Print

สัพเพเหระธรรม - ฉบับที่ ๒๑๒

หนึ่งคนตาย หลายคนตื่น

ฉัตรทยา พงษ์พันธ์ 

ศพของคุณยายถูกตั้งไว้ที่ห้องเล็กก่อนถึงทางขึ้นอุโบสถ  เพื่อให้คนที่เข้ามาวัดได้เจริญมรณานุสสติ    เป็นความตั้งใจของคุณยายก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง  คุณยายได้บริจาคร่างกายให้วัดเพื่อให้พระ แม่ชี และผู้ที่เข้ามาวัดได้พิจารณาความไม่เที่ยงแห่งสังขาร  สังขารของคุณยายถูกตั้งไว้บนแท่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า  เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว  สังขารเริ่มแห้งและเล็กลง   เส้นผมและกระดูกบางส่วนเริ่มสลายเป็นผงดิน  ซึ่งบัดนี้ได้ร่วงหล่นอยู่บนแท่นปูผ้าสีขาวรองร่างไว้  สถานที่แห่งนี้นอกจากผู้ที่เข้ามาในวัดจะเข้ามาเพื่อเจริญมรณานุสติแล้ว  ยังเป็นสถานที่ๆพระภายในวัดและแม่ชีใช้เพื่อปลงสังเวชอีกด้วย

ยังมีเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่ง  ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มอายุ ๑๙ ปี  เขาอยู่ในวัยที่สดใส  มีครอบครัวที่อบอุ่น และเขากำลังจะเป็นนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ  แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับปวดหลังมากจนทนไม่ไหว  พอไปตรวจที่โรงพยาบาลผลออกมาว่าเขาเป็นมะเร็ง  เขาจึงต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล  ด้วยความหวังที่จะหายเป็นปกติและได้กลับไปเรียนมหาวิทยาลัย  ครั้งนั้นมีผู้คนมากมายที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ได้แวะเวียนมาเยี่ยมให้กำลังใจเขาที่โรงพยาบาลหลังจากได้ทราบเรื่องราวของเขาผ่านทางสื่อโทรทัศน์ เพื่อนร่วมคณะเดียวกันก็พากันมาให้กำลังใจแม้ตัวเขาจะยังไม่มีโอกาสได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเลย   เขายิ้มต้อนรับทุกคนแม้ทั่วตัวจะมีแต่สายระโยงระยาง ทุกคนต่างหวังว่าเขาจะหายเป็นปกติ  แต่อาการของเขาก็ทรุดลงเรื่อยๆ  ในคืนสุดท้ายนั้นเองพระภิกษุผู้ได้รับสมญาว่าเป็นพระนักปราชญ์รูปหนึ่งของประเทศไทยซึ่งเขาศรัทธาและอยากพบ ได้เมตตาเทศนาโปรดเขาทางโทรศัพท์ให้เขาได้จากไปอย่างสงบในวันรุ่งขึ้น ซึ่งท่านก็ได้กรุณาเดินทางมารดน้ำให้กับร่างไร้วิญญาณของเขา ทั้งยังเทศนาสอนให้ทุกคนได้ฟังว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตด้วย  ครอบครัวของเด็กหนุ่มได้รวบรวมเงินทำบุญถวายแด่พระภิกษุรูปนั้นก่อนที่ท่านจะกลับเป็นจำนวนหนึ่งแสนบาท ซึ่งท่านก็ได้มอบเงินทั้งหมดนี้ต่อให้กับคณะบดีของมหาวิทยาลัยที่เด็กหนุ่มผู้นี้สอบเข้าเรียนได้ เพื่อเป็นกองทุนเริ่มต้นเอาไว้ให้เด็กที่สอบติดคณะนี้ได้แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์  เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งดีงามที่จะประทับอยู่ในใจทุกคนและอนุชนรุ่นหลังสืบต่อไป

ความตายของคนสองวัย  ต่างวาระกัน  แต่ทำให้หลายคนตื่นขึ้นมา  ตื่นจากกิเลส ตื่นจากความประมาทแห่งชีวิต  เป็นการตายที่ทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับรู้และเป็นพลังให้เกิดการกระทำความดี

ความตายสิ่งธรรมดาที่ทุกชีวิตต้องประสบ  ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมไว้ว่า  ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย  ต้องแตกดับไปเป็นธรรมดา  เปรียบเหมือนภาชนะดินทุกชนิด  ที่ช่างหม้อปั้นแล้ว  ในที่สุดก็ต้องแตกดับไป  ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่  ทั้งคนโง่ ทั้งคนฉลาด  ล้วนบ่ายหน้าสู่ความตายทั้งนั้น  เมื่อตายแล้วทรัพย์แม้แต่น้อยก็ติดตามตัวไปไม่ได้  มีแต่บุญและบาปเท่านั้นที่จะติดตามวิญญาณไป  แม่น้ำเต็มฝั่งไม่ไหลทวนสู่ที่สูงฉันใด  อายุของมนุษย์ทั้งหลายย่อมไม่เวียนกลับมาสู่วัยเด็กได้อีกฉันนั้น  วัยย่อมเสื่อมลงไปเรื่อย  ทุกหลับตา  ทุกลืมตา  เมื่อวัยสิ้นไปอย่างนี้  ความพลัดพรากจากกันก็ต้องมีได้โดยไม่ต้องสงสัย  ชนทั้งหลายเศร้าโศกเพราะสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเรา  ทั้งๆ ที่สิ่งที่ยึดถือนั่น  ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย 

วันคืนผ่านไป  ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร  ฉะนั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่  ไม่ควรเศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ควรเพ้อฝันถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง  ควรดำรงสติอยู่กับปัจจุบัน ด้วยความไม่ประมาททั้งปวง  การมีชีวิตอยู่ควรทำแต่ความดี  ไม่ทำความชั่วใดๆ  และยิ่งกว่านั้นคือการเจริญปัญญาเพื่อการไม่ต้องมาเกิดอีก  เพราะการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง  เมื่อเกิดแล้วก็ต้องแก่  เจ็บ  ตาย พลัดพรากจากสิ่งที่รัก  ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก  เจอทุกข์ไม่สิ้นสุดอยู่ร่ำไป 

  พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า  “ดูก่อนอานนท์  เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง”  พระอานนท์กราบทูลตอบว่า  “นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า”  พระองค์ตรัสว่า  “ยังห่างมากอานนท์  ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก”   ดังนั้น  เราควรพิจารณาถึงความตายอยู่เสมอเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต 

 

.....................................................................................

ขอขอบคุณคุณยายแห่งวัดถ้ำยายปริก  เกาะสีชังที่บริจาคร่างกายเป็นธรรมทานแก่ผู้อื่น 

ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆของน้องนรุตม์   มงคลศิริภัทรา ที่เป็นพลังสร้างสรรค์ความดีงาม  กุศลใดใดเกิดขึ้นขอให้ทั้งสองท่านได้รับกุศลนี้ด้วยเทอญ