Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๑๕๒

story-152กับดักสังคม....

ตอนที่ 1

พลอยใจใส

มณฑกานต์กำลังยืนอยู่หน้าตึกเก่าคร่ำครึที่ตั้งอยู่ในซอยย่านธุรกิจชื่อดัง ถึงแม้จะอยู่ในช่วงกลางวันแสกๆแต่บรรยากาศกลับดูวังเวงและน่ากลัว ขาของเธอดูเหมือนจะหมดแรงไปดื้อๆเสียอย่างนั้น "ทำไมฉันต้องมาที่นี่ด้วย?" คำถามนี้ผุดขึ้นในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 4-5 เดือนก่อน เธอรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งผ่านทางโลกสังคมออนไลน์ ความเหงา ความอ้างว้าง อีกทั้งแม่ของเธอก็ทำแต่งาน งานและเงินเท่านั้นที่คนสมัยนี้ให้ความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด เงินที่ซื้อทุกอย่างได้ยกเว้นความรักและความอบอุ่นในครอบครัว ทำให้มนพยายามไขว่คว้าหาความรักจากคนรอบข้างไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่รู้จักกันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตาม

มนใช้เวลาเกือบทั้งวันในการสนทนาผ่านจอคอมพิวเตอร์กับ “ซี” เพื่อนชายหน้าตาดีที่รู้จักกันได้ไม่นาน สำหรับมนซีเป็นคนปากหวาน น่ารัก ข้อความสนทนาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของเขา ทำให้มนหวั่นไหวตามประสาเด็กที่ผ่านโลกมาน้อย และเผลอคิดไปว่าเธอคงจะได้เจอกับรักแท้จริงๆเสียที จนกระทั่งถึงวันที่มนนัดพบกับซี เพื่อนๆของมนต่างคัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะต่างก็รู้จักกันผ่านทางสังคมออนไลน์เท่านั้นไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าเขาเป็นคนดีหรือเปล่า อีกทั้งข่าวที่เด็กสาวมักถูกหลอกก็มีให้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ได้ขาด

“ไม่หรอกน่ามันก็แค่ข่าว ฉันคงไม่โชคร้ายขนาดนั้น” มนปลอบใจตัวเอง เมื่อเธอได้พบกับซีเธอมั่นใจว่าซีไม่ได้โกหกเธอ เพราะรูปถ่ายที่ซีใช้แสดงตนในคอมพิวเตอร์ก็เป็นรูปของเขาเองเขาจะโกหกเธอได้อย่างไร อีกทั้งซีก็เป็นคนหน้าตาดี แสดงออกต่อเธออย่างสุภาพ เอาอกเอาใจเธอทุกอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เธอไม่เคยได้รับจากแม่ของเธอเลยตั้งแต่พ่อกับแม่แยกทางกัน มันทำให้มนคิดไปว่านี่แหละคือสิ่งที่เธอตามหามาทั้งชีวิต มนเริ่มหนีเรียนและนัดพบกับซีบ่อยขึ้นโดยไม่สนใจว่าแม่ของเธอจะรู้หรือไม่เพราะเธอคิดไปว่าแม่ของเธอไม่เคยสนใจเธอเลย

“มณฑกานต์เดี๋ยวตามครูไปที่ห้องด้วยนะ” อาจารย์วิไลไม่ใช่แค่ครูที่ปรึกษาเท่านั้น แต่ให้ความเป็นกันเองซึ่งก็ทำให้มนเกรงใจเธออยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“เป็นอะไรหรือเปล่า ครูไม่เห็นมาเรียนหลายวันแล้ว” มณฑกานต์ยังคงก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตา

“แม่เธอเขาต้องทำงานคนเดียวต้องดูแลทั้งครอบครัวเลยไม่ค่อยมีเวลาให้ ถ้ามีปัญหาอะไรบอกครูได้นะ เราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ครูยินดีช่วยเหลือเธอเต็มที่"

วิไลเข้าใจถึงความรู้สึกของเด็กที่อยู่ตรงหน้าดี มณฑกานต์ไม่ใช่เด็กสาวเพียงคนเดียวที่มีปัญหาเช่นนี้ แต่ยังมีเด็กอีกหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาครอบครัวแตกแยกในยุคปัจจุบัน เด็กสาวตรงหน้าขาดความรักความอบอุ่นที่ควรจะได้รับจากครอบครัว พ่อกับแม่ของเธอแยกทางกัน แม่ของเธอต้องทำงานหนักเพื่อรับผิดชอบภาระในครอบครัวทั้งหมด รวมถึงลูกสาวคนเดียวนี้ด้วย เงินอาจซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่เธอต้องการได้ แต่ซื้อความรักความอบอุ่นที่ลูกโหยหาไม่ได้ ทำให้เกิดช่องว่างภายในครอบครัว

ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของเด็กสาว บางทีความเงียบอาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของปัญหาเท่านั้น......

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอที่ก้าวล้ำไปมากกว่าคำว่าแฟน สิ่งที่เธอให้เขาเธอคิดว่าจะสามารถผูกมัดจิตใจของเขาไว้กับเธอได้ แต่กลับตรงกันข้ามสิ่งที่เธอทำนั้นกลับทำให้จิตใจของเธอกระวนกระวาย เพราะเมื่อมอบสิ่งที่สำคัญที่สุดให้เขาไปแล้วเธอก็กลัวที่จะสูญเสียเขาไป ผลการเรียนของเธอเริ่มตกต่ำ เพื่อนๆเริ่มตีตัวออกห่าง ซ้ำผู้ชายที่เธอหวังจะฝากชีวิตและจิตใจไว้ด้วยนั้นเริ่มหายหน้าไป มนเฝ้ามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันหวังเพียงแค่ได้พูดคุยกับเขาเหมือนเดิม แต่เปล่าประโยชน์ซีหายตัวไปจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนหายตัวไปจากโลกของมนด้วยเช่นกัน เพราะมนไม่สามารถติดต่อเขาได้นอกจากผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น เหมือนเคราะห์ซ้ำหรือกรรมซัด ประจำเดือนของเธอขาดหายไป 2 เดือน เธอรู้สึกมืดมนไปเสียทุกทาง จนเธอได้รับคำแนะนำจากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งแนะนำสถานที่นี้ให้กับเธอ

story-152

"มณฑกานต์" เสียงนั้น กระชากเธอให้กลับเข้าสู่ปัจจุบัน เธอไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าเข้ามาอยู่ข้างในนี้ได้อย่างไร แต่ที่รู้ๆข้างหน้าเธอมีผู้หญิงตัวใหญ่ท้วมดำใส่ชุดพยาบาลสีมอ จ้องเธออยู่ราวกับจะฉีกเนื้อเธอออกเป็นชิ้นๆ

"เรียกตั้งนานมัวทำอะไรอยู่ ถึงคิวเธอแล้วนะจะทำมั้ยถ้าไม่ทำก็กลับไปยังมีคนรอคิวอีกเยอะ เสียเวลาจริงๆ" มนหันมองไปรอบตัว ใช่สิไม่ได้มีแต่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น ในห้องนี้ยังมีผู้หญิงรอคิวอยู่อีกเป็นจำนวนมาก บ้างก็ใส่ชุดนักเรียนบ้างก็ใส่ชุดนักศึกษา ส่วนใหญ่จะอายุน้อย บ้างก็มาคนเดียว บ้างก็มากับแฟน แต่ที่เหมือนกันก็คือทุกคนล้วนแล้วแต่มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น

แต่ละย่างก้าวช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ทางเดินที่ผ่านเข้าไปยังห้องนั้นเธอได้กลิ่นคาวเลือดและเสียงผู้หญิงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา เธอกลัวสุดขีดหัวใจแต่ก็พยายามฝืนก้าวเดินต่อไปจนถึงจุดหมาย ภายในห้องมีผู้หญิงร่างใหญ่หน้าตาถมึงทึง เบื้องหน้าเป็นเตียงคนไข้หรือที่เรียกว่า"ขาหยั่ง" ดูเก่าคร่ำครึซึ่งคงผ่านการใช้งานมายาวนานหลายปีแล้ว หลังจากเปลี่ยนชุดแล้วคนที่เรียกว่าหมอก็สั่งให้เธอไปนอนบนเตียงคนไข้ ขาของเธอเหมือนไร้เรี่ยวแรง ความคิดสับสนไปหมดไม่รู้สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้เรียกว่า"ผิดหรือถูก" “จำเป็นหรือเลือกได้”

"ทุกคนอยู่ในความสงบนะครับ นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจเราขอทำการตรวจค้นครับ" เสียงดังมาจากด้านนอก พร้อมกับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังระงมไปทั่ว มณฑกานต์เข่าอ่อนลงตรงนั้น เธอถูกควบคุมตัวมาที่สถานีตำรวจพร้อมกับหญิงสาวอีกหลายสิบคน

 

ตอนที่ 2

กานดากำลังง่วนกับการเคลียร์งานในวันสิ้นปี เธอเป็นนักสถิติ และกำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการทำแท้งของวัยรุ่น ช่างเป็นตัวเลขที่น่าใจหาย เพราะจากสถิติในปี 2553 วัยรุ่นทำแท้งเฉลี่ยวันละ 1,000 คน เฉลี่ยประมาณปีละ 300,000 คน และยังมีสถิติเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ยังไม่นับรวมปัญหาที่ตามมาอย่างเช่น โรคเอดส์ ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และปัญหาสังคมอย่างอื่นอีกด้วย น่าหดหู่เสียจริง เธอไม่อยากให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนรอบข้างหรือคนในครอบครัวของเธอเลย

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาขัดจังหวะ กานดามองดูสายเรียกเข้าอย่างขุ่นเคือง

“สวัสดีค่ะ คุณกานดาใช่ไหมคะ ดิฉันวิไลเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของมณฑกานต์ค่ะ ดิฉันมีเรื่องด่วนอยากพบคุณเดี๋ยวนี้ค่ะ”

หลังจากนัดแนะกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วิไลจะเป็นฝ่ายมารับกานดาที่ทำงาน กานดาเก็บความสงสัยเอาไว้แน่นอก ลูกสาวของเธอก่อเรื่องอะไรให้ปวดหัวอีกหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องสั่งสอนกันเสียชุดใหญ่แล้ว

“เชิญขึ้นรถก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันในรถ”

กานดายอมขึ้นรถอย่างว่าง่าย หากแต่ใบหน้าไม่สามารถปกปิดความสงสัยที่อยู่ในใจได้

“เราจะไปไหนกันคะอาจารย์ แล้วมันเรื่องอะไรกันทำไมต้องรีบขนาดนี้” วิไลมองหน้าหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเธออย่างชั่งใจ

“เรากำลังจะไปสถานีตำรวจค่ะ ดิฉันเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากตำรวจแจ้งว่าตอนนี้มณฑกานต์อยู่ที่โรงพัก เอ่อ.....ตำรวจพบเธอที่คลินิคทำแท้งเถื่อน”

กานดารู้สึกใบหน้าชาดิก แขนขาไร้เรี่ยวแรง หูอื้อไปเสียดื้อๆอย่างนั้น หลังจากรวบรวมสติอยู่พักใหญ่ ความโกรธก็เข้ามาแทนที่

“ทำไมทำตัวเหลวแหลกแบบนี้นะ มันจะรู้บ้างมั้ยว่าชั้นต้องทำงานเหนื่อยแค่ไหนเพื่อให้มันได้เรียนหนังสือ อย่างนี้มันต้องตีให้ตาย”

“คุณคิดจะแก้ปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรงกับเด็กเหรอคะ” วิไลขัดขึ้นทันที

“คุณครูมีลูกสาวอย่างฉันมั้ยล่ะคะ แล้วคุณจะรู้ว่ามันน่าอับอายแค่ไหนที่ลูกทำตัวเกเรแล้วก็ไม่ได้อย่างใจแบบนี้”

“ดิฉันมีทั้งลูกสาวและลูกชายค่ะ เด็กนักเรียนของดิฉันทุกคนก็เปรียบเสมือนลูก อันที่จริงคุณจะไปตามแก้ที่ปลายเหตุไม่ได้ คุณต้องดูที่ต้นเหตุว่าสาเหตุมันมาจากอะไร ทำไมเด็กถึงทำตัวแบบนี้ เพราะปัญหาของเด็กหรือปัญหาของสังคมล้วนแต่มีสาเหตุมาจากปัญหาภายในครอบครัวทั้งนั้น หากครอบครัวดีก็เปรียบเสมือนแหล่งผลิตเยาวชนและประชากรที่ดีและมีคุณภาพด้วย จะโทษแต่ตัวเด็กอย่างเดียวก็ไม่ถูกต้องนะคะ”

“แต่ฉันก็ทำงานหาเงินเพื่อลูกนะ ถ้าไม่มีเงินแล้วฉันจะเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาได้อย่างไร” กานดายังอดเถียงไม่ได้

“คุณเคยถามลูกมั้ยว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร เงินทอง ของเล่น คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีตามสมัย หรือเป็นอ้อมกอดของแม่ ความรักความห่วงใย เวลาที่เรามีให้กันของคนในครอบครัว คุณคิดว่าอย่างไหนที่จะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาได้อย่างเป็นคนดีและมีคุณภาพมากกว่ากัน คุณจะเข้าข้างตัวเองหรือยอมรับความจริงก็แล้วแต่คุณนะคะ”

เหมือนเข็มทิ่มลงกลางอก ใช่สิ เธอไม่เคยมีเวลาให้กับลูกเลยตั้งแต่แยกทางกับสามี เธอทำงานหนักเพราะรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบทุกอย่างภายในครอบครัว แทบทุกวันที่เธอกลับบ้านดึกและไม่มีเวลาคุยกับลูก เวลาปิดเทอมที่ลูกร่ำร้องอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแม่บ้าง แต่เธอก็ไม่เคยมีเวลาให้ ออกจะหงุดหงิดเสียด้วยซ้ำที่ลูกเรียกร้องความสนใจจากเธอ เธอส่งเสียให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนชื่อดัง สิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยที่เธอประเคนให้ลูก เธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เธอคิดว่าสิ่งที่คนอื่นมีลูกเธอก็ต้องมีด้วยเช่นกัน แต่เธอลืมคิดไปว่าสิ่งที่คนอื่นมีแต่ลูกของเธอขาดนั่นก็คือ”ความรักความเอาใจใส่ของคนในครอบครัว”

"มณฑกานต์ ผู้ปกครองมารับแล้ว" เธอไม่กล้าสบตาผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าของเธอแม้แต่น้อย ไม่มีคำพูดคำแก้ตัวใดๆในความผิดครั้งนี้ หากแม่จะตีเธอหรือจะลงโทษเธอรุนแรงแค่ไหนก็คงต้องยอม

"เป็นอย่างไรบ้างลูกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า หิวข้าวมั้ย ขอโทษนะที่แม่มารับลูกช้า" แม่เดินเข้ามาโอบกอดเธอไว้ ลูบหัวเบาๆพลางปลอบว่า "ไม่เป็นไรแล้วนะลูก กลับบ้านเรานะ"

สองแม่ลูกร้องไห้โฮออกมาแบบไม่อายใคร กานดาเข้าใจแล้วว่าความผิดครั้งนี้สาเหตุมาจากเธอเป็นหลัก หากพ่อแม่ทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตนหล่อเลี้ยงลูกด้วยความรักความเข้าใจหล่อหลอมลูกด้วยความถูกต้อง แน่นอนที่ลูกต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ หากแต่พ่อแม่สมัยนี้ส่วนมากมักจะเลี้ยงลูกด้วยเทคโนโลยีที่ไร้จิตใจทำให้เด็กส่วนมากเป็นคนก้าวร้าว และอ่อนไหวไปกับสิ่งต่างๆรอบตัวได้ง่าย พอมีปัญหาก็มักจะคิดเองตัดสินใจเองหรือลอกเลียนตามแบบสื่อต่างๆที่มีให้เกลื่อนกลาดทั่วไปซึ่งเปรียบเสมือนดาบสองคมมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ซึ่งส่วนมากจะชักจูงไปในทางที่ผิดแทบทั้งสิ้น

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นมณฑกานต์ต้องหยุดการเรียนไปชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวกับการเป็นแม่คน แต่อาจารย์วิไลก็แวะมาเยี่ยมเยียนเธอไม่ได้ขาดจนเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่อีกคนของเธอไปด้วย เธอดีใจที่มีครูที่รักและดีต่อนักเรียนเช่นครูวิไลและเธอก็หวังให้ครูทุกคนเป็นเช่นนี้เพราะครูก็เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของเด็กเป็นหางเสือสำคัญที่มีส่วนชี้นำเยาวชนไปในทางที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน

เธอบอกกับตัวเองว่าจะต้องไม่ประมาทและทำผิดซ้ำอีก หน้าที่ของเด็กหรือเยาวชนอย่างเธอก็คือตั้งใจเรียนหนังสือและทำตัวเป็นเด็กดี หลายคนเป็นเหมือนเธอชิงสุกก่อนห่าม ซึ่งสิ่งนั้นเปรียบเสมือนยาพิษเคลือบน้ำผึ้งที่แรกๆถึงแม้จะหอมหวาน แต่ผลที่ตามมานั้นช่างขมขื่นและเจ็บปวดเกินบรรยาย หากมีปัญหาควรจะปรึกษาครอบครัว ผู้ปกครองหรืออาจารย์ เพราะไม่ว่าท่านจะดุด่าเรายังไงก็ด้วยความรักความหวังดีเท่านั้น เธอได้ซาบซึ้งแล้วว่าความรักที่แท้จริงในโลกนี้มีแต่รักของผู้ให้กำเนิด รักที่ไม่หวังอะไรตอบแทน รักด้วยความบริสุทธิ์ใจ แล้วทำไมเธอถึงต้องตามหารักแท้ ในเมื่อมันอยู่กับเธอตั้งแต่เกิดแล้ว เธออาจโชคดีที่มีครอบครัวที่เข้าใจเธอซึ่งแน่นอนทุกคนอาจไม่โชคดีเหมือนเธอ และมีสิ่งหนึ่งที่เธอจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตนั่นก็คือคำสอนของแม่นั่นเอง

"ผู้หญิงทุกคนล้วนเกิดมาด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ที่มีอยู่ในตัวตั้งแต่กำเนิด ในเมื่อเขามาเกิดกับเราเราก็มีหน้าที่ให้กำเนิดเขาเท่านั้น เราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจว่าเขาสมควรที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้หรือไม่ มันไม่ยุติธรรมเลยเพราะเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ใช่ผู้รับบาปที่พ่อแม่ได้กระทำขึ้น มีปัญหาอะไรก็ขอให้ปรึกษาผู้ใหญ่ อย่าคิดเองตัดสินปัญหาเอง ที่สำคัญ"อย่ากลัว"เพราะพ่อกับแม่ทุกคนรักลูก ถึงแม้จะดุด่าตักเตือน แต่ก็ด้วยความรักความห่วงใยที่มีให้ลูกเท่านั้น และไม่ว่าลูกจะทำผิดพลาดยังไงพ่อแม่ก็ให้อภัยลูกได้เสมอ แต่ถ้าพ่อแม่ทำผิดพลาดกับลูกเมื่อไหร่นั่นคือตราบาปที่จะติดตัวและตรึงใจไปตลอดชีวิต”

อันปัญหาสังคมที่โรมเร้า
เพราะรับเอาค่านิยมสังคมใหม่
ต่างลืมเลือนวัฒนธรรมสังคมไทย
หลงรับใช้อำนาจเงินเมินความดี
หากจะแก้ต้องเริ่มที่ตัวแม่พ่อ
ครูช่วยก่อคิดแก้ไขให้ถูกที่
เด็กพากเพียรเล่าเรียนสร้างความดี
สังคมมีความร่วมใจพ้นภัยพาล

พลอยใจใส