Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๑๘๐

มองผ่านตา

จิตประภัสสร

traffic
ภาพประกอบจาก http://daily.bangkokbiznews.com/gallery/20110810


ท่ามกลางความเร่งรีบของวิถีชีวิตคนเมืองอันวุ่นวาย
อาจทำให้ใครหลายคน
มองหลากหลายเรื่องราว หลากหลายเหตุการณ์ ที่แวะเวียนเปลี่ยนผ่านเข้ามา
ในแต่ละวัน ในแต่ละเวลา
เป็นเพียงแค่ สิ่งที่มองผ่านมา...มองผ่านตา...แล้วก็มองผ่านไป
ไม่มีอะไรน่าสนใจ ไม่มีอะไรน่าจดจำ
แต่สำหรับวันนั้น...ในวันที่ฝนพรำๆ
ข้าพเจ้าเฝ้ามองภาพของ..ชายชราผู้หนึ่ง
พยายามใช้เรี่ยวแรงกำลังเท่าที่พอมี
บรรจงกางร่มคันใหญ่ ด้วยท่าทีที่อ่อนล้า
แต่ทว่า...ในแววตา กลับฉายประกายแห่งความสุขออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
คุณตา...ชายชราคนนั้น
กำลังกางปีกแห่งรัก รองรับละอองฝนฉ่ำเย็นจากฟากฟ้า
เพื่อปกป้องบรรดาเด็กน้อย
ให้ข้ามถนนเข้าสู่รั้วโรงเรียนอันอบอุ่น ที่อยู่อีกฟากฝั่ง
อย่างปลอดภัยและไม่เปียกปอน

ขอเพียงมีความสุขในสิ่งที่ทำ ถึงแม้จะเป็นแค่คนตัวเล็กๆก็ดูยิ่งใหญ่ได้
นี่คือ มุมคิดแรก เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชราคนนั้น

หลายคืนวันผ่านเลยไป...
ข้าพเจ้า เปิดโอกาสให้ตัวเองได้แวะเวียนกลับไปที่ถนนสายนั้นอีกครั้ง
แต่...ภาพชายชราที่ข้าพเจ้าเห็น
ช่างแตกต่างจากวันวาน
ไม่สดใสและไม่สุขสันต์เอาเสียเลย
คุณตาผู้ชรา
กำลังนั่งทอดอาลัยอยู่ที่ศาลารถเมล์หน้าโรงเรียน ด้วยท่าทางอิดโรย
มือขวาอันสั่นเทาที่ถือรูปถ่ายอยู่หนึ่งใบ
กำลังค่อยๆเคลื่อนเข้าหาจนเกือบประชิดหน้าเจ้าของมือ
หยดน้ำใสๆเอ่อล้นจนท่วมท้นเต็มสองดวงตา
ชายชรา...เพ่งมองรูปนั้น
ราวกับว่า...กำลังค้นหาความจริง...ที่ยังไม่เจอ
แม้ข้าพเจ้ายังมีความอยากรู้อยู่บ้าง แต่ก็มิอาจหาญข้ามขั้นไปแอบดู
คงได้แต่เฝ้ามองด้วยความสงสัยว่า...เกิดอะไรขึ้นกับชายชรา

สุข...อยู่กับเราได้ไม่นาน ทุกข์...ก็คงจะอยู่กับเราได้ไม่นานเฉกเช่นกัน
นี่คือ อีกมุมคิด เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชราคนนั้น

ความสงสัยยังคงกระหายใคร่รู้
สองเท้าของข้าพเจ้า จึงออกก้าวเดินไปเพื่อหาคำตอบ
ข้าพเจ้าสอดส่ายสายตาไปมา จนเจอเป้าหมาย
เพียงแค่ช่วยอุดหนุนขนมนิดหน่อย จะถามจะไถ่อะไร ก็ไม่ยาก
คนไทย มีน้ำใจให้กันไม่เคยขาด
ไม่นานนัก ก็ได้ความว่า.
“ ตาคนนี้ ถ้าไม่ยิ้ม แกก็จะนั่งร้องไห้ แต่ก็ไม่เคยทำอันตรายใครนะ แกมาจากไหนไม่มีใครรู้หรอก แต่ด้วยความใจดีของผู้อำนวยการโรงเรียน แกเลยได้อยู่ที่นี่มาเกือบห้าปีแล้ว กินนอนอยู่ที่โรงเรียนนี่แหละ แต่ที่แปลกก็คือ จะเห็นแกยิ้มวันละสองเวลาเท่านั้น คือ ก่อนเข้าเรียนและหลังเลิกเรียน หน้าที่ประจำของแกก็คือ คอยดูแลความปลอดภัยให้กับเด็กนักเรียนเวลาข้ามถนน ส่วนเวลาหลังจากนั้น แกก็มักจะมานั่งเหม่อ เผลอๆก็จะแอบมีน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วงให้ได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ แบบที่คุณเห็นนี่แหละ แล้วรูปถ่ายใบนั้นก็อย่าได้ไปขอแกดูเชียวนะ แกหวงนักหวงหนา ไม่มีใครเคยได้ดูสักคน แล้วก็ไม่มีใครคิดจะไปแอบดูของแกซะด้วย ”

ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนแต่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น เพียงพื้นที่เล็กๆที่ไม่อยากให้ใครก้าวล่วงเข้ามา โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งไม่น่าจะมากเกินไป ที่ใครๆจะให้พื้นที่นั้นแก่กันไม่ได้ นี่คือ อีกหนึ่งมุมคิดที่สะกิดใจ เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชราคนนั้น

หากแต่การสนทนา..
มิได้เริ่มต้น และปิดฉากลง
ตรงที่ข้าพเจ้ากับแม่ค้าขนมหน้าหวานเพียงสองต่อสอง
ยังมีพ่อค้าลูกชิ้นหมูเด้ง กระโดดลงมาร่วมวงด้วยอีกคน
คำบอกเล่าเรื่องชายชรา...จึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
“ แกเอ็นดูเด็กๆมาก แรกๆพวกเด็กนักเรียนก็กลัวแกนะ เวลาแกจะมาจูงมือพาข้ามถนนก็ไม่ค่อยยอมกัน พวกเราเองก็ยังไม่ค่อยไว้ใจแกเท่าไหร่เลย เพราะมีคนชอบพูดว่าแกสติไม่ดี แต่ท่านผู้อำนวยการบอกว่า แกไม่มีอะไรหรอก แค่ความจำเสื่อม ไม่ได้ถึงกับสติแตกเป็นบ้า เที่ยวอาละวาดทำร้ายใคร อยู่ๆไปพวกเราก็เห็นว่าจริงอย่างที่ผู้อำนวยการบอก แกเป็นคนดีใช้ได้ทีเดียว เสียแต่ว่า ไม่ชอบสุงสิงกับใคร แล้วก็มีความเศร้าอยู่ในใจเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง เด็กนักเรียนพวกนั้นก็คงเห็นเหมือนๆกัน ทุกวันนี้ก็เลยไม่มีใครรังเกียจแกอีกเลย ”

อย่าด่วนตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก จงเพ่งมองให้ลึกลงไป ถึงรูปลักษณ์ภายในที่แท้จริง แล้วคุณจะรู้ว่า บางครั้งมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ใครๆคิดกัน เป็นอีกมุมคิดที่คอยเตือนใจ เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชราคนนั้น

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะเอ่ยปากบอกลาวงสนทนา
คุณป้าแม่ค้าขายกล้วยแขก เผอิญเดินผ่านมาได้ยินคำว่า “ตา ”
ก็เลยแต่งตั้งตนเองเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
การยุติบทสนทนา จึงมีอันต้องล่าถอยไป
“ ตาที่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น ป้ารู้จักดีกว่าใคร คุณรู้ไหมว่าตาแอบชอบเด็กผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ”
คุณป้าแม่ค้าพูดแล้วก็หยุดเอาดื้อๆ
แต่...ประโยคนั้นทำเอาข้าพเจ้าหูผึ่ง จึงเต็มใจฟังต่ออย่างตั้งใจ
“ ก็หนูชวนชื่น เด็กผู้หญิงหน้ากลมๆ ผมยาวๆ ตัวขาวๆ ตาตี่ๆ ที่เรียนอยู่ ป.๔ นั่นไง เวลาตาเห็นทีไร ก็จะฉีกยิ้มจนหน้าบานเป็นกระด้ง แล้วก็ต้องรีบกุลีกุจอวิ่งเข้าไปจูงมือข้ามถนน คอยระวังหน้าระวังหลังให้เป็นอย่างดีเชียวนะ ป้าสังเกตเห็นหลายครั้งแล้ว ย่าของหนูชวนชื่นก็ไม่ได้ว่าอะไร คิดว่าตาคงจะถูกชะตากับหลานสาว ก็เลยเอ็นดูเป็นพิเศษ อย่างที่ทุกคนรู้กันนั่นแหละ ถึงตาจะสมองเสื่อม ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร แต่จะว่าไปบางครั้งสิ่งที่ตาทำ หนูชวนชื่นเองก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่หรอกนะ เพราะเพื่อนๆชอบเอาไปล้ออยู่เรื่อย บางทีเวลาข้ามถนน ถ้ามีเด็กนักเรียนข้ามพร้อมๆกันหลายคน หนูชวนชื่นก็จะเดินเลี่ยงเข้าไปในกลุ่ม ไม่ให้ตาจูงมือข้ามถนนก็มี ตาก็จะหน้าเศร้าๆไปนิดหนึ่ง ”

ความรู้สึกที่เรียกว่า ความรัก ความผูกพัน
บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยสมอง อย่างที่หลายคนพยายามจะใช้มัน หากหัวใจยังโยงใยถึงกัน
เป็นมุมคิดอีกข้อ ที่ได้รับ เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชราคนนั้น

แขกผู้ไม่ถูกเชิญ ยังไม่หมดเรื่องเล่าแต่เพียงเท่านั้น
ด้วยเพราะอาศัยอยู่ที่นั่นมานมนาน รายละเอียดบางอย่างจึงมากกว่าใคร
“ พูดถึงเรื่องข้ามถนน คุณรู้ไหมว่า นางชื่นเมียเจ้าชวน แม่ของหนูชวนชื่น ก็ถูกรถกระบะชนตายที่ทางม้าลายนี้แหละ แต่ก็นานหลายปีมาแล้วนะ เขาเล่ากันว่าเจ้าของรถคันนั้นมาสารภาพว่าพยายามจะเบรกแล้ว แต่เบรกแตก หยุดไม่อยู่จริงๆ ก็เลยชนเข้าอย่างจัง จนนางชื่นตายคาที่เลยนะ ใครๆต่างก็ลงความเห็นว่าคงเป็นคราวเคราะห์ ปกตินางชื่นก็ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหนมาไหน เพราะอับอายที่พ่อส่งเงินให้มาเรียนหนังสืออยู่กับญาติห่างๆที่กรุงเทพ แต่กลับริรักก่อนวัย จนท้องโย้ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือไม่จบ แล้วยังหนีตามเจ้าชวนมาอีก พอสำนึกผิดคิดได้ขึ้นมา ก็เลยเขียนจดหมายไปขอขมาพ่อ แต่รอแล้วรอเล่า พ่อก็ไม่มาหา พวกเราก็เลยไม่มีใครเคยเห็นหน้าพ่อของนางชื่นสักคน นางชื่นเองก็เอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวเลี้ยงลูกอยู่แต่ในบ้าน แต่วันนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้ออกจากบ้านมาได้ ส่วนเจ้าชวนก็ทำใจไม่ได้ ที่เมียจากไปกะทันหัน ไม่อยากทนอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆที่นี่อีก ก็เลยสมัครไปทำงานที่ไต้หวัน ทิ้งลูกสาวไว้ให้ย่าแท้ๆช่วยเลี้ยง นับแต่นั้นมา ป้าก็ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าชวนอีกเลย ”
ข้าพเจ้า ละสายตาจากเจ้าของเรื่องเล่าทั้งสามชั่วขณะ
เหลียวหลังเอี้ยวคอ มองกลับไป ยังจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ชายชรา...ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม

เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชราคนนั้นอีกครั้ง พลันก็ได้มุมคิดว่า ทุกอย่างมีที่มาที่ไป ทุกสิ่งล้วนมีเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้โดยเหตุบังเอิญ ทุกชีวิตยังคงต้องดำเนินไปในกงล้อแห่งกรรม

ข้าพเจ้าไม่อยากทำตัวเป็นจุดสนใจไปมากกว่านั้น
จึงขอตัวเลี่ยงออกมา
เพื่อสลายกลุ่มก้อนการสนทนา ที่ไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้าว่าจะมีมากเกินคาดการณ์
แต่ก่อนที่คิดจะตีจาก
ข้าพเจ้า...ได้สบตากับชายชราจังๆเป็นครั้งแรก
สายตาคู่นั้นไม่ได้น่ากลัว แต่...ก็ยังน่าเกรง
ข้าพเจ้าส่งยิ้มให้อย่างมิตร
แม้จะเป็นยิ้มแห้งๆ แต่...แสงสว่างแห่งการพบกันก็บังเกิดขึ้น
สัญญาณมือที่กวักไหวๆอย่างอ่อนแรง ร่ำร้องเรียก ข้าพเจ้า
เก้าอี้ที่ศาลารอรถเมล์ยามนี้ ยังพอมีที่ว่าง
ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบก้าวเท้าไปยังที่นั่งว่างข้างๆชายชรา
“ อยากรู้รึ ”
ชายชราเอ่ยขึ้นก่อนด้วยคำสั้นๆเพียงสามคำ
ข้าพเจ้าพยักหน้าตอบ
คำพูดมากมายพรั่งพรูออกมา จนนับจำนวนไม่ทัน
“ ทุกวันนี้ไม่มีคืนไหน ที่ตาจะนอนหลับเต็มสองตาเลยรู้ไหม ฝันร้ายกลางดึกมันตามมาหลอกหลอนตาทุกคืน ตาทำให้เด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งต้องโดนรถชนตาย ทุกครั้งที่ฝัน ตาก็จะมองเห็นตัวเองนั่งอยู่ที่ศาลานี้ แล้วเด็กผู้หญิงวัยรุ่นคนนั้นก็กำลังรีบวิ่งข้ามถนนเพื่อจะมาหาตา แต่จู่ๆก็มีรถกระบะคันหนึ่งขับพุ่งเข้ามาชนอย่างแรง เด็กวัยรุ่นคนนั้นแน่นิ่งและสิ้นใจตายทันที ความฝันของตา วนเวียนวกวนอยู่แบบนี้ทุกวัน ตาจำไม่ได้หรอกนะว่า เด็กวัยรุ่นผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่...ตาแค่รู้สึกได้ว่า...เธอรักตา... แล้วตาก็รักเธอ...แต่ทำไมเธอต้องมาตายเพราะตา ”

น้ำเสียงอันสั่นเครือหยุดชะงักลง
น้ำตาที่ไหลนองอาบสองแก้มเคลื่อนมาแทนกัน
ภาษากายสื่อสารโยงใย
ข้าพเจ้าสัมผัสรับรู้ได้ ถึงความอัดอั้นตันใจที่ถ่ายทอดออกมา
ชายชราใช้คำแทนตัวว่า ตา
แกคงลืมชื่อตัวเอง แล้วใครๆก็คงเรียกแกว่า “ตา”
นี่เองหรือ คือ ความเศร้าของชายชรา
เรื่องราวที่ข้าพเจ้าอยากรู้
หยาดน้ำตาของแกมีที่มาอย่างไร
ได้รู้แล้วในวันนี้
“ เธอหน้าเหมือนเด็กผู้หญิงในรูปนี้ ”
ข้าพเจ้าผงะเล็กน้อย
คุณตาแกโพล่งขึ้นมา
พร้อมกับ ยื่นมือที่ถือ รูปถ่าย รูปเดียว รูปเดิม
ข้าพเจ้าเพิ่งได้รับข้อมูลว่า
ไม่มีใคร เคยได้รับอนุญาตให้ดูของรักของหวงชิ้นนี้ของแกมาก่อน
แต่บัดนี้
มันอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ไม่ต้องแอบก็ได้ดู
ภาพถ่ายใบนั้น คงผ่านปลายฝนต้นหนาวมาหลายฤดู
สีสันซีดเซียวเจือจางไปตามกาลและเวลา
แต่เค้าโครงหน้าที่ปรากฏกลับแจ่มชัดเหลือเกิน
ภาพบุรุษหนุ่มที่โอบเอวเด็กผู้หญิงในรูป
ช่างละม้ายคล้ายคุณตา ยังกับถอดพิมพ์กันมา
ถ้ามีใครพูดขึ้นว่า เป็นรูปคุณตาเมื่อตอนเป็นหนุ่มใหญ่ ก็คงไม่มีใครคัดค้าน
ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น
หากยังไม่ทันได้พูดออกไป คุณตาก็เริ่มเล่าต่อว่า
“ ทุกวันนี้ ตาจึงพยายามดูแลเด็กๆทุกคนที่ต้องข้ามถนนตรงนี้ ตารู้สึกว่าจะต้องไม่ให้ใครมาตายเพราะโดนรถชนอีก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงทุกๆคน ตาอยากจะชดเชยความผิด อยากจะหายจากฝันร้ายซะที แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าตาจะพยายามเท่าไหร่ สมองของตาก็ไม่เคยจำได้สักที ว่าอดีตของตาเป็นมายังไง ทำไมตาถึงต้องมาอาศัยอยู่ที่นี่ ตารู้แต่เพียงว่า...รูปถ่ายใบนี้มันอยู่กับตามาเนิ่นนาน... ”
เสียงออดดังขึ้นอีกครั้ง
สัญญาณแห่งการเลิกเรียน เวียนมาถึงอีกแล้ว
คุณตาต้องเตรียมตัวไปทำภารกิจสำคัญ
ภารกิจ...ที่สักวันอาจจะช่วยให้แกหายจากฝันร้ายเสียที
มีหรือ ที่ข้าพเจ้าจะรั้งแกไว้
เราสองคนจับมืออำลากัน ดั่งมิตรต่างวัย
ข้าพเจ้าสัญญาว่า...
อีกสามวัน จะเดินทางกลับมาหามิตรใหม่ผู้นี้อีกครั้ง

เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชราคนนั้น ในวันที่ก่อเกิดความรู้สึกฉันมิตร มุมคิดที่ได้สะท้อนออกมาว่า มิตรภาพต่างวัยก่อกำเนิดขึ้นได้ในทุกที่ ขอเพียงมีความจริงใจ คอยรับฟังปัญหายามทุกข์ ไม่ทอดทิ้งให้เดียวดาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคำว่า มิตร

สามวันต่อมา...
แสงแดดอ่อนๆยามเย็นยังคงฉายให้เห็น
เม็ดเหงื่อเล็กๆผุดขึ้นตามรูขุมขนของคนที่เรียกตัวเองว่า...ตา
ภาพชายชรา เดินจูงมือเด็กนักเรียนตัวน้อยๆจากฝั่งถนนหน้าโรงเรียน ข้ามไปส่งยังอีกฟาก
เดินเวียนกลับมารับเด็กนักเรียนอีกกลุ่ม ต่อกันไปอีกหลายเที่ยว
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไม่สำคัญเท่าภารกิจ
คุณตา...จะยิ้มยินดีทุกทีที่ได้กระทำ
แต่...ท่าทางที่ดูกระวนกระวายใจกว่าทุกวัน
ทำให้ข้าพเจ้าถึงขั้นขมวดคิ้ว
ไฉนเลย...
คุณตา จึงเหลือบสายตา มองไปมองมา ที่หน้าประตูโรงเรียนบ่อยครั้ง
เด็กผู้หญิงหน้ากลม ผมยาว ตัวขาว ตาตี่คนนั้น
คือ คำตอบที่รอคอย
น่าจะใช่...หนูชวนชื่น ที่คุณป้าแม่ค้าบรรยายไว้ให้ฟัง
ลักษณะตรงตามนั้นทุกประการ
หนูชวนชื่นที่ข้าพเจ้าแลเห็น
มือหนึ่งถือกระเป๋านักเรียน อีกมืออุ้มลูกบอลยางใบโตไว้ที่เอว
กำลังยืนรอข้ามถนนกับกลุ่มเพื่อนเหมือนทุกวัน
ในใจของคุณตานั้น
คงอยากจะรีบจ้ำอ้าวข้ามกลับไปหาในทันที
แต่ติดที่ การจราจรไม่เป็นใจ
รออีกประเดี๋ยว ทั้งคู่ก็จะได้เกาะกุมมือกันอีกครั้งแล้ว
เหตุใด เด็กหญิงชวนชื่นจึงไม่ยอมรอ
เจ้าลูกบอลยางนั่นเอง
มันพลัดหล่นจากมือเด็กหญิง กลิ้งไปที่ริมฟุตบาท ไหลจากทางลาดลงไปที่พื้นถนน
ด้วยความไร้เดียงสา
เด็กหญิงกลัวว่าลูกบอลยางจะได้รับอันตราย
จึงรีบวิ่งไป หมายจะช่วยลูกบอลยาง ให้พ้นการบดขยี้ของยางรถยนต์
เด็กหญิงหารู้ไม่ว่า
ล้อรถกระบะทั้ง ๔ กำลังวิ่งตรงมาบดขยี้ร่างของเธอไปแทน
เสียงเหยียบเบรกดังสนั่นลั่นเอี๊ยด
แต่ใช่ว่าตัวรถจะหยุดลงในทันที แรงขับเคลื่อนไปข้างหน้ายังคงมี
ในห้วงวินาทีแห่งความเป็นและความตาย
ร่างหนึ่งได้พุ่งทะยานออกมา
สองมือนั้นออกแรงทั้งหมดเท่าที่มี ผลักเด็กหญิงให้พ้นออกไปจากที่ตรงนั้น
เสียงกรีดร้องดังก้องทั่วท้องถนน
เด็กหญิงชวนชื่น เซถลาล้มกลิ้ง ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่ริมฟุตบาท
รอดชีวิตเฉียดตายอย่างใจหายใจคว่ำ
ร่องรอยถลอกและบอบช้ำไม่ได้มากมาย
เทียบเท่าจิตใจที่เสียขวัญ
เด็กหญิงปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร
ความกลัวผนวกกับความตกใจสุดขีด
ในสถานการณ์คับขันตรงหน้า
เด็กหญิงชวนชื่น เห็นชัดเต็มสองตาว่า…
ร่างผู้มีพระคุณนั้น
กระแทกเข้ากับตัวรถอย่างจัง ก่อนจะล้มลงจมกองเลือด
ข้าพเจ้าเอง ก็ใจเสียเป็นที่สุด
รีบรุดฝีเท้า ข้ามมายังอีกฝั่งถนนทันที
แม้ยากจะทำใจ
แต่บัดนี้...มิตรใหม่ของข้าพเจ้า ได้หนีจากไปเสียแล้ว
ไม่ได้จากเป็น...แต่จากตาย
ผมสีดอกเลาที่ไม่รกรุงรัง กับ ริ้วรอยร่องย่นบนใบหน้า ของคนในวัยเจียนไม้ใกล้ฝั่ง
ข้าพเจ้ามองหน้านั้น
ผ่านสายตาที่พร่าไปด้วยน้ำตาแห่งความอาลัยรัก
ร่างชรานอนหลับตาพริ้ม
แม้จะมองเห็นสีแดงของเลือดไหลออกมาทางมุมปากทั้งสอง
หากแต่รอยยิ้มบางๆที่ปรากฏ
ก็ชวนให้คิดไปได้ว่า
ในยามนี้...มิตรของข้าพเจ้าคงจะเดินทางไปสู่ที่ที่ชอบแล้ว
จบสิ้นกันเสียที
นับแต่นี้...คุณตาผู้ชรา คงไม่ต้องนอนฝันร้ายอีกต่อไป
ข้าพเจ้าถือวิสาสะ เอามือล้วงไปที่กระเป๋าเสื้อของสหายต่างวัย
หยิบบางอย่างออกมาได้ทันเวลา ก่อนที่หน่วยกู้ภัยจะเดินมาหยุดตรงหน้าพอดิบพอดี
บัดนี้ เมื่อข้าพเจ้า...มองผ่านตา...ชายชรา มิตรใหม่ในร่างที่ไร้วิญญาณ คนนั้น
มุมคิดที่ได้รับก็คือ ความตายอยู่ใกล้เราแค่เอื้อม
ทุกคนสามารถล่วงรู้วันเกิดของตน แต่ทว่า ไม่มีใครล่วงรู้วันตาย

งานศพของชายชราที่ไม่รู้ที่มาที่ไปของตัวเอง
ถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติยศ
ตำแหน่งที่เด็กๆในโรงเรียน แต่งตั้งให้เป็น “ ตา...องครักษ์พิทักษ์เด็ก ”
....ผมรักคุณตา...
...หนูขอให้คุณตาใจดี ไปสวรรค์นะคะ...
...คุณตาหลับให้สบายนะครับ...
...หนูคิดถึงคุณตาค่ะ...

คำไว้อาลัย ด้วยความอาวรณ์
หลายประโยค ที่หลายชีวิต คิดและเขียนออกมา บนกระดานดำหน้าศาลาสวดศพ
บางลายมือ อาจจะเขียนโย้ไปเย้มา
ตัวสะกด อาจไม่ตรงตามหลักภาษาไทย
ถ้าเป็นคะแนนความถูกต้อง คงต้องโดนหักกันบ้าง
แต่...ทุกถ้อยคำบนกระดานดำในวันนั้น
จริงใจ ใสซื่อ สะอาด บริสุทธิ์ เต็มร้อยคะแนน
ชวนชื่น เด็กผู้หญิงหน้ากลมคนเดิม หยุดร้องไห้แล้ว
แต่ยังมีเสียงสะอื้นเล็กๆเล็ดลอดออกมา
สองดวงตายังทิ้งร่องรอยอันบวมเป่ง
ข้างๆกัน น่าจะเป็น...พ่อชวน
ชายหนุ่มยังโชคดี ที่ได้กลับมาเห็นหน้าลูกสาวอีกครั้ง
มีโอกาสนั่งเกาะกุมมือกันและกันอีกคราว
เมื่อสมควรแก่เวลา...
ข้าพเจ้า เดินตรงไปหาสองพ่อลูก
หย่อนก้นลงนั่งข้างๆ และหยิบยื่นบางอย่างส่งให้ไป
พ่อชวน เอื้อมมือมารับไปแบบงงๆ
แต่กลับจ่อมจมอารมณ์อยู่กับสิ่งนั้น
สายตาจับนิ่งอยู่กับที่
เด็กหญิงชวนชื่น ยื่นหน้ามาชะโงกดูตามประสา ด้วยความสงสัย
ไม่มีกิริยาอาการใดๆที่ผิดแปลกออกไป
มีเพียงเสียงเบาๆ ที่พึมพำขึ้นว่า...
“ ทำไมเด็กผู้หญิงในรูป ถึงหน้าตาเหมือนแม่ของหนู ”
ข้าพเจ้ายังคงนั่งนิ่งในความเงียบ เพื่อรอฟังเสียงจากพ่อชวน
“ คุณไปได้รูปถ่ายใบนี้มาจากที่ไหน ”
ข้าพเจ้าคิดไว้ในใจแล้วว่า ต้องตอบคำถามนี้

นี่คือ รูปถ่ายเก่าๆเพียงใบเดียวที่...ตา...ชายชราคนนั้น หยิบขึ้นมา...มองผ่านตา...ทุกวัน
ผ่านมา ผ่านตา ใช่ว่าจะผ่านไป...