Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๑๓๒

ธรรมชาติ...ธรรมดาของชีวิต


"โอ้ย!!! ฉันเป็นอะไรอีกแล้วนี่" นภชลตบหัวตัวเองอย่างแรงๆไปหลายที... หลังจากระบายอารมณ์ด้วยการทำร้ายร่างกายตัวเอง พอรู้สึกเจ็บๆ ขึ้นมาแล้ว ก็ปล่อยตัวนั่งเหม่อลอยกลับไปสู่ภวังค์แห่งความทุกข์อีกครั้ง

น้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม โดยที่เธอก็ไม่ตั้งใจจะเช็ดมันออก ปล่อยให้มันไหลอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ พลางย้อนคิดถึงอดีต ที่ไม่น่าจดจำ...

‘ต้นไผ่' ชื่อเล่นของชายหนุ่มที่เรียกกันในกลุ่ม เธอเพิ่งเริ่มมาสนิทกับเขาเมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัย ปี 2 นภชลไม่รู้ว่าไปชอบเขาตั้งแต่เมื่อไร รู้เพียงแต่ว่าแค่ได้คุยกัน เธอก็มีความสุข แต่พอมานั่งๆคิด ณ ตอนนี้ เธอก็เริ่มสงสัยว่า มันคือความสุข หรือความทุกข์กันแน่ แต่เธอกลับยินดีปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้

จิตที่พะวงคิดถึงแต่เขา ซึ่งเธอไม่เคยรู้เลยว่า ‘เขา' คิดถึงกันบ้างหรือเปล่า ตาก็เฝ้าแต่มองโทรศัพท์มือถือไม่เว้นช่วง เผื่อว่าเขาจะโทร.มา หรืออย่างน้อยส่งข้อความมาก็ยังดี หยิบมากดดูเรื่อยๆ เธอกลัวว่าจะเผลอไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเธอพกติดตัวตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยมีข้อความ หรือสายโทรเข้ามาเลย...

เธอเคยถึงขนาดตัดพ้อกับเขาว่า โทรหาเธอบ้างได้ไหม ต้นไผ่ทำหน้างง แต่เขาก็ยังอุตส่าห์โทรมาคุยเล่น แม้เพียงไม่ถึงสองนาที แต่นั่นก็ทำให้นภชลยิ้มไปได้หลายวัน หรือเมื่อมีปัญหาอะไร พอเธอโทรไป เขาก็จะรีบรับสายทันที ในบางคราวที่เงินในโทรศัพท์เธอไม่ได้เติม แต่เธออยากแกล้งเขาเล่นๆ เธอก็กดยิงไป และเขาก็คงไม่ได้เติมเงินในโทรศัพท์เหมือนกัน เพราะสักพักก็จะมีเบอร์จากตู้สาธารณะโทรเข้ามาพูดด้วยเสียงร้อนรน

"เนย เป็นอะไรไป ใครแกล้งหรือเปล่า" นภชลอมยิ้ม รู้สึกว่าเขาห่วงใยเธอ
"เปล่าๆ แค่เนยเซ็งๆอ่ะ" ต้นไผ่เงียบไปพักหนึ่ง
"ไผ่โกรธเนยหรอ"
"เปล่า.... ไอ้เราก็ตกใจ นึกว่าใครแกล้งอีก" ก่อนหน้านี้นภชลเคยบ่นให้ต้นไผ่ฟังว่า โดนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยแกล้งใช้งาน เขาก็บอกเธอว่าอย่ายอม แต่หญิงสาวปฏิเสธ ด้วยความไม่สู้คน และไม่ชอบเถียงอยู่แล้ว
"ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว วันนี้เราไม่ได้ไปเรียน มีงานที่บ้านน่ะ แต่ถ้าใครรังแกโทรหาเราได้นะ" นภชลรับคำก่อนวางสาย แค่นี้ก็ทำให้หญิงสาวอมยิ้มได้ทั้งวัน

พักหลังๆ ก่อนจบการศึกษา ต้นไผ่ไปสนิทกับเพื่อนสาวอีกกลุ่มหนึ่ง นภชลเห็นเค้าหยอกล้อกันแล้วก็อดใจหายไม่ได้ รู้สึกปวดในใจลึกๆ แต่ไม่กล้าแสดงออกมาให้ใครรู้ บางทีเธอคนนั้นก็พูดขึ้นมาให้นภชลได้ยินว่า ต้นไผ่โทรหาเธอบ่อยๆ ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ นภชลเสียความรู้สึกเมื่อนึกได้ว่าชายหนุ่มโทรหาเธอนับครั้งได้เลย

ตั้งแต่นั้นเธอบังคับตัวเองไม่ให้เป็นฝ่ายโทรหาต้นไผ่ก่อน แต่ก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าชายหนุ่มจะโทร.มาหาเธอบ้าง...ทั้งที่ไม่เคยมีเลย

"เป็นไรไปยัยเนย" นภเนตรผู้เป็นพี่ เห็นอาการน้องสาวก็อดถามไม่ได้
"อะไร...เป็นอะไร" นภชลย้อนถามมีพิรุธ
"ก็ที่นั่งมองมือถือตลอดเวลาน่ะ ทำไมเหรอ รอใครโทรหา" นภชลสะดุ้ง พยายามเก็บอาการไว้ไม่อยากให้พี่สาวรู้ เพราะนั่นหมายถึงพ่อและแม่จะรู้ด้วย เธอไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
"เปล่าๆ ไม่มีอะไร" เธอโกหกได้ไม่เนียนเลย นภเนตรจ้องน้องสาว แล้วก็เปรยขึ้นมา
"มีอะไรก็ปรึกษากันได้นะ" นภชลมองตามพี่สาวที่เดินออกไป เธอหันกลับมาถอนหายใจเฮือกใหญ่

ความสัมพันธ์ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ นับถึงบัดนี้ก็เกือบห้าปีแล้ว ทั้งๆ ที่ต้นไผ่ ไม่ได้มีทีท่าอะไรกับเธอเกินคำว่าเพื่อน หลังจบการศึกษาเธอคิดว่าถ้าไม่ได้ติดต่อกันก็น่าจะลืมเขาไปได้ เธอมีสังคมใหม่ในชีวิตการทำงานจนไม่ได้นึกถึงเขาอีก จนกระทั่งเขาโทร.มาหาเธอด้วยเบอร์แปลกๆในวันหนึ่ง

"ฮัลโล"
"เนยหรือเปล่า" เสียงที่เธอไม่เคยลืม แม้จะเก็บเค้าไว้ในลิ้นชักชั้นในสุด แต่ตอนนี้เขาออกมายืนตรงหน้าเธอแล้ว นภชลใจเต้นแรงอีกจนได้
"ใช่ แล้วนั่นไผ่หรือเปล่า" ปลายสายตอบรับ ก่อนจะเย้าเธอกลับมา
"หายไปเลยนะ สบายดีเปล่า นึกว่าเปลี่ยนเบอร์หนีเราซะแล้ว ไม่ติดต่อมาบ้างเลย" นภชลค้อนให้ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่เห็นหรอก ใครกันแน่ที่หายไปเลย แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากพูดอย่างที่ใจคิด ต้นไผ่ก็ชิงพูดด้วยเสียงเร่งรีบมาก่อน
"เออเนย ไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวเราโทรไปใหม่ นัดเพื่อนไว้น่ะ เพื่อนเรามาแล้ว" เขากดวางสายทันที นภชลถือโทรศัพท์ค้างอยู่ในอาการบอกไม่ถูก ดีใจ สับสน ว้าวุ่น แต่ตอนนี้ใจเธอยังเต้นแรงอยู่ รู้สึกร้อนวูบๆ ที่หน้าขึ้นมาด้วยสิ

เธอเฝ้ารอโทรศัพท์อีกแล้ว เธอรอมาสองอาทิตย์เพราะแค่คำว่า "เดี๋ยวเราโทรไปใหม่" เธอรู้สึกว่าเหมือนคนบ้า ที่เฝ้ารอสิ่งที่มันไม่สามารถเป็นไปได้

แล้วเธอก็เป็นฝ่ายโทร.ไปหาเขาเอง
"ฮัลโล" ต้นไผ่รับสาย
"ทำอะไรอยู่" นภชลถามคำถามพื้นๆ ออกไป
"ทำงานสิจ๊ะ ว่าไง คิดถึงเหรอ" ต้นไผ่กระเซ้ากลับมา แต่กลับเป็นคำถามที่ฉีกหน้าหญิงสาวสุดๆ เพราะนั่นคือความจริง
"เปล่า ไม่ได้คิดถึง เออๆ ทำงานไปเถอะ แค่นี้นะ" นภชลวางสายอารมณ์ครุกรุ่น ทำไมนะ รู้แล้วยังจงใจพูดให้เธอโมโหอีก
"ยัยเนยเป็นอะไรไปเนี่ย" นภเนตรตบบ่าน้องสาวเบาๆ นภชลหันมาสะดุ้ง นี่พี่สาวเธอได้ยินอะไรบ้างไหมนะ
"พี่ว่าเราอาจต้องการตัวช่วยตอนนี้นะ" เธอหยิบหนังสือในมือยื่นส่งให้ นภชลขมวดคิ้วมอง

"ไตรลักษณ์" เงยหน้ามองพี่สาว สายตาเต็มไปด้วยคำถาม

"ลองอ่านดู แล้วบางทีอะไรๆที่เราเป็นอยู่มันอาจจะดีขึ้น" นภเนตรยิ้มให้แล้วเดินจากไป นภชลไม่มีอารมณ์จะอ่านตอนนี้หรอก จิตใจเธอว้าวุ่นเต็มที ทั้งโมโหทั้งร้อนรนทั้งคิดถึง ทุกอย่างปะปนคละเคล้ามั่วกันไปหมด เธอแยกอารมณ์ออกมาไม่ได้ รู้แต่ว่าตอนนี้เธอฟุ้งซ่านที่สุด

หันมาหยิบโทรศัพท์มือถือ อยากเขวี้ยงให้พ้นๆ เปลี่ยนเบอร์ซะเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องติดต่อกันอีก แต่ก็ไม่กล้าทำ เพราะใจยังไม่แข็งแรงพอ เคยลองปิดโทรศัพท์ ถอดแบตเตอรี่มือถือออก เลียนแบบละครซีรี่ส์เกาหลีหลายๆ เรื่อง แต่ก็อดหยิบมาประกอบเปิดเครื่องรอสายใหม่ไม่ได้

สายตาเลื่อนมาเจอหนังสือ "ไตรลักษณ์" โดยท่านพุทธทาสภิกขุฯ บรรยายอบรมผู้พิพากษา ปี 2499 ณ ห้องบรรยาย ของเนติบัณฑิตยสภา 4 พฤษภาคม 2499 นภชลที่อารมณ์เริ่มเย็นลงแล้ว จึงหยิบหนังสือมาค่อยๆเปิดอ่าน...

ที่ว่ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น
ถ้ากล่าวตามหลักแห่งพระพุทธศาสนาแล้ว
ก็คือรู้ว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่ประกอบอยู่ด้วยลักษณะอันเรียกว่า
ไตรลักษณ์ หรือลักษณะ ๓ ประการ.

อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง
มีความหมายว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงประเภทที่เป็นสังขาร
คือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งนั้น
มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีความคงที่ตายตัว
ทุกขัง แปลว่า เป็นทุกข์
มีความหมายว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงประเภทสังขาร มีลักษณะที่เป็นทุกข์ มองดูแล้ว น่าสังเวชใจ
นำให้เกิดความทุกข์ใจแก่ผู้มีความเห็นแจ่มแจ้งในสิ่งนั้น ๆ
อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่ตัวตน
มีความหมายว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งประเภทที่เป็นสังขารและมิใช่สังขาร
ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน
ถ้าเราเห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนถูกต้องแล้ว
ความรู้สึกที่ว่าไม่มีตัวไม่มีตน จะเกิดขึ้นมาเองในสิ่งทั้งปวง
แต่ที่เราไปหลงเห็น หรือหลงสำคัญว่าเป็นตัวเป็นตนนั้น
เพราะความไม่รู้ไม่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นเอง
ขอให้ทราบว่าลักษณะ ๓ ประการ คือ อนิจจัง ทุกขัง นัตตา นี้
เป็นคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมากที่สุด...

"ยัยเนย อ้าวอ่านอยู่เหรอ พอดีเลย พี่กำลังจะมาบอกว่า ถ้าอ่านแล้วต้องทำความเข้าใจตามด้วยนะจ๊ะ ถึงจะได้ผล" พี่สาวแสนดียักคิ้วให้ก่อนเดินจากไป นภชลหันมาอ่านต่อ

แปลกจริงๆ เธอรู้สึกเย็นลงได้ด้วยบทความของท่านพุทธทาสฯ ในหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ พอพิจารณาตามความในนั้น นั่นสินะ

ไม่มีอะไรเป็นของเราเลยสักอย่าง แม้แต่เสื้อผ้าหน้าผม เราบังคับอะไรไม่ได้เลย ของเล่นสมัยเด็กที่เรารักมากมาย ณ ตอนนี้ก็พังหายไปไหนแล้วไม่รู้

เธอจำได้ เธอมีตุ๊กตาน้องหมาที่น่ารักตัวหนึ่ง เธอรักมันมากเพราะแม่ซื้อให้ แต่เพราะทะเลาะกับพี่เนตร ดึงทึ้งกันไปมาจนหัวขาดออกจากตัว เธอร้องไห้ แม่ก็เอาไปเย็บซ่อมให้ แต่มันก็ไม่น่ารักเหมือนเดิมแล้ว เธอก็ไม่ได้สนใจมันอีกจนมันหายไปเมื่อไรเธอก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ

ไหนจะเสื้อตัวใหม่ที่ยังไม่ได้ใส่เพราะเมื่อสองวันก่อน เธอสะเพร่ารีดเสื้อแต่ลืมดูกำลังไฟของเตารีด จนทำให้เสื้อไหม้เป็นรอยดำ ที่แค่พอจับผ้าก็ร่วงผล็อยละเอียดเป็นรูแหว่ง ถึงแม้จะเสียดายแต่เธอก็จำต้องทิ้งมันไป

แล้วยังอีกหลายๆสิ่งในชีวิตที่เธอไม่สามารถบังคับ หรือสั่งกะเกณฑ์ให้สิ่งเหล่านั้นอยู่กับเธอได้ตลอดกาล แค่นี้เองหรอชีวิต นี่คือธรรมชาติที่เป็นธรรมดาของชีวิตที่เธอไม่เคยมองเห็น แล้วนับประสาอะไรกับจิตใจ ความรู้สึกนึกคิดของต้นไผ่กันเล่า เธอจะไปกะเกณฑ์อะไรเขาได้

อยู่ดีๆ นภชลก็ยิ้มออกมาได้อย่างแท้จริง เธอกอดหนังสือไว้แล้วเดินไปที่ห้องพระ จัดท่านั่งเรียบร้อยก็ก้มลงกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจิตที่เบิกบาน

"ไงเรา... ท่าทางจะไปได้สวยนะเนี่ย" นภเนตรคลานเข้ามานั่งใกล้ๆน้องสาว แล้วก็ก้มลงกราบพระ
"ทำไมพี่เนตรไม่ให้เนยอ่านตั้งแต่แรกเนี่ย" นภชลกระเซ้าพี่สาว เล่นเอานภเนตรเหวอไปทันที
"เอ้า ก็พี่บอกแล้ว มีอะไรปรึกษากันได้ แต่ไม่เห็นปรึกษาสักที พี่เลยเสนอตัวเอง แล้วโอปะหละ" นภชลหัวเราะร่วนแทนคำตอบ
"แล้วพี่เนตรรู้ได้ไง ว่าเนยเป็นอะไร" น้องสาวอดสงสัยไม่ได้ นภเนตรอมยิ้ม
"แหมๆๆๆๆ อาการอย่างนี้ดูไม่ยากหรอก เพราะพี่เองก็ต้องเคยมีบ้างสิ ความรักอะไรเนี่ย อีกอย่างพี่สาวเราคนนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่มากมายนะจ๊ะ" คำตอบนี้ทำให้นภชลหัวเราะร่วนอีกครั้ง
"งั้นเนยขอยืมก่อนนะ จะอ่านต่ออีกรอบน่ะ" นภเนตรขยี้หัวน้องสาวอย่างเอ็นดู
"เอาไปเลยก็ได้ อ่านหลายๆ รอบ ทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดไปเลย แล้วพี่ยังมีอีกหลายเล่ม ดีๆ ทั้งนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าท่าน เดี๋ยวพี่จะหยิบไปให้ที่ห้องนะ รับรองว่าถ้าได้อ่านแล้วเนยจะรู้สึกดีขึ้นมากๆๆๆ กว่าเดิมอีก" สองพี่น้องยิ้มให้กัน แล้วก็หันมากราบพระพร้อมกันอีกที
"โชคดีจังเลยเนอะพี่เนตร ที่เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ ได้พบคำสอนที่ล้ำค่าอย่างนี้" นภชลมองพระพุทธรูปด้วยแววตาเคารพศรัทธายิ่ง
"ใช่เลย... และเมื่อมีโอกาสดีๆอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่ควรปล่อยเวลาให้ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์นะ"

นภชลไม่เคยรู้สึกสบายใจอย่างนี้มาก่อน... นี่สินะ ความสุขที่แท้จริงที่หาได้จากใจเราเอง เพียงแค่เข้าใจ ธรรมชาติ...ที่เป็นธรรมดาของทุกๆชีวิต

ขอขอบคุณ
หนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ คำบรรยายตุลาการิกธรรม ครั้งที่ 2
เรื่อง ไตรลักษณ์
พุทธทาสภิกขุ
บรรยายอบรมผู้พิพากษา ปี 2499 ณ ห้องบรรยาย ของเนติบัณฑิตยสภา
4 พฤษภาคม 2499

...ใบไม้ ต้นหญ้า นภากาศ...