหมว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น...

มีคนไทยจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเดินทางลงมายังภาคใต้เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านั้น
และอีกตั้งเท่าไรที่บริจาคข้าวของเงินทอง น้ำ อาหาร หยูกยา เสื้อผ้า
โดยไม่ต้องร้องขอ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
ธารน้ำใจได้หลั่งไหลลงมาสู่พี่น้องชาวใต้และผู้ประสบภัยทุกคน
โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น เชื้อชาติ หรือศาสนา

จากคนไทยที่รักและเห็นอกเห็นใจกลับมาโกรธแค้นเกลียดชังกันได้ในเวลาไม่กี่ปี...
เพราะฉะนั้นอีกเดี๋ยวพวกเราก็จะกลับมารักกันได้อีก
เพราะว่าทั้งความรักและ ความโกรธเกลียดนั้น ต่างก็เป็นของชั่วคราว เหมือนๆ กัน
แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์นี้ก็จะผ่านพ้นไป... เป็นธรรมดาของโลกใบนี้...

เขาว่าคนไทยลืมง่าย ผมเองก็คิดว่าวันหนึ่งคนไทยก็จะลืมความเกลียดชังนี้ แล้วกลับมาอยู่ร่วมกันได้อย่างพี่น้องอีกครั้ง

เมื่อเทียบกับอายุของคนแล้ว ประวัติศาสตร์ของประเทศหนึ่งๆ นั้นยาวนานกว่าหลายสิบหลายร้อยเท่า
เหตุการณ์ความวุ่นวายในชาติเพียงสองสามปี เมื่อเทียบกับอายุคนก็เหมือนไม่กี่เดือนไม่กี่วัน

หากเรามองว่าประเทศไทยล้มเหลวในการปกครอง
?
แบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข?
ก็ขอให้เราดูสหรัฐอเมริกาที่มีประวัติศาสตร์ ?ประชาธิปไตย? ยาวนานกว่าเราเป็นร้อยๆ ปี
เขาต้องผ่านสงครามประกาศอิสรภาพ ต้องผ่านสงครามกลางเมือง มีคนตายเป็นหมื่นเป็นแสน

หากเปรียบประเทศไทยภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตย (ซึ่งมีอายุแค่เกือบ 80 ปี) เป็นมนุษย์
ตอนนี้ก็คงเป็นเด็กวัยรุ่นซึ่งอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ

จำได้ไหมว่าช่วงที่พวกเราเป็นวัยรุ่นเราผ่านอะไรมาบ้าง
ผมเคยจมอยู่ในความโศกเศร้า
เคยหันความเกลียดชังใส่ทุกคนแบบไม่เลือกหน้า
เคยคิดอยากจะฆ่าตัวตายตั้งหลายครั้ง

แต่ก็ผ่านช่วงนั้นมาได้... กลับมามีความสุขความพอใจในปัจจุบัน และภูมิใจที่ได้เป็นตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ในสายตาของผมนั้น ประเทศไทยในตอนนี้ไม่มีอะไรน่าสิ้นหวังเลยสักนิด
พวกเราเพียงแต่ยังไม่โต ยังไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
ก็เหมือนกับเด็กๆ ที่ทั้งดื้อทั้งซน สอนอะไรก็ไม่ฟัง ต้องให้ลองถูกลองผิดจนเจ็บเสียก่อนถึงจะเรียนรู้

คนไทยที่มีความเห็นอกเห็นใจ ปรารถนาจะให้บ้านเมืองสงบสุขนั้นมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะแสดงพลังต้องให้ความมืดมิดนี้ผ่านพ้นไปก่อน
(
ไม่มีใครกระโดดเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยตอนสึนามิมาจริงไหม ต้องให้มันผ่านไปก่อนถึงจะเข้าไปช่วย)
เพราะฉะนั้นขอให้คนไทยทุกคนอย่าเพิ่งสิ้นหวัง อย่าเพิ่งท้อใจ

ใครที่รักตัวเองและรู้จักความเจ็บปวดของตัวเองดี
ย่อมสามารถรักคนอื่น และเห็นอกเห็นใจในความเจ็บปวดของผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน
ผมเชื่อว่าความทุกข์ทรมานของพี่น้องคนไทยในครั้งนี้
จะเป็นบทเรียนให้พวกเราเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมๆ กันได้

ความเกลียดชังไม่เคยก่อให้ เกิดอะไรนอกจากความเกลียดชัง
และสิ่งที่จะฆ่าความเกลียดชังได้ คือ "ความรักและความเมตตา"

ขอให้ทุกคนช่วยกันฆ่าความเกลียดชังในสังคมด้วยความเมตตา
ขอให้พวกเราหันมารักกันโดยไม่แบ่งแยกสี แยกฝ่าย ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคืองเรื่องในอดีต
ไม่ต้องหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจเรา แต่ให้เราเริ่มเข้าใจเขา... เห็นใจเขาก่อน

ผมเคยโกรธเกลียดคนอื่น ขนาดที่ไม่คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะสามารถให้อภัยเขาได้
ผมรู้ดีว่าขณะที่ใจตัวเองถูกครอบงำด้วยความเกลียดชังนั้นมันทรมานแค่ไหน

เชื่อเถอะครับ ถ้าได้ลองสักครั้งแล้วจะรู้ว่าการรักคนอื่นนั้น มันง่ายกว่าการเกลียดคนอื่นเยอะเลย
การมอบความรักให้ผู้อื่นนั้น นอกจากจะทำให้ตัวเองมีความสุขแล้ว ยังทำให้คนรอบข้างมีความสุขอีกด้วยครับ



ข้อเสนอเพื่อคนไทยรักกัน

กล่องไม้


เหตุการณ์บ้านเมืองที่ ผ่านมา และข่าวสารทางลบต่างๆที่เรายังได้ยินกันอยู่ อาจทำให้เราเกิดความโกรธกันได้ ง่ายๆ


อยากให้เพื่อนๆระวังกันนิดนึง จำไว้ว่าความแค้นของเรา ความอยากด่า อยากสาปแช่งของเราจะไม่มีวันทำให้อะไรดีขึ้นเลย นอกจากเพิ่มพูนน้ำหนักบาปให้ตัว เราเอง

ถ้าเราเชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริงสำหรับคนอื่น มันก็มีสำหรับเราเหมือนกัน
คนอื่นทำชั่ว ยังไงเขาก็ต้องได้รับวิบากกรรม ของเขาอยู่แล้ว
การที่เราไปด่าเขา แช่งเขา แค้นเขา นั่นคือการสร้างกรรมใหม่ที่ไม่ดีของเรา
และคนที่จะได้รับวิบากกรรมนี้ ก็ไม่ใช่คนที่ถูกเราด่า แต่เป็นตัวเราเอง
คล้ายๆ กับบูมเมอแรง ที่เหวี่ยงออกไปแล้ว ก็หมุนย้อนกลับเข้ามาหาผู้ขว้างเอง

ลองเอาความคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเราเป็นคนดีออกไปก่อน
(เช่น คิดว่าเราด่าคนชั่ว เราไม่ผิด เพราะเราเป็นคนดี หรือเพราะเราไม่ได้ทำอย่างเขา)
ลองสังเกตใจตัวเองดูดีๆ ตอนที่อยากด่า หรือสะใจที่ได้ด่า
ใจเราตอนนั้นสวยงามหรือน่าเกลียดมากกว่ากัน
ถ้าสังเกตแล้วตอบอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง
ก็จะตอบตัวเองได้ว่าตอนนั้น ใจเราเป็นบุญหรือบาป ใจเราดีหรือใจเราชั่ว

จากผลสำรวจบอกว่า คนส่วนใหญ่เสียใจที่สุดที่คนไทยไม่รักกัน
แต่ถ้าเรายังไม่หยุดเพาะเชื้อความเกลียดและแค้นเคืองไว้ในใจ
หรือยังโทษอีกฝ่ายไม่เลิกรา เราจะกลับมารักกันได้ยังไง

มาลองเปลี่ยน วิธีกันหน่อยดีมั้ยคะ
เริ่มหัดสร้างความสว่างในใจตัวเองดูก่อน สังเกตใจตัวเองทุกๆวัน
ถ้าใจมันจะคิดไม่ดีขึ้นมาเอง อันนี้เราไม่ห้าม (เพราะมันห้ามไม่ได้อยู่แล้ว)
แต่ถ้าเป็นเรื่องของการกระทำภายนอก เช่นจะออกไปด่า (ไม่ว่าจะด้วยการพูด เขียน หรือพิมพ์)
หรือมันจะออกไปทำร้ายคนอื่น อย่างนี้ให้ยั้งไว้

ค่อยฝึกตัวเองไปทีละน้อยๆ ที่จะไม่ยอมทำตามความโกรธ หรือความอยากระบายความโกรธดู
มันจะได้เหลือพื้นที่เพาะเชื้อ ร้ายๆในตัวเราน้อยลง

จำไว้อย่างหนึ่งว่า มีเฉพาะใจที่คิดดี ปากที่พูดดี และกายที่ทำดีเท่านั้น ที่จะทำให้สิ่งต่างๆดีขึ้น
เราไม่มีวันจะเอาใจร้ายๆ ไปแลกกับความดีหรือสิ่งดีใดๆได้เลย
เพราะเริ่มต้น เราก็สร้างเหตุที่ผิดแล้ว

พอเราหันมาดูตัวเราเอง
เราจะเพ่งโทษคนอื่นน้อยลง และให้อภัยคนอื่นจากใจจริงได้มากขึ้น
ถึงตอนนั้นเราคงไม่ต้องมาถามหาความรักระหว่างกันอีก เพราะมันมีอยู่ในใจเราแล้ว

แล้วข่าว หรือข้อความใดๆที่ชวนให้เกิดความ ขัดแย้ง
ชวนให้ทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ ก็อย่าไปเสพ และอย่าส่งต่อกันเลยค่ะ

วันนี้เราอาจเป็นแค่คนส่วนน้อย ที่สร้างความสว่างให้เกิดขึ้น
แต่ถ้าคนไทยอีกเป็นล้านเปลี่ยนมาพร้อมใจกันสร้างความสว่าง
ให้ความสว่างเข้าแทนที่เมฆหมอกความมืดที่ปกคลุมใจของผู้คนอยู่ในขณะนี้
เราก็น่าจะได้เห็นภาพบ้านเมืองที่สงบสุขของเรากลับคืนมาได้ ไม่ช้าก็เร็ว

เราอาจจะคิดว่า "แค่เราคนเดียวจะไปทำอะไรได้"
แต่ถ้าคนส่วนใหญ่คิดอย่างเดียวกันนี้ บ้านเมืองของเราก็ยังเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้
หากมันไม่แป๊กอยู่ที่เดิม มันก็อาจจะแย่กว่าเดิม

ควรให้เราคิดว่า "เราเองก็สามารถทำอะไรบางอย่างได้"
แล้วเมื่อส่วนใหญ่เค้าก็คิดอย่างเดียวกัน
โอกาสที่บ้านเมืองเราจะเปลี่ยนไปในทางดี มันจึงเพิ่มมากขึ้นได้ จริงไหมคะ

เราอยากเห็นบ้านเมืองเราเป็นแบบไหน เราเลือกได้
มันอยู่ที่การเลือกวิธีคิด พูด และทำของเราเอง

เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการหมั่นสังเกต หมั่นรู้เท่าทันใจตัวเอง
จะได้พูดดี คิดดี และทำดีให้มากขึ้น
ถ้าจะให้ดี ก็ถือศีลห้าไว้เลย ตั้งสัจจะไว้ว่าเราจะไม่เบียดเบียนใครด้วยกาย วาจา ใจ

ถ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงจากที่ตัวเราก่อน
มากกว่าที่จะไปคาดหวังจากคนอื่น
อะไรๆมันก็จะเปลี่ยนไปด้วยมุมมองของใจที่ดียิ่งขึ้นได้อีกโขเลยค่ะ

ไม่เชื่อ ก็ต้องลองพิสูจน์ดูนะคะ