Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๑๓๔

เรื่องของคนขายน้ำฟักทองต้ม (จบ)


ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

ศรัทธาพ่อค้าขายฟักทองกำลังนั่งฟังแผนธุรกิจเครือข่ายเพื่อสุขภาพใหม่ล่าสุดในห้องประชุมของโรงแรมไม่หรูแห่งหนึ่ง ตามที่อดีตแฟนสาวชักชวน ณ ที่นั้นคนที่แต่งกายภูมิฐานหลายคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพูดบนเวที ทุกคนล้วนโฆษณาว่า ตนเองประสบความสำเร็จจากธุรกิจเครือข่ายอันดีเลิศสุดยอดนี้ จนมีรายได้เดือนหนึ่งเป็นแสนๆบาท แต่ไม่ค่อยเน้นเลยว่า สินค้าคืออะไร ดีอย่างไร

ความรู้สึกในใจที่อธิบายไม่ถูกบอกศรัทธาว่า เขาต้องมางานนี้ เขาจะได้พบใครคนหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยชีวิตเขา เพื่อชี้ทางออกให้เขาให้พ้นจากความทุกข์ยาก ศรัทธาสะดุดตา เมื่อเห็นผู้หญิงพูดคล่องคนหนึ่งบนเวที เขารู้จักเธอมาก่อน เธอเป็นผู้ริเริ่มธุรกิจนี้ขึ้นมาเอง

เธอเล่าว่า ตนเองเคยทำงานเป็นพนักงานขายของบริษัทยาแห่งหนึ่ง ที่นำเข้ายาจากต่างประเทศมาขายให้โรงพยาบาลหลายแห่ง เธอมีเงินเดือนสูง แถมได้เดินทางดูงานในต่างประเทศเป็นระยะๆ เธอยังไม่ลังเลที่จะตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจเครือข่ายเต็มเวลา เพราะพบว่ามันจะทำให้ตนเองรวยขึ้นๆ อย่างง่ายๆ เร็วกว่าเป็นพนักงานขายยาหลายสิบหลายร้อยเท่า

ศรัทธาจำเธอได้ดีและรู้ว่าเธอกำลังโกหก ผู้หญิงคนนี้เป็นอดีตพนักงานบริษัทยาจริง แต่เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่พ่อไปรักษาคนหนึ่งซึ่งเป็นคนรู้จักกันเล่าว่า เธอถูกไล่ออก เพราะใช้วุฒิการศึกษาปลอมสมัครงาน และโกงเงินบริษัทยาที่เธอทำงานอยู่ ด้วยการปลอมแปลงเอกสารขายยาให้แพงกว่าที่บริษัทกำหนด เอาส่วนต่างเข้ากระเป๋าตัวเอง ยักยอกเอายาและตัวอย่างยาที่บริษัทให้ทดลองใช้ฟรี ไปขายในตลาดมืดอีกด้วย ทำให้โรงพยาบาลต้องซื้อยาแพงและกำลังถูกดำเนินคดี

ในห้องสัมมนา ในขณะที่หญิงคนนั้นพูดไม่หยุดปากเรื่องความรวย คำว่า "รวย"กระทบใจของศรัทธาให้เจ็บแปลบในใจ ศรัทธาคิดสงสัยขึ้นมาแวบนึง "ทำไมเธอ คิดแต่เรื่อง รวยจนดูเหมือนเป็นเรื่องหลัก ทำไมเธอไม่คิดถึงบุญกุศลที่อาจทำได้จากการขายยาดีๆ ให้คนหายป่ายพ้นทุกข์คลายหายเจ็บไข้ หรือแสดงว่าธุรกิจเครือข่ายเพื่อสุขภาพในปัจจุบันของเธอจะทำให้สังคมดีมีความสุขได้อย่างไร พูดแต่เรื่องโอกาสที่จะร่ำรวยมหาศาลเพียงอย่างเดียว???." ศรัทธาเองก็อยากรู้ว่า "ค่ายาพ่อที่แพง เป็นเพราะเธอทุจริตขายยาราคาแพงกว่าที่ควรด้วยหรือเปล่า???"

น้ำตาแทบจะไหลออกมาจากจิตใจที่เจ็บปวดของคนชั้นกรรมาชีพที่ทุกข์ยาก ที่ต้องจ่ายค่ายาในราคาแพงจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัว

ในการฟังแผนธุรกิจนี้เน้นแต่คำว่า รวยๆๆ เท่านั้น ยิ่งทำยิ่งรวย ยิ่งหาสมาชิกเพิ่มได้มากยิ่งรวยไม่รู้จบ หลายคนในห้องที่เพิ่งมาฟังเริ่มตื่นเต้น

บรรยากาศในห้องนี้อบอวลไปด้วยความอยากรวย การอยากเอาจากคนอื่น

พอถึงช่วงสมัครสมาชิกที่ต้องเสียเงินค่าสมัคร 5,000 บาท ก็ปรากฏว่าจริงๆ แล้ว คนเข้าฟังมากกว่า 150 คนนั้น มีคนใหม่ที่ยังไม่เป็นสมาชิกเพียง 50 คน คนมาใหม่ ถูกแยกวงไปโน้มน้าวแบบ 2 ต่อ 1 ราคาค่าสมาชิก 5,000 บาท ถ้ายังไม่มีสามารถผ่อนชำระ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน สรุปคือต้องรีบสมัคร สมัครช้าไปวันเดียว ความรวยจะลดลง สมัครแล้วจะได้ใบรับสินค้าที่จะส่งมาจากต่างประเทศ

บรรยากาศอึดอัด และศรัทธาก็ไม่อยากสมัครสมาชิก เพราะคิดว่าน้ำฟักทองที่เขาขาย มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารไม่น่าจะแพ้อาหารเสริมราคาแพงอะไรนั่นแต่อย่างใด แถมยังช่วยเกษตรกรไทย ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศไทย แต่ศรัทธาก็ยังถูกโน้มน้าวอย่างต่อเนื่อง

ชายคนหนึ่งที่ร่วมฟังแผนธุรกิจยืนขึ้นบอกว่า "โทรตามเพื่อนๆแล้วเขาสนใจมาก เดินทางมารออยู่ข้างนอกอยากเข้ามาร่วมด้วยเลยในตอนนี้จะได้ไหม" เมื่อผู้ดำเนินรายการบนเวทีอนุญาต ตำรวจหลายนายก็กรูเข้ามาจนเกิดความชุลมุน ตำรวจมาจับคดีแชร์ลูกโซ่หลอกลวงประชาชน ตำรวจล้อมไว้หมดทุกด้าน เพราะดูสถานการณ์อยู่นานแล้ว

ศรัทธาจึงรอดพ้นจากความอึดอัด และถูกกันตัวเป็นพยาน สุดท้ายอดีตพนักงานขายยาพร้อมแกนนำหลายคน รวมทั้งอดีตแฟนเก่าของศรัทธาถูกจับตัวดำเนินคดีข้อหาหลอกลวงประชาชน มองหน้าแฟนเก่าแล้วปวดร้าว เขารักหวังดีกับเธอสารพัด แต่เธอกลับมาหลอกเขาได้ลงคอ

และแล้ว ความรู้สึกว่าจะเจอใครคนหนึ่งที่น่าสนใจก็เป็นจริง

ระหว่างที่นั่งรอให้ตำรวจสอบปากคำ ศรัทธาได้รู้จักกับลุงปสาทะ ผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรที่มาฟังแผนธุรกิจด้วยเหมือนกัน ลุงปสาทะมีประวัติไม่สวยงามนัก เพราะเคยถูกจำคุกด้วยข้อหาปรุงยาแผนโบราณผสมสารเคมีอันตราย ตอนที่มีโรคระบาดในหมู่บ้าน ลุงเล่าว่าลุงนั้นรู้ว่าเป็นฝีมือสำนักทรงจอมปลอมที่เปิดรักษาโรคในราคาแพงรายหนึ่ง ซึ่งเสียผลประโยชน์จากยาสมุนไพรราคาถูกของลุงที่ใช้ได้ผลดี ทำให้คนขึ้นตำหนักทรงน้อยลง เขาจึงแอบให้คนเอาสารเคมีอันตรายใส่ในยาของลุง แล้วนำไปส่งตรวจ ลุงเลยได้ไปใช้และสอนวิชาจับเส้นบีบนวด การใช้สมุนไพร ปลูกสมุนไพรในคุกเสียหนึ่งปี เพราะลุงไม่อยากสู้คดี ลุงบอกว่าคิดว่าใช้กรรมเก่า และยังได้ช่วยเหลือคนในคุกซึ่งปฏิบัติต่อลุงอย่างดี

ศรัทธาคิดว่าตัวเองตั้งใจทำดีไปขัดขวางผลประโยชน์คนอื่น ถึงกับต้องตกงาน แต่ของลุงร้ายแรงกว่านั้น ถึงขั้นติดคุกติดตาราง

เมื่อทราบจากศรัทธาว่า พ่อป่วยเป็นโรคร้ายเรื้อรัง และทรมานจากผลข้างเคียงของยา ลุงปสาทะก็บอกว่า สมุนไพรในการแพทย์แผนไทยที่มีความเก่าแก่ยาวนาน อาจช่วยบรรเทาหรืออาจจะถึงขั้นรักษาโรคร้ายของพ่อของศรัทธาได้ แม้จะรู้สึกศรัทธาในตัวลุง แต่ก็กลัวที่จะลอง กลัวจะถูกหลอก เพราะอย่างที่รู้ๆ กัน คนที่คอยหาผลประโยชน์จากคนป่วยไข้จำนวนหนึ่ง หากำไรจากคนป่วยไข้ โดยใช้คำว่าแพทย์แผนไทย เช่นพวกยาผสมสารสเตียรอยด์ ทำให้แพทย์แผนไทยดีๆ มีจรรยาบรรณเสื่อมเสียไปด้วย

เขาจึงไปปรึกษากับแพทย์แผนปัจจุบันที่ดูแลอยู่ว่า อยากจะลองรักษากับแพทย์ทางเลือกดูบ้าง เพราะสงสารพ่อที่กินยามื้อละกำ และต้องทนทรมานกับผลข้างเคียงของยาบางตัวซึ่งพ่ออาจจะแพ้ หมอคงจะสงสารศรัทธาที่ขายน้ำฟักทองเอาเงินมารักษาพ่อ จึงแนะนำเภสัชกรที่ศึกษาทางด้านสมุนไพรไทยอย่างลึกซึ้ง คอยให้คำแนะนำ คุณเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร แนะนำว่าต้องรู้ส่วนประกอบในตำหรับยา ไม่ใช่บดผสมกันจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร

ลุงปสาทะตรวจดูอาการของพ่อศรัทธาแล้วแสดงความบริสุทธิ์ใจ เขียนรายการยาลงในกระดาษ เป็นชื่อสมุนไพร แยกเป็นรายการๆ ระบุน้ำหนักชัดเจน ประมาณสิบอย่าง บอกให้ศรัทธาลองไปตรวจสอบว่ามีโทษหรือไม่ แล้วอยากไปซื้อจากร้านไหนก็ซื้อได้เพื่อความสบายใจ เพราะลุงปสาทะจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดทั้งสิ้น

หลังจากตรวจสอบกับคุณเภสัชกรที่เชียวชาญทางเภสัชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง จนแน่ใจว่ายาแผนโบราณสูตรนั้นจะไม่มีโทษใดๆ ที่ร้ายแรง และมีสรรพคุณทางบำรุงฟื้นฟูร่างกาย จึงกล้าให้พ่อกินยาสูตรนั้น

ยาไทยอาจถูกโรคกับอาการของพ่อ ศรัทธาเห็นผลว่า อาการพ่อของเขาดีขึ้น กลับมากินข้าวอร่อยปาก และ ระบบขับถ่ายดีขึ้น ดูแข็งแรงขึ้น ไม่ล้มหมอนนอนซม หมอปสาทะบอกว่าสมุนไพรไทยช่วยรักษาสมดุลฟื้นฟูร่างกาย แต่ที่สำคัญที่สุด ต้องแน่ใจก่อนว่า เป็นยาสมุนไพรจากแหล่งที่เชื่อถือได้ จากคนที่มีความรู้จริงและเชื่อถือได้เท่านั้น

หลายเดือนที่รู้จักลุงปสาทะ ลุงเป็นหมอยาที่ไม่เน้นแสวงหาความร่ำรวยแม้แต่น้อย ลุงปสาทะเป็นคนอาศัยวัดอยู่ ช่วยหลวงตาพระหมอยารูปหนึ่งที่มีใจเมตตารักษาคนป่วย ที่ไม่ค่อยมีเงินจะไปหาหมอแผนปัจจุบัน แกช่วยหลวงตาในการขึ้นทะเบียนตำหรับยาให้ถูกต้อง เพื่อการคงอยู่และพัฒนาของศาสตร์การแพทย์แผนไทย

ศรัทธาจัดสรรเวลาว่างมาเรียนวิชาสมุนไพร โดยใช้ความรู้ด้านช่างช่วยงานในวัดตามแต่โอกาส เช่นซ่อมระหัดวิดน้ำแบบกงล้อที่ใช้ตักน้ำจากคลองหลังวัดที่มีน้ำไหลเอื่อยเข้าวัด ซึ่ง ทำงานไม่สมบูรณ์มานาน ซึ่งงานนี้ทำให้เขาสนใจในภูมิปัญญาไทยเพิ่มขึ้นอีก

ณ ทุ่งสมุนไพรใกล้วัดที่เจ้าของที่ดินเต็มใจให้ลุงปสาทะยืมทำประโยชน์ได้ตามใจชอบ ศรัทธากำลังใช้วันว่างช่วยงานลุงและเรียนรู้สมุนไพรไปด้วยพร้อมกัน วันนี้เขาและลุงจะเตรียมปุ๋ยหมักจากผักตบชวาและมูลสัตว์เพื่อใช้ในแปลงสมุนไพร

ชุมเห็ดเทศบางต้นกำลังออกดอกสีเหลืองสวยสะพรั่ง ลุงเคยสอนว่า ชุมเห็ดเทศเป็นสมุนไพรกินแก้ท้องผูก และใช้คั้นน้ำผสมปูนแดงที่กินกับหมากทารักษากลากเกลื้อน ถามลุงตอนหนึ่งว่า "ทำไมลุงไม่ปรุงยาขายเองครับ"

ลุงปสาทะตอบว่า "คนป่วยจะไปเอาเงินกับเขาทำไมมากมาย แค่เขาป่วยเขาก็มีทุกข์มากแล้ว ลุงอยากช่วยคนไม่ใช่อยากรวย" ศรัทธาปลื้มใจมากกับคำตอบที่ได้ ศรัทธาสนใจศึกษาวิชาการใช้สมุนไพรหลายอย่างอย่างใส่ใจ เพราะเขาเป็นคนที่ลุงปสาทะสังเกตเห็นได้ว่า เป็นคนที่อยากช่วยเหลือคนอื่นให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องทรมานด้วยความป่วยไข้ ศรัทธาวางแผนที่จะสอบใบอนุญาตแพทย์แผนโบราณในอนาคต

ลุงปสาทะคิดในขณะที่แกกำลังทำงานจัดการกองปุ๋ยว่า แกตัดสินใจไม่ผิด ที่เฝ้าสะกดรอยติดตามศรัทธา ลุงปสาทะได้ยินคำพูดที่ศรัทธาพูดขณะแจกฟักทองให้ยายแก่ยากจนคนหนึ่ง และทำให้ลุงติดตามเขาไป จนได้ไปนั่งฟังการบรรยายแผนธุรกิจของแชร์ลูกโซ่อย่างตกบันไดพลอยกระโจน และได้รู้จักกับศรัทธาในที่สุด คำพูดของศรัทธาในวันนั้นคือ

"ยาย ยายเอาน้ำฟักทองไปกินสิยาย มันบำรุงสายตาและร่างกาย พืชผักไทยเรามีประโยชน์มากนะยาย บำรุงร่างกายให้แข็งแรงจะได้ไม่ต้องป่วยไปหาหมอ เสียค่ายาแพงๆ"
.........................................................

เกือบบ่ายโมง ศรัทธากับลุงนั่งหยุดพักเหนื่อยจากการเตรียมปุ๋ยบำรุงแปลงสมุนไพร อากาศวันนั้นร้อนมาก แต่ศรัทธาก็ยังมีความสุขจากใจที่ชุ่มเย็นใต้แดดร้อน มองดูแปลงสมุนไพรที่กำลังชูใบไสวรับแดดอันร้อนแรง เพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการเติบโต ร่วมกับแร่ธาตุอาหารอันอุดมในดิน ความชุ่มชื้นของน้ำ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสสารอันทรงคุณค่า เพื่อรอให้คนที่มีความรู้ด้านสมุนไพรเก็บเกี่ยวไปใช้ รักษาบรรเทาทุกข์จากโรคภัย ศรัทธาคิดว่าลุงก็คงคิดไม่ต่างกัน

ถามลุงว่า "ลุงครับ ลุงคิดว่าโรคอะไรน่ากลัวที่สุดครับ" มันคงเป็นคำถามสำคัญ ลุงเอาผ้าขาวม้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ นิ่งไปเพื่อเรียบเรียงคำตอบ
"โรคทางใจทำคนตายมามากกว่าโรคร้ายอื่นอีก ความโลภ อยากรวย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน หมอยาดีๆ ช่วยคนป่วย ก็ถูกคนโลภที่เสียผลประโยชน์ปิดทาง กีดกันกลั่นแกล้ง คนมีวิชาก็หวง กลัวคนอื่นจะรวย จนตำราดีๆสูญหาย ไม่ได้ใช้รักษาคน คนไม่รู้จริงแต่โลภ ขายยาไม่ได้เรื่องในราคาแพง ทำบาป หลอกคนที่ทุกข์ให้ทุกข์หนักเข้าไปอีก

ดูอย่างคนขายยาสิ ไม่นึกถึงว่าตัวเองกำลังทำงานสร้างบุญ คิดแต่อยากรวย ทำแชร์ลูกโซ่ ยาของไทยเราดีๆ ทั้งนั้น ไม่ช่วยกันสนับสนุน ขนาดฝรั่งยังเอาไปวิจัยจดสิทธิบัตร แต่เรามองข้ามไปหมด คนป่วยเลยต้องจ่ายค่ายาแพงๆ ให้ต่างประเทศ จนบางคนหมดบ้านหมดที่หมดตัว

ระวังโรคทางใจนะศรัทธา โรคทางกายอย่างมากก็ตาย แต่โรคทางใจสร้างความเดือดร้อนมหาศาลข้ามภพชาติ และโรคทางใจบางคนก็ไม่รู้ว่ามันทำร้ายเราอยู่ ไอ้พวกที่หาความร่ำรวยตามที่ลุงเล่ามา บางคนก็ไม่รู้เลยว่าได้สร้างกรรมชั่วที่จะส่งผลไปในอนาคต ที่สุดท้ายตัวเองก็ต้องไปรับผลของกรรมนั้น ตามกฏแห่งกรรมวิบาก"

คงเป็นเพราะแรงดึงดูดทางจิตวิญญาณของคนทั้งสองที่ต่างปรารถนาให้คนอื่นพ้นจากความทุกข์จากโรคภัย ที่นำคนสองคนที่ต่างวัยนี้ให้มาอยู่ในทุ่งสมุนไพรนี้ และร่วมกันทำประโยชน์เพื่อคนอื่นต่อไป