Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๑๗๔

คนแบกส้วม

พลอยใจใส

นายบุญหาย และคงจะบุญหายสมชื่อ เพราะเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่นำมาทิ้งไว้หน้าวัดซึ่งหลวงตาผู้มีพระคุณเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ มาบัดนี้นายบุญหายอายุก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว และดำรงตำแหน่งเป็นเด็กวัดอาวุโส เพราะอายุมากที่สุดในบรรดาเด็กวัดทุกคน

บุญหายมีหน้าที่ติดตามหลวงตาและพระในวัดออกไปบิณฑบาตในตอนเช้า หลังจากกลับวัดแล้วบุญหายก็มีหน้าที่จัดอาหาร ล้างปิ่นโต และทำความสะอาดกุฏิให้กับพระในวัด งานพวกนี้ไม่ได้หนักหนาอะไรเลยสำหรับบุญหาย เพราะว่ามีลูกมือก็คือเด็กวัดคนอื่นๆคอยช่วยเหลือ แต่มีหน้าที่หนึ่งซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบุญหายและหลวงตาไม่อนุญาตให้เด็กวัดคนอื่นๆช่วยทำ นั่นก็คืองานล้างห้องน้ำหรือล้างส้วมนั่นเอง หลังจากพระฉันเพลเสร็จแล้ว บุญหายก็มีหน้าที่ที่ต้องล้างห้องน้ำ ซึ่งวันๆหนึ่งเขาต้องล้างห้องน้ำมากกว่าสามสิบห้อง หากวันไหนมีงานบุญหรือเป็นวันพระบุญหายก็ต้องขลุกอยู่ในห้องน้ำเกือบทั้งวัน เพราะคนที่มาทำบุญจำนวนมากเหล่านั้น บ้างก็ไม่ช่วยกันรักษาความสะอาด ทำให้ห้องน้ำสกปรกและก็พลอยทำให้งานของบุญหายเพิ่มมากขึ้นไปด้วย

บุญหายเคยต่อรองกับหลวงตาหลายครั้งแล้วและขอให้หลวงตาอนุญาตให้เด็กวัดคนอื่นๆผลัดเปลี่ยนเวรกันมาล้างห้องน้ำบ้าง แต่หลวงตาก็ได้ให้คำตอบแก่เขาง่ายๆสั้นๆว่า

"ล้างไปเถอะบุญหายเอ๋ย จะได้ฝึกตน"

มาจนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าคำพูดเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร บุญหายล้างห้องน้ำไปแต่ในใจเดือดปานภูเขาไฟจะระเบิด

"หลวงตานะหลวงตา ให้ล้างห้องน้ำตั้งแต่เด็กจนจะแก่อยู่แล้ว ให้ฝึกล้างห้องน้ำจวนจะได้เป็นด็อกเตอร์ห้องน้ำแล้วนะหลวงตา ไม่รู้จะให้ฝึกล้างห้องน้ำไปทำไม เอาไปทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ เหนื่อยๆๆๆ" และสารพัดคำบ่นที่บุญหายจะสรรหามาไม่ซ้ำกันแต่ละวัน

วันนี้ก็เป็นเหมือนทุกวัน บุญหายบ่นพลางขัดห้องน้ำไปพลางถือเป็นเรื่องธรรมดาในเมื่อระบายกับใครไม่ได้ก็คงต้องพึ่งโถส้วมเป็นทางออก

"ขอลาออก อย่างนี้ต้องลาออก จะขอลาออก ประท้วงหลวงตานะ โอ้ยๆๆ ทำไมวันนี้คนมาวัดเยอะจังเลยจะมากันทำไมกันนักกันหนา"

พลันหางตาก็เหลือบไปเห็นชายจีวรปลิวไหวๆอยู่หน้าห้องน้ำ เขามองตามชายจีวรนั้นขึ้นไปก็เห็นหลวงตากำลังยิ้มและมองมาอย่างมีเมตตา บุญหายยิ้มจนฟันสีเหลืองๆแทบจะหลุดออกมาจากปากพลางยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว

"หลวงตามีอะไรให้บุญหายรับใช้หรือเปล่าขอรับ"
"ไม่มีอะไรมากมายหรอก ประเดี๋ยวหลวงตาจะไปเทศน์ให้ญาติโยมเขาฟังบนศาลา ช่วยไปล้างห้องน้ำข้างล่างศาลาให้หน่อยนะ วันนี้วันพระใหญ่คนมากันเยอะเชียว"
"ขอรับหลวงตา" บุญหายหน้าหงิกกว่าเดิมหลังจากหลวงตาเดินจากไป

หลวงตาเริ่มเทศน์ไปได้สักพักแล้ว บุญหายก็ขนอุปกรณ์คู่ชีพในการล้างห้องน้ำมาประจำการ ที่จริงแล้วบุญหายรู้สึกว่าหลวงตาก็เทศน์เหมือนกันทุกครั้ง นั่นก็คือเรื่องบาป กรรม การทำดีละชั่ว ซึ่งบุญหายก็คิดว่าเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งซึ่งไม่เคยลักขโมยของใครและไม่เคยทำผิดศีลข้อไหน แต่ทำไมชีวิตของเขาถึงไม่มีความสุขเสียที และเหมือนจะทุกข์กว่าใครด้วยซ้ำที่ต้องทำงานอยู่กับห้องน้ำและความสกปรก เมื่อไหร่หนอเขาจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์นี้เสียที บุญหายขัดห้องน้ำไปพลาง วันนี้เสียงเทศน์ของหลวงตาไม่ได้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนดังเช่นทุกวัน หากแต่ดิ่งลึกเข้าไปสู่ก้นบึ้งในความคิดของบุญหายที่หลับใหลมานาน

"การดำรงชีวิตของคนเราในยุคสมัยนี้ บางครั้งเราก็มองหาเพียงแค่จุดหมายปลายทางของชีวิต บางคนอยากมีบ้าน มีทรัพย์สินเงินทอง มีลูกหลานไว้ห้อมล้อมตอนแก่ หากคิดอย่างนั้นตามวิสัยปุถุชนก็ไม่ผิดหรอก แต่มีใครเคยคิดบ้างไหมว่าเราจะมีโอกาสไปถึงวันนั้นได้ซักกี่คน บางคนยอมที่จะผิดศีล ยอมที่จะเหยียบย่ำเอารัดเอาเปรียบคนอื่นเพียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ เพียงแค่คิดว่าตนเองจะได้สบายในบั้นปลายของชีวิต แต่จะมีใครรู้บ้างว่าเราจะต้องชดใช้กับวิบากกรรมที่เราก่อขึ้นมาสาหัสสักเพียงไหน หากเราไปถึงสิ่งที่เราฝันไว้จริงๆ แต่เรากลับยืนอยู่บนความเกลียดชังของคนอื่นเราจะมีความสุขอย่างแท้จริงได้อย่างไร อาตมาอยากให้โยมทุกคนมีสติอยู่กับการทำงานและการดำรงชีวิตอยู่ทุกขณะ เพราะมันจะทำให้เราไม่เดินหลงทาง ทำให้เราดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีและความดีนี้จะเป็นเกราะคุ้มกันภัยอันประเสริฐให้แก่เรา คนเราเกิดมาทุกคนล้วนแต่มีหน้าที่เป็นของตนเอง อย่ามองเพียงแค่ผลลัพธ์ที่เราจะได้รับจากหน้าที่เหล่านั้น แต่จงมองหาความสุขหรือสิ่งที่เราจะได้รับระหว่างการทำงานหรือการทำหน้าที่นั้นๆ งานสุจริตทุกงานเป็นงานที่มีเกียรติ ไม่ว่าจะเป็น หมอ ครู พยาบาล คนกวาดขยะ หรือคนล้างส้วม ขอแค่เรามีศีล มีสติประกอบอยู่กับการทำงานเหล่านั้น ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็สามารถเข้าถึงธรรมและบรรลุธรรมได้เหมือนๆกัน "

หลังจากหลวงตาเทศน์เสร็จ ผู้มาทำบุญก็พากันทยอยลงมาจากศาลา บ้างก็เดินทางกลับบ้าน บ้างก็แวะมาทำธุระส่วนตัว หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นชายหนุ่มวัยกลางคนที่อยู่ในห้องน้ำกำลังร้องไห้เพราะปีติกับคำสอนเหล่านั้นอยู่

คำสอนของหลวงตาอาจฟังดูเหมือนคำสอนที่เทศนาอยู่ทั่วไป แต่บุญหายได้ฉุกคิดจากคำสอนนี้ว่าสิ่งที่เขากำลังทุกข์อยู่นี้เกิดจากตัวของบุญหายหลงผิดคิดว่าการล้างส้วมว่าเป็นงานที่สกปรกเป็นงานต้อยต่ำและไม่มีเกียรติ เพราะบุญหายมัวแต่มองหาผลตอบแทนที่ตนเองจะได้รับ แต่แท้ที่จริงแล้วหากบุญหายลองมองให้ลึกซึ้งจะเห็นว่างานที่เขาทำนั้นเป็นงานที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างมาก เพียงแค่บุญหายมีสติอยู่ทุกขณะในการทำงานบุญหายก็จะสามารถหาความสุขได้ระหว่างการทำงานซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และผลตอบแทนที่บุญหายได้รับนั้นก็คือความสุขใจซึ่งมีค่าสูงส่ง เทียบไม่ได้เลยกับทรัพย์สมบัตินอกกายที่คนในปัจจุบันนี้ส่วนมากให้ความสำคัญเสียยิ่งกว่าจิตใจ

"ขอบพระคุณมากขอรับหลวงตาที่ชี้ทางสว่างให้กับผม"

บุญหายยกมือขึ้นท่วมหัว ด้วยความซาบซึ้งในพระคุณของหลวงตา และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงเมตตาสั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลายให้หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์อย่างแท้จริง บัดนี้บุญหายได้ตระหนักแล้วว่าความสุขที่เขาโหยหามาทั้งชีวิตนั้นอยู่ที่ไหน

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาหากใครเดินผ่านห้องน้ำก็จะได้ยินเสียงฮัมเพลงของบุญหายอย่างมีความสุข ไม่มีบุญหายที่หน้าหงิกเป็นม้าหมากรุกอีกต่อไป มีแต่บุญหายคนใหม่ที่เข้าใจธรรมะและชีวิตมากขึ้น