Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๑๗๗

ตระกุดดอกนั้น

ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

เลื่อยกำลังจะได้พบกับลุงเหลว—คนที่เขาไม่เคยลืม ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ลุงเหลวเป็นคนที่เขาอยากพบ และไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้พบอีกแล้ว เลื่อยเชื่อว่าลุงเหลวเป็นคนมีวิชาคาถาอาคมที่มีเมตตาใช้วิชาช่วยเหลือคนอื่น

เลื่อยระลึกถึงความที่ผ่านมาสิบกว่าปี……

เลื่อยรู้จักลุงเหลวครั้งแรกตอนเป็นนักเรียนชั้นมัธยม 4 ในงานวัดประจำจังหวัด จริงๆแล้วเขาไม่ได้มีชื่อเล่นว่าเลื่อยหรอก แต่เพราะเป็นคนขี้เกียจเรียนไม่เก่ง เลยถูกเพื่อนๆล้อว่า เจ้าหัวขี้เลื่อย ล้อไปล้อมา เลยเป็นฉายาว่า ไอ้ขี้เลื่อย และกร่อนลงมาเป็นเลื่อยในที่สุด

ในช่วงม.ต้น เลื่อยเรียนอ่อนขนาดที่อาจจะไม่ได้เรียนต่อ ม.4 โรงเรียนประจำจังหวัดด้วยซ้ำ แต่ก็รอดได้เรียนต่อเพราะมีความสามารถในการเตะบอลอยู่ระดับกลางๆ แต่พวกที่เตะบอลเก่งๆ ดันถูกโรงเรียนในเมืองหลวงดึงตัวให้ทุนไปเรียน นักบอลฝีเท้ารองๆแบบเขาเลยยังได้ที่นั่งว่าง ในฐานะนักกีฬาโรงเรียน แต่ก็ได้อยู่ห้องท้ายสุด

ส่วนลุงเหลวเป็นอาจารย์เครื่องรางของขลังตามงานวัดที่มีการแสดงคล้ายมายากล เรียกศรัทธาเชิญวิญญาณผีมาประทับร่างทรงที่ถูกปิดตามัดอยู่กับเสา ซึ่งลุงเหลวจะถามเรื่องราวต่างๆ แล้วผีสามารถตอบได้ถูก จากนั้นก็ให้เช่าบูชาวัตถุมงคลต่างๆ แม้หลายคนจะบอกว่าเป็นของที่มีการตระเตรียม แต่เลื่อยเชื่อว่าลุงเหลวมีวิชาอาคมจริงๆ

เลื่อยจำรายละเอียดไม่ได้มากหรอกว่าการแสดงมันมีอะไรบ้าง เพราะมันนานมาแล้ว แต่ที่ประทับใจคือตะกรุด “สุดยอดปัญญานักปราชญ์อวิชชาวินาศบรรลัยสลายสูญ” ที่ลุงอ้างว่าสามเณรรูปหนึ่งที่มีตะกรุดดอกนี้สอบเปรียญเก้าได้ตั้งแต่เป็นเณร และคนที่สอบชิงทุนสำคัญๆ ได้คนหนึ่ง ก็มีตะกรุดดอกนี้ไว้บูชาติดตัว

จำได้ว่า เนื่องจากเลื่อยไม่มีเงินบูชาตะกรุดที่ตั้งราคาสูงถึงห้าร้อยเก้าสิบเก้าบาท ในสมัยที่ได้เงินไปเรียนแค่วันละยี่สิบบาท ครั้นจะไปขอแม่ก็กลัวแม่ดุ จึงต้องหางานทำด้วยการไปล้างชามก๋วยเตี๋ยวในงานวัดนั้นอยู่หลายวัน

ในที่สุดเลื่อยก็ได้เช่าตะกรุดชื่อยาวๆดอกนั้นมา ในคืนสุดท้ายที่ลุงเหลวมาแสดงในงานวัด

ลุงกำลังเก็บเครื่องเสียงอยู่เพราะงานเลิกแล้ว เลื่อยเข้าไปบอกว่าต้องการเช่าตะกรุด

ลุงเหลวใจดีนำตะกรุดจากย่ามมาจบขึ้นที่หน้าผากแล้วบริกรรมคาถา สั่งหนักหนาว่า ห้ามแกะห้ามเปิดดูเป็นอันขาด พร้อมให้ใบคาถาสวดกำกับ แบงค์ย่อยที่ถูกมัดยางเป็นปึกรวมเป็นเงินหกร้อยบาทซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงจากการล้างชามมาหลายวัน ถูกส่งไปให้ลุงเหลว ลุงเหลวยื่นตะกรุดและเงินทอนมาให้หนึ่งบาท ทันใดนั้นก็มีเหตุอัศจรรย์ หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ไฟดับทั้งงานวัด!

นั่นเป็นครั้งแรกที่เลื่อยได้เห็นว่าตะกรุดดอกนี้แรงจริงของจริง และเป็นโชคดีของเขาที่ได้ครอบครอง เขาเกิดความฮึกเหิมขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตะกรุดที่เลื่อยเช่าบูชามาจากลุงเหลวในวันนั้น เปลี่ยนชีวิตเขาไปมาก

เขารู้ดีว่าหลังจากได้ตะกรุดดอกนี้มาติดตัว เขามีความมั่นใจมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สมาธิดีขึ้น อ่านหนังสือได้มากขึ้นยาวนานขึ้น โจทย์เลขที่เคยคิดไม่ออก คิดไม่ได้ ก็คิดออกได้อย่างน่าอัศจรรย์

ก้าวแรกที่เปลี่ยนแปลงคือการสอบเก็บคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ ไม่มีใครคิดว่าเด็กจากห้องท้ายๆอย่างเลื่อยจะทำมันได้สิบห้าคะแนนเต็ม และชนะแม้แต่ที่หนึ่งของโรงเรียนที่ได้เพียงแค่สิบสี่คะแนนเท่านั้น

การเก่งขึ้นมาของเด็กนักเรียนหัวขี้เลื่อยโควต้านักบอลจากห้องบ๊วย จนสามารถชนะที่หนึ่งของโรงเรียน ซึ่งเรียนเก่งถึงขั้นสอบติดโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพแต่เตี่ยของเธอไม่ให้ไปเรียน ทำเอาครูไม่เชื่อว่าจะมาจากความสามารถของเลื่อยเอง ถึงขั้นที่ครูขอให้มาแสดงวิธีทำให้ครูดู เพราะครูสงสัยว่าข้อสอบจะรั่ว ผลการสอบครั้งแรกแม้จะผ่านไปอย่างคลางแคลงใจ แต่ครั้งต่อๆมาก็ปรากฎว่าเลื่อยมีพัฒนาการดีขึ้นจริง

การชนะในครั้งนั้นทำให้เขาเชื่อว่า เมื่อได้ครอบครองตะกรุดดอกนี้แล้ว จะไม่มีอะไรที่จะเกินความพยายามของเขา ผลการเรียนของเขาอยู่ในลำดับต้นๆ ของโรงเรียนสม่ำเสมอ แม้ว่าเขาจะยังเป็นนักกีฬาที่อ่านหนังสือน้อยกว่าคนอื่น

ตะกรุดดอกนั้นเป็นของที่เลื่อยพกพาตลอดเวลา นอกจากนั้นเลื่อยยังหมั่นสวดบริกรรมคาถาบูชาก่อนจะอ่านหนังสือทุกครั้ง การเรียนของเขาที่ดีขึ้นจนในที่สุดสามารถสอบทุนโควต้าเรียนฟรีในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมีชื่อได้ และยังเรียนจบมาด้วยผลการเรียนที่ดีจนสามารถได้งานในตำแหน่งวิศวกรประจำโรงงาน

----------------------

เขากำลังจะได้พบลุงเหลวสุดยอดอาจารย์วิชาตะกรุด มันบังเอิญจริงๆที่เขาดันไปติดต่องานที่ฝ่ายบุคคลเมื่อสัปดาห์ก่อน แล้วพบใบสมัครงานของลุงเหลวที่หล่นจากโต๊ะในขณะที่เขาเดินเข้ามาพอดี

เขาแปลกใจ ทำไมลุงเหลวที่มีวิชาอาคมแก่กล้าขนาดปลุกเสกตะกรุด ถึงต้องมาขอสมัครงานในตำแหน่งพนักงานขับรถส่งของ เวลายาวนานสิบกว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน แม้ว่าเลื่อยจะใช้ความพยายามสืบเสาะตามหา แต่เมื่อจะเจอกัน ลุงเหลวก็มาให้เจอโดยบังเอิญโดยไม่ต้องไปหา เพราะลุงเหลวมาสมัครงานถึงโรงงานที่เขาทำงานอยู่

เลื่อยมารอดักพบลุงเหลวในตอนเย็น บ่ายวันนั้นเขาขอใบสมัครงานจากฝ่ายบุคคลมาอ่านอย่างละเอียด โดยบอกว่าคนนี้เขารู้จัก ทำให้เกิดความประหลาดใจเพราะลุงเหลวเคยมีประวัติต้องโทษในเรือนจำในคดีฉ้อโกง

ลุงเหลวจำเลื่อยไม่ได้ ในขณะที่เลื่อยจำลุงเหลวได้ไม่เคยลืม ลุงคิดว่ามีการสัมภาษณ์เพิ่มเติม จึงยอมพูดคุยที่ม้านั่งหน้าโรงงานอย่างสุภาพ

เลื่อยถามไปว่า “ติดคุกมาคดีอะไรครับ” ลุงก็เล่าให้ฟังว่า “ติกคุกในคดีหลวงลวงคนอื่นด้วยการเล่นกล ส่งสัญญาณลับรหัสคำพูดที่นัดแนะกันมา ให้คนที่ถูกผูกตาทายเลข แล้วขายเครื่องรางของขลัง หนักๆเข้าก็ไปล่อลวงคนที่เชื่อในรูปแบบแก๊งค์ตกทองจนถูกจับ ศาลท่านเมตตาให้รอลงอาญา แต่ช่วงรอลงอาญาก็ไม่เข็ดทำผิดอีกศาลจึงสั่งขัง แต่ผมรับรองว่าเลิกแล้วครับ ให้ผมทำงานที่นี่เถอะคุณ” ลุงเหลวยังไม่มีท่าทีที่จะจำเลื่อยได้

เลื่อยอึ้งไปพลางส่งตะกรุด “สุดยอดปัญญานักปราชญ์อวิชชาวินาศบรรลัยสลายสูญ” ให้ลุงเหลวดู แล้วบอกลุงว่า “ผมนึกออกเพราะผมก็บูชาตะกรุดลุงไปดอกหนึ่ง” ลุงเหลวนิ่งอึ้ง ก้มหน้าเงียบอย่างละอาย

กลับไปถึงที่พัก เลื่อยตัดสินใจแกะตะกรุดที่เขานับถือมานานดู พบว่าข้างในเป็นแค่แผ่นโลหะจากหลอดยาอลูมิเนียมที่ถูกตัดแล้ว คลี่แล้วเอาแผ่นโลหะมาม้วนก่อนที่จะถักด้วยด้วยเชือกดิบชุบสี ในแผ่นโลหะไม่มีอักขระเลขยันต์ใดๆทั้งสิ้น

นี่หรือคือสิ่งที่เขานับถือมานานกว่าสิบปี

แล้วเขาก็นึกถึงคำสอนในพระธรรมเทศนาที่เขาได้ฟังมาเมื่อไม่นานนี้ เขาจำถ้อยคำได้ไม่หมด ข้อความมีประมาณว่า “ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจคิดว่าสำเร็จแล้วจะทำอะไรก็สำเร็จ จะไม่มีอะไรที่อยู่เหนือกว่าความตั้งใจจริง” คงเป็นแรงใจจากความมั่นใจของเขาเอง ไม่ใช่แรงปาฏิหาริย์เหนือธรรมชาติจากตระกรุดที่เขาหลงเชื่อมานานดอกนี้