Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๙๒

มอบความรักความสุขใจให้แก่ตนเองก่อน แล้วจึงแบ่งปันให้ผู้อื่น (๒)

shortstoryพัฒนเดช

 

 

"ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม"

หากเราหมั่นเจริญสติคอยรู้ตัว เจริญปัญญาคอยรู้คิดพิจารณา
รวมถึงฝึกฝนคุณธรรมด้านอื่นๆ จนเป็นนิสัยฝังอยู่ในสันดาน
คุณธรรมเหล่านี้ย่อมช่วยให้เรามีความสบายใจทั้งในปัจจุบัน และวันต่อไปข้างหน้า

ตรงกันข้ามกับลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งเป็นทรัพย์ภายนอก
ที่เราควบคุมเหตุปัจจัยได้เพียงบางส่วน
เมื่อใดที่หมดบุญเก่า (เช่นตาย) เมื่อใดที่บาปเก่าตามทันและให้ผล
เมื่อนั้นเราต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านี้

(ผู้ที่มีสัมมาทิฐิคือเห็นว่าตายแล้วต้องเกิดอีก
ตราบเท่าที่ตัณหายังไม่สิ้นไปจากสันดาน
จะให้คุณค่ากับการพัฒนาจิตใจของตนเอง
มากกว่าการแสวงหาและรักษาทรัพย์สมบัติภายนอกที่ตายแล้วนำติดตัวไปไม่ได้

ผู้มีสติปัญญาย่อมเข้าใจว่าความสบาย ลาภ ยศ สรรเสริญ
เป็นเพียงผลพลอยได้จากการตั้งตนอยู่ในธรรม
เมื่อถึงคราวที่ต้องสูญเสียก็จะไม่รู้สึกเสียดายหรือหวงแหน

ตรงกันข้ามกับคนที่เมาความสบาย เมาลาภ เมายศ เมาสรรเสริญ
เมื่อถึงคราวสูญเสียก็ไม่สามารถทำใจยอมรับได้ และพยายามรักษาไว้โดยไม่เลือกวิธีการ
ไม่สนใจว่าสิ่งที่ตนทำเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่
คนเช่นนี้ถือว่าขาดสติปัญญา ประพฤติในสิ่งที่เป็นโทษต่อตนเองด้วยความไม่รู้
แม้จะรักษาความ สบาย ลาภ ยศ สรรเสริญไว้ได้ชั่วคราว
แต่ก็ต้องพบกับความเดือดร้อนในภายหลัง
และเมื่อถึงคราวที่อกุศลให้ผล
ความสบาย ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ช่วยให้เขามีความสุขใจไม่ได้)

หากเรามีความอดทน เมื่อเผชิญกับวิกฤตต่างๆ
เราจะมีความหนักแน่นและรับมือกับมันได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง

หากเรามีความเพียร ไม่ว่าทำอะไรก็จะไม่ท้อหรือเลิกกลางกัน
แต่จะทำจนกว่าจะสำเร็จลุล่วง

หากเรามีใจรู้จักเสียสละ เราจะไม่รู้สึกเสียดายหรือมีความทุกข์มากนัก
เมื่อถึงคราวต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก

หากเรามีสติปัญญา ก็จะรู้จักปล่อยวาง
และสามารถหาทางออกที่เหมาะสมกับแต่ละปัญหาได้

ทั้งการเรียนและการทำงาน สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ได้อยู่ที่ "ทำงานอะไร"
(เว้นแต่งานที่เป็นมิจฉาชีพ และอาชีพที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงแนะนำนะครับ - -)
แต่อยู่ที่ "ทำงานอย่างไร"

การที่เราไม่เข้างานสาย ไม่เลิกก่อนเวลา ส่งงานให้ทันตามกำหนด
เป็นการฝึกระเบียบวินัย

การทำงานโดยไม่เกี่ยงว่าเป็นงานที่ชอบหรือไม่ชอบ ลำบากหรือไม่ลำบาก
และมุ่งมั่นทำงาน ให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย
เป็นการฝึกความอดทนและความเพียร

การรู้จักสละเวลาแรงกายแรงใจเพื่อช่วยผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
การแบ่งปันเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำของเราเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
เป็นการฝึกความเสียสละ

การรู้จักวางแผน รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
รู้จักพิจารณาโทษและประโยชน์จากสิ่งต่างๆ
เป็นการฝึกไหวพริบและสติปัญญา

หากมองเช่นนี้การทำงานก็คือ "การเอาชนะตัวเอง"
เป็นการปลูกฝังคุณธรรมให้เจริญยิ่งขึ้นไปวันละนิด
ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาศัยความเพียรและความอดทนจะหวังผลที่ลัดสั้นไม่ได้

ร่างกายของเราสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยการออกกำลังกายฉันใด
จิตใจของเราก็เข้มแข็งขึ้นได้ด้วยการหมั่นฝึกฝนฉันนั้น

... ... ...

โลกทุกวันนี้หมุนไปเร็ว และเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนต่างแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นเพื่อที่จะเหนือกว่าคนอื่น

หากวิ่งตามโลก เราจะไม่มีวันได้หยุดพัก
เราจะไม่มีวันพบความสบายใจอย่างแท้จริง

(บางคนเรียนจบด็อกเตอร์ บางคนเป็นเจ้าของกิจการมีเงินมหาศาลแต่ก็ยังไม่มีความสุขอยู่ดี)

แล้วเราจะวิ่งตามโลกไปเพื่ออะไร... เพื่อใคร...
ทั้งที่ความสุขไม่ใช่สิ่งที่หายากขนาดนั้น

หากรู้สึกเหนื่อย... จะหยุดพักบ้างเป็นไร

หากวิ่งไม่ไหว... จะเดินเอาก็ได้

เวลาที่เราวิ่งมาเหนื่อยๆ ขอแค่ได้นั่งลงใต้ร่มไม้ที่มีลมพัดเย็นๆ
มีน้ำเย็นๆ ให้ดื่ม แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว

อาหารจะอร่อยก็ต่อเมื่อท้องหิว...

เราจะนอนหลับสนิทก็ต่อเมื่อเพลียและง่วงนอน...

หากรู้จักเอะใจสักนิด ความสุขในชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ไกลตัวขนาดต้องดิ้นรนไขว่คว้า

เพียงเรารู้จักที่จะปล่อยวาง... หยุดพัก... หยุดวิ่งตามโลก...
แล้วเราจะรู้ว่าความสุขนี้อยู่ใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึง
เพียงหลับตาสูดลมหายเข้าใจลึกๆ แล้วหายใจออกยาวๆ
เท่านี้จิตใจของเราก็จะรู้สึกปลอดโปร่งแช่มชื่นขึ้นมาทันที

การเติมความสุขเล็กๆ ให้กับชีวิตในแต่ละวัน
รู้จักให้รางวัลกับตัวเองตามสมควรแก่ฐานะก็สำคัญ

หากเราไม่มีความสุขกายสบายใจเลย
ก็ย่อมไม่มีกำลังใจจะทำความดีและรักษาความดีเอาไว้

... ... ...

ใครที่อยากได้ในสิ่งซึ่งตนยังไม่มี ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี
หรือหวาดกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่
มากเสียจนเกินพอดี
ไม่มีสติปัญญาคอยรู้ คอยพิจารณาแยกแยะ

นอกจากตัวเขาเองจะเต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนใจแล้ว ย่อมก่อปัญหาให้คนรอบข้าง
ทำให้คนรอบข้างพลอยทุกข์ร้อนไม่สบายใจไปด้วย
เพราะจิตใจของเขาแห้งผากมีแต่ความกระสับกระส่ายเร่าร้อน

คนเช่นนี้แม้จะมอบความสุขความสบายแก่ผู้อื่นได้
ด้วยการแบ่งปันทรัพย์สินเงินทองหรือผลประโยชน์อื่นๆ
แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ผู้อื่น โดยเฉพาะคนใกล้ตัวมีความสบายใจได้เลย
เมื่อเงินทองหรือฐานะตำแหน่งสูญไป แม้แต่คนใกล้ชิดก็อาจจะไม่อยากเข้าใกล้

ตรงกันข้ามกับบุคคลที่มีความสุข ความพอใจจากข้างใน
จิตใจของเขาชื่นบาน สงบร่มเย็น เต็มไปด้วยความเมตตา
สามารถเติมเต็มจิตใจของผู้อื่น ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเกิดความสบายใจ

ดังเช่นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
แม้ไม่มีทรัพย์สินหรือตำแหน่งจะมอบให้ แต่ผู้คนก็กราบไหว้นับถือ
พร้อมจะมอบเงินทองสิ่งของให้ด้วยความเต็มใจ
เพื่อให้ท่านได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์

เราในฐานะฆราวาส แม้มิได้เป็นนักบวช (นักบวชแปลว่า "ผู้ฝึกตน")
ก็สามารถเจริญคุณธรรมต่างๆ ให้เพิ่มพูนขึ้นในจิตใจ
และมอบความรักและความสุขให้กับคนที่อยู่รอบๆ ตัวได้เช่นกัน

ขอเพียงเรารู้จักที่จะ "รัก"
และทำให้ตัวเองมีความสุขความสบายจากภายในเสียก่อน