Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๑๓๙

ขาใหญ่บนหลังคา

ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

น้ำท่วมคราวนี้หนักหนาสาหัสกว่าที่คิด เฉิ่มขาใหญ่ประจำชุมชนตอนนี้ถึงขั้นที่ต้องอาศัยบนหลังคา ในความมืดมิดเขานั่งย้อนนึกถึงการกระทำของตนเองก่อนที่จะมาถึงวันนี้ พลางคิดว่าเขาน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เขานึกเสียใจ

เขาคิดถึงคันกั้นน้ำ ตอนนั้นน้ำยังมาไม่มาก เขาไม่ได้ไปช่วยอะไรทั้งที่น่าจะพอช่วยได้ แต่กลับนั่งดื่มเบียร์สบายอารมณ์ ดูอาสาสมัครที่มาจากที่อื่นๆ มาช่วยกันกรอกทรายก่อคันกั้นน้ำที่ชุมชนของตน ตอนกลางคืนเฉิ่มยังแอบไปขโมยกระสอบทรายบางส่วนมากั้นน้ำที่บ้านตนเองด้วย เขาคิดว่า ทรายก็แพง กระสอบก็ขาดแคลน ขอสักหน่อยจะเป็นไรไป ไม่ขโมยไปขายด้วยก็ดีแค่ไหนแล้ว จริงๆ ความคิดชั่วๆ ของเขาในตอนนั้นคิดว่า ถ้ามีรถสักคัน อาจจะขนกระสอบทรายขโมยไปขายก็ได้ เพราะมีคนต้องการเยอะแยะ

วันต่อมาอาสาสมัครต้องมาช่วยซ่อมคันกั้นน้ำกันอีกครั้ง จากรอยแหว่งที่เขาขโมยกระสอบทรายออกมา เมื่อกระสอบทรายไม่พอ เขาก็ยังนั่งดูโดยไม่ช่วยอะไร

เฉิ่มเกือบจะได้ใช้กำลังเข้าไปสั่งสอน อาสาสมัครคนหนึ่ง ที่พูดลอยๆ ออกมาว่า เวลานี้แม้แต่เศษสวะในน้ำยังมีประโยชน์เลย ในขณะที่อาสาสมัครคนนั้นใช้ตะแกรงกรงไก่ที่ลอยมากับน้ำ ขวางช่องน้ำไหล แล้วลากผักตบชวาเข้ามาติดที่ตะแกรง เพื่อให้ชะลอน้ำ ซึ่งก็ชะลอน้ำได้ระดับหนึ่งจริงๆ แล้วอาสาสมัครคนนั้นก็พูดต่อว่า แต่คนสวะๆ เนี่ยสิ ร่างกายแข็งแรงแต่ไม่ทำอะไร นอกจากนั่งดู ถ้าอาสาสมัครไม่มากันเพียบขนาดนั้น เฉิ่มคงได้เข้าไปสั่งสอนเจ้าปากกล้าคนนั้น

ถึงตอนนี้เขากลับมาคิดเสียใจว่า ถ้าวันนั้นเขาคิดได้ เขาซึ่งตัวใหญ่แข็งแรง น่าจะไปช่วยเหลืออะไรบ้าง เพราะถ้าเขาช่วยอะไรบ้าง เขาอาจไม่ต้องมานั่งอยู่แบบนี้ แต่เวลามันก็ผ่านไปแล้ว

นึกย้อนกลับไปอีก ไม่เพียงแค่ไม่ช่วยเหลือ เขายังฉวยโอกาส แอบใช้ช่วงชุลมุนให้เป็นประโยชน์ ด้วยการขโมยอาหารที่มีคนใจดีซื้อมาเลี้ยงอาสาสมัคร เหลือไว้แต่ข้าวเปล่าๆ และน้ำจิ้มให้อาสาสมัครกิน ส่วนตัวเขากินไก่ย่างเปล่าๆ เป็นไม้ๆ รวมกันคงเป็นตัวๆ และยังขโมยน้ำขวดเป็นแพคๆ ของอาสาสมัคร มาเป็นของส่วนตัว

เมื่อน้ำมามากขึ้นอีก เฉิ่มซึ่งไปนอนอยู่ที่ศาลารอรถปากซอยเข้าชุมชน เพื่อตกปลาอยู่ใกล้ๆ ถนน ซึ่งเป็นทำเลที่ดีมีคนผ่านไปมาเห็น เขามักได้รับถุงยังชีพจากคนที่ผ่านไปมาเสมอๆ เพราะคิดว่าเฉิ่มหนีน้ำอย่างยากลำบาก มาอาศัยอยู่ที่ศาลารอรถปากซอย

หลายๆ คนไม่ได้รับถุงยังชีพ แต่เขาได้รับมากมายจนเหลือพอที่จะขายได้เงิน ในยามที่ข้าวของก็แพง ในยามนั้นเขาดีใจ คิดว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก โอกาสมาต้องรีบฉกฉวยตักตวง แต่ตอนนี้เขาเสียใจ เขาพบว่า ในตอนนี้ของเหล่านั้นก็ไม่ได้มาเป็นประโยชน์แก่เขา และในยามที่ไม่มีอะไรกินเช่นยามนี้ที่ต้องอยู่บนหลังคานั้น มันทรมานขนาดไหน

เมื่อน้ำมามากขึ้นๆ จนข้ามคันกั้น เฉิ่มในตอนนั้นยิ่งดีใจ เขาอยากให้น้ำท่วมมากกว่านี้ เพราะคนที่ทนไม่ได้จะอพยพออก และเขาจะแฝงตัวเป็นขโมยเข้าไปงัดแงะรื้อค้นลักทรัพย์สินในหมู่บ้านข้างเคียง แถมถุงยังชีพยังมีมามากขึ้นอีกด้วย เฉิ่มอพยพญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเขาออกไปตั้งกลุ่มดักรอรับถุงยังชีพอยู่ที่ปากซอย จากนั้นก็แยกกันเพื่อเอาไปขายคนซอยที่อยู่ลึกเข้าไปในราคาแพงๆ

มีอยู่เหมือนกันที่คนมาแจกรู้ทัน ไม่ยอมแจกให้ แต่จะขอเอาเรือที่เตรียมมาลงไปแจกเองที่ในซอยลึก แต่เมื่อขาใหญ่อย่างเขาไม่อนุญาต ใครหน้าไหนก็เอาเรือลงน้ำไม่ได้ ต้องกองของไว้ที่ปากซอย เพื่อปล่อยให้เขาจัดการแอบเอาไปขาย

เฉิ่มกล้าถึงขั้นท้าว่า ถ้ามึงไม่แจก มึงก็กลับไปสุดท้ายของที่ขนมาก็ไม่ถูกขนกลับ ถูกกองให้เฉิ่มจัดการ เพราะเฉิ่มโกหกว่าจะจัดการแจกให้อย่างดีที่สุด แต่เขาพูดไม่หมดว่า ดีที่สุดสำหรับเขาเอง

บนหลังคาขณะนี้ มืดมิดนัก ไม่มีแม้แสงสว่าง ที่จะเห็นอะไรได้

เขาเสียใจที่เคยหาประโยชน์จากน้ำท่วม ทั้งกลางวันกลางคืนไม่หยุดหย่อน

ในความมืดเฉิ่มคิดถึงเทียนกระสอบใหญ่ แม้เทียนนั้นจะเป็นเทียนใช้แล้ว ที่มีคนไปรวบรวมมาจากวัดยอดนิยมหลายวัด ที่ยอมบริจาคให้มาตามที่มีคนเห็นประโยชน์ว่าเป็นเทียนยังมีไส้จุดได้ เทียนแม้ใช้แล้ว มันก็เป็นของมีค่าในยามขาดแคลน ในความมืดสนิท แม้แต่เทียนปักขนมเค้กยังสามารถจุดให้แสงสว่างได้เลย เฉิ่มคิดถึงเทียนกระสอบใหญ่นั้น เฉิ่มรับมาจากคนที่รวบรวมมาให้ พร้อมสัญญาว่าจะเอาไปแจกให้ตามบ้าน เฉิ่มคิดเสียใจที่เขาไม่ได้นำไปแจกตามที่สัญญา เขากลับนำมันไปขายที่ร้านรับของเก่า ที่รับซื้อเทียนไข ได้เงินมาซื้อเบียร์ดื่มเพิ่มอีกหลายกระป๋อง สะสมความชั่วเข้าไปอีก

เขาเสียใจที่กระทำเช่นนั้น

นึกหิวน้ำ แม้มีน้ำมากมายอยู่รอบตัว ก็ไม่ใช่น้ำที่เขาจะดื่มกินได้ คิดถึงความชั่วของตนเอง เขานำเครื่องกรองน้ำแบบพกพา ที่กรองน้ำดื่มจากน้ำที่ท่วมได้ประมาณ 2000 ลิตร ที่ผู้ใจบุญบริจาค มาเพื่อผลิตน้ำดื่มให้ชุมชน นำมากรองน้ำกินคนเดียว ทำให้คนอื่นอดอยากขาดแคลนน้ำ

เสียงหมาเห่าหอนกันเกรียว ในความมืดนั้นเฉิ่มคิดถึงความชั่วของเขาอีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่เขาจะสะบักสะบอมมาอยู่บนหลังคา ช่วงนั้นพอน้ำท่วมมากเข้าๆ แถวบ้านเขามีสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ที่มีเกาะกลางน้ำ และมีคนนำหมามาปล่อยให้เป็นหมาจรจัด น้ำท่วมทำให้พื้นที่เกาะหมานั้นเล็กลง เล็กลงจนหมาอยู่อย่างแออัด

เขาคิดมานานก่อนหน้าที่น้ำจะท่วมแล้วว่า เขาอยากจะจับหมาพวกนั้นไปขาย ให้เพื่อนเขาที่ลักลอกนำหมาส่งออกไปขายเป็นอาหารในต่างประเทศ คราวนี้มีอาสาสมัคร มีทีมงานจับหมามาจับให้เสร็จ เขาจึงติดต่อเพื่อนเขาให้แสร้งมาเป็นคนที่จะรับหมาเหล่านั้นไปยังศูนย์พัก พิงหมาจรจัด เตรียมกรงมารับพร้อมรถหกล้อเพื่อขนหมา

อาสาสมัครต่างยินดีและอนุโมทนา คิดว่าหมาจะได้ไปอยู่ในศูนย์พักพิง แต่สุดท้ายหมาเหล่านั้นถูกส่งไปขายชายแดน เขาได้เงินมาจำนวนมากพอสมควรเป็นค่าตอบแทน จากการเป็นตัวกลางติดต่อซื้อขายหมาจรจัดเหล่านั้น เพื่อนำไปเป็นอาหารของคนที่มีรสนิยมรับประทานสุนัขในต่างประเทศ

ท้ายที่สุด เขาเข้าไปขโมยพระพุทธรูปในวัดที่ถูกน้ำท่วม เขากลับออกมาพร้อมพระบูชาจำนวนหนึ่ง แต่ใจยังนึกเสียดายพระงามๆ อีกหลายองค์ เลยย้อนกลับไป โดยต้องลุยน้ำที่บางช่วงเกือบมิดหัว

ในระหว่างการเดินลุยน้ำกลับไปวัดเที่ยวนี้ เท้าเขาไปติดโครงเหล็กรั้วอะไรสักอย่างที่ใต้น้ำนั้น แล้วหมดสติไป จนทำให้เขาต้องมาอยู่บนหลังคานี้

เฉิ่มไม่ได้โชคดีมีคนมาช่วย แต่เฉิ่มตายอย่างทรมาน ปิดฉากชีวิตชั่วๆ เมื่อน้ำมาเพิ่มกะทันหัน ในตอนนั้นขาของเขาติดโครงเหล็กอย่างดิ้นไม่หลุด น้ำสูงเพิ่มอีกหนึ่งเมตรในเวลาไม่นาน จนเฉิ่มขาใหญ่ประจำชุมชน ต้องเป็นผีตายโหงจมน้ำตายอยู่ใต้น้ำนั้น
..................

หลังคาที่เขาอยู่เล็กมากในสายตามนุษย์ มันเป็นหลังคาของศาลพระภูมิเก่าพังที่เขามากองทิ้งไว้ ไม่ใช่หลังคาบ้าน รอบๆ มีน้ำเจิ่งนองท่วมขัง

เขากลายเป็นวิญญาณที่อยู่อย่างสิ้นหวัง ทุกข์ทรมาน เฝ้าคิดถึงแต่ความชั่วช้าในอดีต ซึ่งถ้าหากเขาไม่ทำ เขาคงไม่ต้องมาทรมานในสภาพแบบนี้ แดดภายนอกร้อนจ้า กำลังแผดเผาน้ำให้ค่อยๆ ระเหยหาย แต่ในโลกของวิญญาณมันกลับมีแต่ ความมืดสนิท กระหาย หิวโหย และ สิ้นหวัง

แสงสว่างปรากฏขึ้นลางๆ ปรากฏให้เห็นว่า เด็กคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอธิษฐานอย่างตั้งใจ

เด็กคนนั้นบอกพระภูมิเจ้าที่ว่า “ขอเก็บเทียนที่มีคนจุดเหลือมากมาย ส่งไปช่วยน้ำท่วม” สิ้นเสียงอธิษฐาน แสงสว่างที่สว่างกว่านั้นก็วาบขึ้นชั่วขณะ ด้วยฤทธิ์ของพระภูมิเจ้าที่ที่กำลังกล่าวอนุโมทนาอย่างยิ้มแย้มยินดี

เทียนตรงนั้น อย่างมากก็ไม่เกิน 20 เล่ม ไม่มากเท่าใดนัก คงบริจาคให้ได้ไม่กี่บ้าน

เฉิ่มนึกเสียดาย แม้แต่ความดีเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กน้อยทำ เจ้าที่ผู้ทรงฤทธิ์ยังรับรู้และอนุโมทนา ในอดีตเขามีโอกาสทำความดีได้มากกว่านี้หลายเท่านัก เพราะเขาเป็นคนตัวใหญ่แข็งแรง มีคนเกรงกลัวมากมาย จะขอแรงคนในชุมชนมาทำอะไรก็ไม่มีใครกล้าขัด ถ้าเขาทำความดี ผีสางนางไม้จะอนุโมทนาได้มากกว่านั้นแน่ แต่น่าเสียดายเขาไม่เคยคิดทำ และต้องมานั่งเสียดายพร้อมทุกขเวทนาอย่างสาหัสอยู่ในขณะนี้

**********