Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๙๐

เพราะ "รัก" คือการไม่เบียดเบียน
shortstoryพัฒนเดช

?

?

เพื่อนๆ เคยรู้สึกไหมว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา
มีใครคนหนึ่งที่รักและห่วงใยเรามากกว่าใครๆ

เขาคนนั้นอาจจะเคยเบื่อเราบ้าง แต่ก็ทำได้เพียงไม่นาน...
เขาคนนั้นอาจจะเคยโกรธเราบ้าง แต่ก็พร้อมจะให้อภัยเสมอ

ในยามที่เรามีความทุกข์...
เขาจะคอยปลอบโยนเราทุกทาง จนกว่าความทุกข์นั้นจะหายไป

ในยามที่เราสุข...
เขาจะยิ้มร่าและมีความสุขร่วมไปกับเรา

เขาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นตัวเราเอง...

ยามใดที่เรา เผชิญกับปัญหาและท้อแท้
ใจของเรานี่แหละ จะกระซิบกับเราอย่างอ่อนโยนว่า

"ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ไว้ แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไป"

ไม่ว่าเราจะทำเรื่อง ที่น่าผิดหวัง หรือเลวร้ายเพียงใด
ลึกๆ ในใจเราก็ยังรักและพร้อมให้อภัยตัวเองเสมอ

เราหวังดีต่อตัวเอง อยากให้ตัวเองได้กินอิ่ม นอนหลับสบาย
ถ้าเพื่อ ตัวเอง และ คนที่ ตัวเอง รักแล้ว
เรายอมตรากตรำทุกอย่างไม่ว่าจะเหนื่อยยากเพียงไร

ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
?ความรักที่เสมอด้วยความรักตนเองนั้นไม่มี?

(แม้จะมีบางคนที่เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาหรือความทุกข์แล้ว
เอาแต่โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง หรืออาจจะหาทางออกผิดๆ ถึงขั้นฆ่าตัวตายก็ตาม
แต่นั่นก็มาจากความรักตัวเอง เช่นเขาอาจจะเชื่อว่า "ความตาย" เป็นการหนีทุกข์
ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจผิด ด้วยเหตุที่คนเหล่านั้นขาดสติรู้ตัว และปัญญารู้คิดพิจารณา
ว่าการกระทำใดที่เป็นโทษและประโยชน์แก่ตัวเองอย่างแท้จริง)

หากเปิดใจออกมาสัมผัสดู เราจะรู้สึกว่าความรักที่เรามีต่อตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
เสมือนอากาศที่แวดล้อมเราอยู่ จนบางครั้งเราก็ลืมนึกถึงมัน

แต่ลึกๆ แล้วการกระทำทุกอย่างของเรา ล้วนออกมาจากความรักตัวเองทั้งสิ้น

(เพื่อนๆ หลายคนอาจนึกแย้งว่า การกระทำที่ไม่ได้มาจากความรักตัวเอง
เช่น การ เสียสละ ก็มีอยู่นี่นา... ไม่ผิดหรอกครับ ลองอ่านต่อไปนะครับ ^^)

ใครที่ได้สัมผัสกับความรักตนเองแล้ว เขาย่อมมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
เขาย่อมเข้าใจดีว่าทั้งคนและสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีหัวใจเหมือนกัน

ความทุกข์ใดที่เขาเคยผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะถูกทำร้ายร่างกาย
ถูกทำร้ายจิตใจ ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกทรยศหักหลัง เจ็บป่วย สูญเสียคนรัก ฯลฯ
เขาย่อมรู้ดีกว่าใครว่ามันขื่นขมและทรมานเพียงไร
และในเมื่อเขาไม่ปรารถนาจะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นอีก
เขาย่อมเข้าใจเช่นกันว่าผู้อื่นก็ย่อมไม่ปรารถนาจะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น

ผู้ที่มีความรักที่แท้จริง คือผู้ที่เปี่ยมด้วยความเมตตา
ย่อมรักทั้งคนและสัตว์ทั้งหลายอย่างจริงใจ ไม่แบ่งแยก
เขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์
โดยไม่เลือกมิตรศัตรู คนรู้จัก หรือคนแปลกหน้า
เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าที่มีความเมตตาต่อพระเทวทัตผู้คิดร้ายต่อพระองค์

ความรักของบุคคลเหล่านั้นมีแต่การให้
เพราะใจของเขาเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว จึงไม่ร้องขออะไรจากผู้อื่น
ทุกการกระทำมีแต่การสละออก แต่การสละออกนั้นไม่ได้ทำให้คุณธรรมของเขาพร่องไป
ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มพูน เหมือนการต่อเทียนที่ยิ่งจุดก็มีแต่จะยิ่งส่องสว่าง

ผู้ที่รักตัวเองอย่างแท้จริงย่อมรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่ดีกับตัวเองจริงๆ
เขาย่อมรู้ว่าทรัพย์ภายนอก ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ
ย่อมไม่อยู่กับเขาตลอดไป และไม่ควรฝากความสุขไว้กับสิ่งเหล่านั้น

ผู้ที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตา เช่นพระพุทธเจ้านั้น
ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่รักตัวเอง แต่เพราะพระองค์รักตัวเองจึงสะสม อริยทรัพย์
คือทรัพย์ภายในที่ไม่มีใครขโมยไปจากพระองค์ได้
เป็นทรัพย์ที่จะติดตัวพระองค์ไปทุกชาติ
และเป็นบารมีส่งเสริมให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระชาติสุดท้าย

อริยทรัพย์ ๗ มี
. ศรัทธา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง
โดยชอบ ฯลฯ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
. ศีล เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
. หิริ เป็นผู้มีความละอาย คือละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตละอาย ต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก
. โอตตัปปะ เป็นผู้มีความสะดุ้งกลัว คือ สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก
. สุตะ เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ
ซึ่งธรรมทั้งหลาย อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
. จาคะ เป็นผู้มีใจอันปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ
ควรแก่การขอ ยินดีในทานและการจำแนกทาน
. ปัญญา ประกอบด้วยปัญญาที่กำหนดความเกิด และความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ

ในปัจจุบันผมเห็นคนด่าทอกัน ทะเลาะกัน ทำร้ายกันเป็นเรื่องง่ายดาย
เพื่อนๆ เองเคยมีไหมครับ ที่บางครั้งก็รู้สึกไม่พอใจใครขึ้นมา
จนพลั้งปากด่าผู้อื่น (หรือจะเจตนาด่าด้วยความสะใจก็ตาม - -)

แต่ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าถ้อยคำที่กล่าวโดยมีเจตนาด่าทอผู้อื่นนั้น
ไม่ว่าผู้พูดจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ย่อมออกมาจากใจที่คิดเบียดเบียนเสมอ

คำพูดที่เจตนาจะให้คนฟังร้อนด้วยโทสะนั้น
ย่อมต้องผ่านใจและปากของผู้พูดก่อนจะถึงหูคนฟัง
ดังนั้น ก่อนที่ผู้ฟังจะได้ยินคำพูดนั้น
ใจของผู้พูดเองจะต้องกระสับกระส่ายเร่าร้อนเสียก่อน

และนั่นคือการเบียดเบียนตนเอง

หากคิดแบบปุถุชน...
เราอาจจะเห็นว่าในโลกนี้มีคนที่สมควรถูกด่าอยู่

แต่ถ้าเรารักตัวเองมากพอ...
ก็จะรู้ว่าไม่มีเหตุผลสมควรเลยที่เราจะด่าทอผู้อื่น
(ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเลวเพียงใดก็ตาม)

เพราะตอนที่เราด่าทอผู้อื่นนั่นแหละ
คือชั่วขณะที่เรากำลังเบียดเบียนคนที่เรารักที่สุด