เรื่องของคนขายน้ำฟักทองต้ม (๑)
ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล
เมื่อน้ำฟักทองต้มที่เตรียมมาขายใกล้หมด ก้นหม้อเริ่มข้นงวด ศรัทธาเติมน้ำสะอาดไปเล็กน้อย แล้วเอียงหม้อต้มเพื่อตักน้ำฟักทองที่เหลือก้นหม้อ ใส่ถุงได้สิบถุง ตั้งใจนำไปแจกคนที่ควรอนุเคราะห์ ดังเช่นที่เขาปฏิบัติมาทุกวัน
ความคิดเผื่อแผ่ของเขา เกิดขึ้นเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ในวันที่ศรัทธาไม่มีเงินซื้อข้าวกิน และได้รับความอนุเคราะห์ข้าวแกงหนึ่งจานโต จากแม่ค้าขายข้าวแกงใจดี
ในขณะนั้นศรัทธากำลังชั่งใจลังเล ที่จะชิงทรัพย์แม่ค้าคนนั้นในช่วงปลอดคน เพราะคิดว่า โลกนี้ไม่มีความเมตตากรุณาอยู่จริง และผู้ที่แข็งแรงกว่าจึงจะมีชีวิตรอด
“เอ้าไอ้หนุ่ม วันนี้ข้ามีกำไรพอคุ้มเหนื่อยแล้ว เอ็งไม่มีเงินก็กินไปเถอะ ไม่พอตักเติมเองเลยนะ เดี๋ยวจะเก็บร้านแล้ว” ป้าพูดพลางยื่นข้าวแกงให้ ทำให้เขาเปลี่ยนใจในทันที และเชื่อว่าความเมตตากรุณายังมีอยู่จริงในโลก และมันได้ช่วยหยุดการตัดสินใจก่อคดีชิงทรัพย์ครั้งแรกของเขา หยุดว่าที่โจรหนึ่งคนไม่ให้เป็นโจรเกิดขึ้นมาในโลก แต่กลับสร้างคนที่จะมีใจเมตตากรุณาต่อไปอีก
ศรัทธายกมือไหว้ด้วยใจเคารพจริงแบบที่น้อยครั้งจะไหว้ใคร และบอกป้าว่า “ขอบคุณครับ ไว้มีเงินจะมาจ่ายค่าข้าวคืนให้นะป้า” ป้าตอบเพียงว่า “ไม่เป็นไร เอ็งตั้งใจเรียนให้จบ จะได้เลี้ยงพ่อแม่ แล้วถ้ามีเงินก็เอาไปช่วยเหลือคนอื่นที่เขาไม่มีต่อๆไปละกัน”
ศรัทธาไม่เคยลืมข้าวราดแกงจานนั้น และปัจจุบันนี้อาชีพพ่อค้าขายน้ำฟักทองของเขานั้น นอกจากจะให้ความภูมิใจที่มีส่วนทำให้คนอื่นสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้เขามีโอกาสที่จะส่งต่อความกรุณานั้นต่อไปยังผู้อื่น และหวังว่าบางคนในหมู่ผู้อื่นที่ได้รับนั้นจะส่ง เชื้อแห่งความกรุณานั้นไปอย่างไม่สิ้นสุด
.............................
รถเก๋งป้ายแดงคันหนึ่งเข้ามาจอดชิดร้านขายน้ำฟักทอง กระจกด้านที่นั่งคู่กับคนขับเปิดขึ้น หญิงสาวในรถคือแฟนเก่าของศรัทธา เธอยิ้มให้อย่างคุ้นเคย แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “พี่ธาคะ อยากเชิญพี่ไปฟังแผนธุรกิจของบริษัทธุรกิจส่งเสริมสุขภาพแบบเครือข่ายเปิดใหม่ ค่ำนี้นะคะ รับรองรวยแน่ๆ ธุรกิจใหม่โอกาสยังมีอีกเยอะ เพราะเราเป็นกลุ่มแรกๆ”พูดพลาง ยื่นเอกสารเชิญชวนจากรถเก๋งใหม่เอี่ยม ก่อนกล่าวลาและขับรถออกไป
คำว่าธุรกิจส่งเสริมสุขภาพถูกจริตศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เขาสนใจ เขาอยากเห็นคนอื่นมีสุขภาพดีไม่ต้องเจ็บป่วย เสียค่าหยูกยาไปหาหมอ แถมยังอาจหารายได้อีกทางซึ่งก็สำคัญในใจเขาไม่แพ้กัน
แฟนเก่าของศรัทธา โทรศัพท์มาชวนศรัทธาไปฟังแผนธุรกิจเครือข่ายเพื่อส่งเสริมสุขภาพนี้หลายครั้งแล้ว และวันนี้มาเชิญด้วยตัวเอง
เธอจึงตัดสินใจแต่งงานกับชายอื่นที่คบหากันไม่นานในปีที่แล้ว หลังจากศรัทธาเป็นฝ่ายขอเลิก เนื่องจากตัวศรัทธาเองมีปัญหาเรื่องการเงิน จนไม่อาจที่จะแต่งงานกับเธอได้ตามที่เคยวางแผนไว้ จึงตัดใจบอกเลิกเปิดทางให้เธอแต่งงานกับชายอื่น ที่อาจทำให้ชีวิตเธอดีกว่าคบกับเขา เพราะศรัทธา คิดว่า “ความรักที่แท้จริงคือ ปรารถนาดีกับเขา และไม่จำเป็นต้องจบด้วยการครอบครอง”
แฟนเก่าของเขาคงมีเวลาไม่มากนักกับการรอคอย เพราะอายุหล่อนก็ใกล้ 30 ปีไปแล้ว ส่วนศรัทธาในตอนที่ยังทำงานโรงงานนั้น มีปัญหาขัดสนเงินทองอย่างรุนแรงเพราะอุบัติเหตุในชีวิตที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน จนต้องล้มเลิกแผนการแต่งงาน
ศรัทธา นึกถึงความหลัง ก่อนที่เขาจะมาขายน้ำฟักทอง.....
เขาเคยเป็นพนักงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรฝีมือระดับต้นๆ ของโรงงานแห่งหนึ่ง ทำงานดูแลเครื่องจักรตามตารางหยุดซ่อมบำรุงตามกำหนดเวลา กว่าจะครบทุกเครื่องก็เวียนเข้ารอบการซ่อมบำรุงใหม่อีกแล้ว เรียกว่าแทบไม่มีเวลาหยุดพัก
ในช่วงที่อนาคตเขากำลังเริ่มเข้าที่เข้าทางเมื่อสองปีที่แล้ว อุบัติเหตุในชีวิตก็เกิดขึ้น พ่อที่เลี้ยงดูเขาและน้องชายมาทั้งชีวิต นับจากแม่ของเขาตายจากไป เกิดป่วยเป็นโรคร้ายเรื้อรัง ค่ารักษาและค่ายาที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินเก็บที่เขาที่อุตส่าห์สู้ทนเก็บมาหลายปีเพื่อวางแผนเพื่อซื้อบ้านและแต่งงานค่อยๆ หมดไป น้องชายทำงานขับรถส่งของเงินเดือนไม่มากนัก ทำให้ศรัทธารับผิดชอบเงินค่ารักษาพ่อเป็นหลักโดยมีน้องช่วยบ้างเพียงเล็กน้อย
พ่อเคยบอกว่า “พ่อแก่แล้ว ปล่อยให้พ่อตายไปเถอะไม่ต้องรักษา แค่เลี้ยงลูกสองคนจนโตขึ้นมาเป็นคนดีมีงานทำสุจริต พ่อก็ดีใจมากแล้ว” ศรัทธาน้ำตาไหล คำพูดนี้แสดงว่าพ่อรักและห่วงใยอนาคตของศรัทธาและน้องมากกว่าชีวิตตนเอง อย่างไรก็ตามเขาคิดว่า ชีวิตนี้มีพ่อคนเดียว พ่อที่รักเขามากขนาดที่ว่าไม่ยอมแต่งงานใหม่ แต่ตัดสินใจเลี้ยงดูเขาด้วยการตื่นแต่ตีสามทุกวัน ทำงานโดยไม่มีวันหยุด ไปรับจ้างเข็นสินค้าในตลาดสดได้เงินมามาอย่างยากลำบาก จนเขาต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเพื่อแบ่งเบาภาระพ่อ และเขาสามารถเรียนจบปวส.ช่างกลโรงงาน
หลายคนบอกว่าเขาฉลาดความจำดี น่าจะได้เรียนสูงๆ กว่านี้ เขาทำงานในโรงงานอย่างตั้งใจ มีผลการทำงานที่ดีเด่นเสมอ เงินเดือนปีสุดท้ายในโรงงานที่เขาทำงานมาหลายปี เดือนละหมื่นห้าพันบาท มากกว่าเงินเดือนของพนักงานธุรการระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ในโรงงานเสียอีก ทำให้พ่อได้หยุดพักสบายขึ้นมามากแม้ไม่ถือว่ารวยมากนัก แต่ความสุขของเขาและพ่อมีอยู่ไม่นาน สแงปีที่แล้วพ่อก็ต้องรับข่าวร้ายว่า พ่อป่วยเป็นโรคร้ายที่ต้องรักษาต่อเนื่อง เขายอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี เพื่อยื้อชีวิตพ่อไว้ให้นานที่สุด แม้แต่อนาคตเขากับแฟนสาวที่คบกันมาหลายปี
เขาบอกพ่อว่า “พ่อผมยังพอจ่ายค่ารักษาพ่อไหว ผมอยากพูดคุยกับพ่อแบบนี้ ไม่อยากไหว้รูปพ่อบนหิ้งบูชา จะมีประโยชน์เอาอะไร ถ้าผมมีบ้านมีครอบครัว แต่ต้องทิ้งให้พ่อต้องตายจากผมไป พ่อสอนความกตัญญูให้ผมเห็นด้วยการเลี้ยงดูย่า ผมต้องกตัญญูต่อพ่อตอบแทนบ้าง”
หลังจากพ่อป่วย ค่าแรงแต่ละงวดถูกนำไปจ่ายค่ายาพ่อและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จนหมด แถมยังต้องไปนำเงินเก็บที่ออมไว้ออกมาใช้ด้วย ดับฝันที่จะซื้อที่ปลูกบ้านของตัวเอง ยังคงอยู่ในบ้านเช่าหลังเก่าโทรม ก่อนหน้านี้เขาเคยแอบคิดจะซื้อที่ทำสวนเป็นของขวัญให้พ่อ
เพื่อให้มีเงินรักษาพ่อเขาอย่างต่อเนื่อง เขาต้องทำงานหนักขึ้น ใช้จ่ายน้อยลง ใครไม่ทำ OT เขาจะขอทำหมด ค่ายาที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศก็มีราคาแพง จ มากกว่ เงินเดือน ลามไปถึงเงินเก็บ กระทบถึงอนาคตการมีครอบครัว
เขาจำกัดงบค่าอาหารของเขา เพียงสัปดาห์ละสี่ร้อยบาทเท่านั้น
อาหารเช้าของเขาคือ แซนด์วิช แฮม ไส้กรอก หรือ หมูหยอง หรือข้าวเหนียวหมูทอดราคาสิบบาท และน้ำเต้าหู้หกบาท ที่ขายตรงหน้าโรงงาน มื้อกลางวันคือข้าวฟรีของทางโรงงานที่โรงอาหาร และกับข้าวอย่างละสิบบาท ที่ขายถูกแบบราคาอาหารในโรงงานและมีขายเฉพาะมื้อเที่ยง เป็นมื้อที่ตักตวงความอิ่มมากที่สุดสำหรับศรัทธากับเพื่อนๆ ที่ซื้อกับข้าวมาคนละอย่างแล้วแลกกันกินเป็นวงใหญ่ ส่วนมื้อเย็นคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลวกน้ำร้อนสองห่อ 12 บาท ในช่วงพักก่อนทำ OT อย่างดีก็มีนมกล่องเพิ่มมาอีกหนึ่งกล่อง 10 บาท เพื่อบำรุงร่างกาย เลิกงานจาก OT สี่ทุ่ม ก็แทบหมดแรงเดิน ขึ้นรถรับส่งโรงงานได้ก็หลับถึงบ้าน จนเด็กรถมาปลุกให้ลงรถ ทำงานหนักใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสน เพื่อหาเงินมาจ่ายค่ายาให้พ่อของเขา
แล้ววันหนึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจที่ขยายวงกว้าง จากปัญหาหนี้เสียต่างประเทศ ก็ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลง กระทบเป็นทอดๆ จนโรงงานที่ศรัทธาทำงานได้รับผลไปด้วย เจ้าของโรงงานตัดสินใจลดคนงาน ศรัทธาและเพื่อนหลายคนถูกเลิกจ้าง
เคยคิดน้อยใจว่าเพราะเขาตั้งใจทำงานดีมากเกินไปหรือเปล่า ทำงานจนเครื่องไม่เสียมากอย่างเคย แถมยังสอนให้พนักงานประจำเครื่อง สามารถช่วยดูแลเครื่องจักรที่จุดสำคัญทำให้ลดการเสียได้มาก ตั้งแต่เขาได้มาดูแลงานซ่อม เครื่องจักรรุ่นที่มีใช้มากที่สุดในโรงงานและมีปัญหาเสียซ้ำซาก ปัญหาก็ค่อยๆหมดไป ยอดการสั่งชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องทดแทนลดลง กระทบถึงญาติคนหนึ่งของเจ้าของ ซึ่งมีผลประโยชน์กับบริษัทขายอะไหล่เครื่องจักร เมื่อมีการลดคนงาน ญาติคนนั้นจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้ศรัทธา และเพื่อนๆ ร่วมแผนกที่ขัดขวางผลประโยชน์ของเขาออกจากโรงงานไปเป็นกลุ่มแรก ด้วยเหตุผลที่ว่า “เดี๋ยวนี้เราไม่มีปัญหาเครื่องเสียมากเท่าเดิมแล้ว”
เมื่อถูกเลิกจ้าง เขาได้รับเงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างจากประกันสังคมเป็นเงิน 7,500 บาทต่อเดือน เป็นเวลาหกเดือน ในตอนนั้นเขาห่วงแต่พ่อ คิดว่าจะทำอย่างไร ต้องจ่ายค่ายาพ่อ ไหนจะต้องกินต้องใช้อีก ในห้วงเวลานั้น งานใหม่หายาก แม้เขาจะมีความสามารถและไม่เลือกงาน
เขาไม่อยากหยุดว่างเฉยๆ ให้เครียด วันที่ไม่ออกไปหางาน เขาใช้รถเข็นคันเก่าของพ่อไปรับจ้างเข็นของในตลาด มันทำให้เขารักพ่อเขามากขึ้นไปอีก เพราะกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท เหนื่อยยากไม่น้อยเลย พ่อของเขาต้องใช้ชีวิตแบบนี้มา 20 กว่าปี เลี้ยงลูกสองคน และยังส่งเสียเงินไปให้ย่าที่ต่างจังหวัดจนย่าจากไปอย่างไม่เคยบ่น
วันหนึ่ง เจ้าของแผงรายที่เคยใช้บริการพ่อของเขาเป็นประจำ สมัยที่พ่อยังแข็งแรงและทำงานรับจ้างเข็นสินค้าในตลาดเรียกใช้เขา หลังจากจ่ายเงินค่าเข็นรถ ก็ถามถึงอาการพ่อ และฝากฟักทองที่วันนี้มีอยู่มากมายให้เอาไปต้มให้พ่อกินบำรุงร่างกาย
เมื่อทำน้ำฟักทองปั่นให้พ่อกิน เขาก็เกิดความคิดที่จะทำน้ำฟักทองขาย แค่ซื้อฟักทองมาล้าง ปอกเปลือก ต้มให้สุก จากนั้นหันเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นไฟฟ้า กับน้ำสะอาด อุ่นให้ร้อนตอนขาย เขาเลือกทำเลที่ป้ายรถเมล์ใกล้โรงเรียนแห่งหนึ่ง ศรัทธาภูมิใจกับงาน มันช่วยบำรุงร่างกายให้คนกินแข็งแรง และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรตลอดจนพ่อค้าคนกลาง และด้วยรู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากอดอยากในอดีต เขาขายน้ำฟักทองเพียงถุงละ 5 บาท จากน้ำฟักทองก็ขยายไปต้มข้าวโพดขายด้วย ซึ่งทำให้เขามีกำไร 7-800 บาทต่อวัน กำไรเดือนหนึ่งๆรวมกันมากกว่ารายได้ที่เคยได้รับจากโรงงานเสียอีก และเมื่อเห็นว่าขายได้เงินพอควรแล้ว เขาก็จะอนุเคราะห์ผู้ยากไร้ โดยนำน้ำฟักทองที่ตัดสินใจไม่ขายเอาเงินแล้ว นำไปแจกจ่ายให้คนจรจัดไร้บ้านอยู่เป็นประจำ
ธุรกิจเพื่อสุขภาพนี้ทำให้เขามีรายได้ คนกินแข็งแรง และได้แบ่งปันเป็นทาน เขารักธุรกิจนี้เสียแล้ว
ตั้งแต่กินข้าวแกงที่ป้าใจดีหยิบยื่นให้จานนั้น ศรัทธาพยายามช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่ได้หวังสวรรค์วิมาน เขาแค่คิดว่าเขาพยายามทำความดีเท่าที่จะทำได้ทุกๆ วัน จะไปกลัวอะไร ว่าตายแล้วจะไปไหน หรือผลของความดีจะช่วยเขาหรือไม่ เขามีความสุขแล้วจากการทำดี
......................................
น้ำฟักทองกำลังถูกหยิบยื่นให้ คนแก่ไร้บ้านคนหนึ่ง และศรัทธากำลังให้ความรู้ประกอบ
“ยาย ยายเอาน้ำฟักทองไปกินสิยาย มันบำรุงสายตาและร่างกาย พืชผักไทยเรามีประโยชน์มากนะยาย บำรุงร่างกายให้แข็งแรง จะได้ไม่ต้องป่วยไปหาหมอ เสียค่ายาแพงๆ”
ขณะที่แจกน้ำฟักทอง ใจก็ครุ่นคิดถึงอาการของพ่อที่มีแต่ทรงกับทรุด ค่ายาที่ไม่สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพได้ก็แพงขึ้นอีก แม้จะรักษากับโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะยาชุดเดิมมีผลข้างเคียงทำให้ต้องเปลี่ยนยาไปใช้ตัวที่แพงขึ้น เขาคงต้องหารายได้เพิ่มอีกทาง จากธุรกิจเครือข่าย ตามที่แฟนเก่าของเขาชักชวน โฆษณาว่าดีนักดีหนา ทำงานง่าย สบายๆ เขายอมเสียยอดขายน้ำฟักทองไปหนึ่งวัน เพื่อไปฟัง ไปแสวงหาความร่ำรวยที่อาจกำลังรอเขาอยู่ เขาเชื่อว่าใครบางคนที่จะมาเปลี่ยนชีวิตเขา รอเขาอยู่ในงานนั้น
(อ่านต่อฉบับหน้า)