Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๘๗

"สิ่งที่ฉันพึ่งรู้"
สิริธร


ขอผลบุญที่ได้จากบทความนี้
อุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า และ เจ้ากรรมนายเวรของคุณแม่ของข้าพเจ้า

ฉันเคยคิดว่าตนเองเป็นคนที่ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาดิฉันฟังธรรม บริจาคทาน และ ถือศีล 5 อีกทั้งยังฝึกเจริญสติในชีวิตประจำวันอีกด้วย แต่จนมา ณ ตอนนี้ดิฉันรู้ว่าทุกสิ่งที่ทำ มันแค่เริ่มต้น และฉันก็ไม่ได้ดี หรือประเสริฐ อย่างที่คิดไว้

จากวันที่เคยมีความสุข มีแม่ ทำอาหารเช้าให้ทานทุกเช้า และเย็น ไปเที่ยวหัวเราะกันอย่างมีความสุข ที่เคยคิดว่า เราคือลูกที่ดี พาแม่ไปช็อปปิ้ง ซื้อของแพงๆให้ หรือพาไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ ชีวิตนี้มันช่างไม่แน่นอนจริงๆ แม่เริ่มบ่นปวดขา เราก็ไม่คิดอะไร คิดว่าก็อาการปวดของคนแก่ตามปกติ จนวันหนึ่ง แม่ปวดจนเดินไม่ได้ มันช่างกะทันหัน หมอบอกว่า แม่เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อาการจะเป็นๆ หายๆ พอหายก็เหมือนคนทั่วไป พอเป็นก็ปวดจนเดินไม่ได้เลยทีเดียว

ฉันเห็นแม่ตอนปวด ปวดจนร้องไห้เลย แม่บอกว่าทรมานแบบนี้ตายเสียดีกว่า ฉันเป็นลูกคนสุดท้องไม่มีสิทธิ์มี เสียงอะไรมากนักในครอบครัว แต่ด้วยความใกล้ชิดกับแม่มาก เพราะเรานอนด้วยกันทุกวัน อยู่ด้วยกันตลอด จึงรู้ดีว่าแม่ทรมานแค่ไหน ฉันจึงบอกพี่สาวว่าให้พาแม่ไปผ่าตัดเถอะ เรื่องเงินจะช่วยออกให้ พี่สาวเป็นคนรวยมาก เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าการผ่าตัดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องแน่ใจว่าแม่ทนไม่ไหวจริงๆ จึงไปผ่า เพราะเขาเชื่อว่าร่างกายแม่จะปรับสภาพและหายได้เอง เพราะหมอบอกว่าคนไข้ที่เป็นโรคนี้บางคน ถ้าร่างกายปรับสภาพได้ก็สามารถหายเองได้

ช่วงเวลาประมาณสองเดือนที่แม่ทนทรมานอยู่ที่บ้านนั้นมันสอนอะไรฉันหลายอย่างจริงๆ จากที่เคยคิดว่าตัวเองมีสติ เคยฟุ้งซ่านแล้วพอรู้ว่าฟุ้งมันก็ดับ เคยไม่พอใจแล้วพอรู้ว่าไม่พอใจมันก็ดับ แต่พอเห็นแม่ร้องไห้ก็รู้ว่าเราเศร้าแล้วมันก็ดับ แต่หลังจากนั้นอารมณ์เศร้ามันก็กลับมาใหม่จนดูไม่ไหวแล้ว กลายเป็นเราเศร้า เราเสียใจ ร้องไห้ ขาดสติ? อืม เรามันไม่ได้เก่งอะไรเลยนะ กิเลสแรงๆสู้ไม่ไหว แพ้ราบคาบ ตอนนั้นดูอะไรไม่ไหวแล้ว เลยสวดมนต์ ไหว้พระ ให้ใจสงบไว้ก่อน

จากที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นลูกที่ดีประเสริฐ คิดผิดถนัด ตั้งแต่แม่ป่วยฉันต้องทำงานบ้านเองเกือบทั้งหมด เพราะพี่สาวมีครอบครัวแล้ว มีลูกและสามีที่ต้องดูแล มีบางงานพี่สาวก็ช่วย เช่นรีดผ้า ฉันจึงได้รู้ว่าแม่เหนื่อยแค่ไหน งานบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉันจึงรู้ว่าตนเองนี้เลวจริงๆ เคยให้แม่หุงข้าว รีดผ้า ทำกับข้าว ซักผ้า ตากผ้า ทิ้งขยะ
ถึงแม้ว่า งานพวกกวาดบ้าน ถูบ้าน ขัดห้องน้ำ มีคนมาทำให้ก็เถอะ หรือ แม้ว่าจะมีเครื่องซักผ้าก็ตาม แต่งานที่เอ่ยมาข้างต้นมันก็ หนักหนาเหลือเกินสำหรับฉันในช่วงเดือนแรก และพอวันหนึ่งขณะที่ฉันไปทิ้งขยะ ขยะมันล้นออกมาจากถุง ฉันได้พบว่าขยะมันสกปรกเหลือเกินแต่ใจฉันนี้สิสกปรกกว่า ที่ผ่านมาฉันปล่อยให้แม่ทำงานพวกนี้ได้อย่างไร ฉันได้แต่รู้สึกสำนึกผิดและตั้งใจว่า ถึงแม่จะหายแล้วฉันก็จะไม่ทำตัวแบบเดิมอีกเป็นอันขาด จะทำงานเท่าที่ทำได้ จะไม่เพิกเฉยเมื่อเห็นแม่ทำงาน จะไม่ดำรงชีวิตแบบเดิมอีกแล้ว

พอเดือนที่สอง อาการแม่หนักกว่าเดิม ฉันต้องดูแลแม่แทบทุกอย่าง แม่แทบทำอะไรเองไม่ได้เลย เข้าห้องน้ำก็กลายเป็นเรื่องยาก และแม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆด้วย ฉันบอกพี่สาวว่าแม่รับไม่ได้แล้วนะ พาแม่ไปผ่าตัดเถอะ ร่างกายแม่คงไม่สามารถปรับสภาพหายเองได้หรอก แม้ว่าแม่จะไปพบหมอตลอดตามที่หมอนัด และกินยาจำนวนมากก็เถอะ สรุปก็คือแม่ได้ไปผ่าตัด โชคดีที่หลังผ่าตัด แม่หายดีขึ้น และร่างกายดีขึ้นตามลำดับ
แม้ตอนนี้แม่เกือบหายสนิทแล้ว แต่หมอยังบอกว่าคุณป้าอย่าเพิ่งขึ้นเขานะ แต่ไปเที่ยวน่ะไปได้แล้ว แม่ก็ชอบใจ หมอรู้ว่าแม่ชอบเที่ยว ชีวิตนี้การท่องเที่ยวคือความสุขของแม่ ช่วงฤดูร้อนของปี 53 นี้พี่สาวบอกว่าถ้าแม่หายสนิทจะพาแม่ไปนิวซีแลนด์ แม่ก็เลยขยัน ทำกายภาพบำบัด บริหารร่างกาย ด้วยความที่อยากไปเที่ยว

ตอนนี้แม้ครอบครัวของเราจะอยู่กันอย่างมีความสุข แต่ฉันก็ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่างจากการป่วยของแม่ ที่แน่ๆ ฉันจะไม่ประมาทอีกแล้ว วันเวลาที่เหลือคือสิ่งที่มีค่าฉันจะใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด คนเราเอาแน่อะไรไม่ได้เลย และที่แน่ๆ ฉันไม่ปล่อยให้แม่ทำงานบ้านเหมือนเดิมอีกแล้ว เราก็เลยช่วยกันทำ เพราะแม่จะทนไม่ได้เวลาเห็นฉัน ทำงานบ้าน แม่จะมาช่วยทันที ถึงแม้ฉันจะบอกให้แม่อยู่เฉยๆก็เถอะ และอีกเรื่องหนึ่งคือสติของฉันมันยังอ่อนยิ่งนัก ต้องเจริญสติอีกเยอะเลย ที่ทำมาน่ะมันแค่เริ่มต้น

ถ้าคุณพ่อ คุณแม่คุณ ยังอยู่กับคุณ ก็ดูแลท่านให้เยอะๆนะคะ ที่คิดว่าทำดีแล้ว อาจจะมารู้ทีหลังว่าที่ทำมามันไม่ดีพอก็เป็นไปได้ ตอนนี้ฉันรู้แล้วก็เลยอยากฝากเรื่องนี้ไว้ให้ผู้อ่านได้ลองย้อนคิดดู ว่าที่ทำมาน่ะะมันดีพอหรือยัง

จาก ผู้หวังดี