Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๙๙

ดอกไม้ในดวงวิญญาณ (ตอนที่ ๑)

shortstoryโดย ชลนิล



แววตาคู่นั้นว่างเปล่าและแห้งผาก มือที่เปื้อนเลือดยกขึ้นมาแตะริมฝีปากเบาๆ จากนั้นหล่อนจึงเริ่มยิ้ม...ยิ้มทั้งๆ ที่ไม่มีความรื่นรมย์แม้แต่น้อย

เลือดมาจากร่างที่ถูกซ้อมจนยับเยิน ใบหน้าบวมปูดดูไม่เป็นสารรูป เสื้อผ้าแดงฉานด้วยสีเลือด และลมหายใจ...ขาดหายไปนานแล้ว...

...หล่อนมาช่วยคนรักไม่ทัน...

หญิงสาวทำได้เพียงคุกเข่าลงข้างกาย น้ำตาไม่มีสักหยด มือประคองใบหน้าเขาขึ้นมา ปลายนิ้วเช็ดเลือดจากริมฝีปากของเขา แล้วเงยหน้ามองชายที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ยกมือขึ้นซับเลือดนั้นไว้ เสมือนเป็นการผูกพันชีวิตและวิญญาณร่วมกัน

รอยยิ้มจากใบหน้าชาด้านของหล่อนผุดขึ้น นัยน์ตายังแห้ง ไร้ความรู้สึกดังเดิม ริมฝีปากที่ซับเลือดชายคนรักขยับช้าๆ

พ่อ ชายที่สั่งฆ่าคนรักหล่อนคือบิดาตนเอง ต่อให้พ่อฆ่าเขาตาย พ่อก็จะไม่มีวันแยกเราออกจากกันได้...ไม่มีวัน

น้ำเสียงราบเรียบจนน่าสะพรึงกลัว ร่างโปร่งบางลุกขึ้นยืนดังคนที่ตัดสินใจได้ ขาทั้งสองก้าวออกไปช้าๆ โดยที่ลำคอยังตั้งตรง

ผู้เป็นพ่อได้แต่มองตามเงาหลังของลูกสาวด้วยความร้าวราน...เขาทำผิดหรือถูก?

ท่านครับ เสียงเบาอย่างเกรงใจดังขึ้น ชายกลางคนขยับตัวจากท่าเอนพิงพนักเก้าอี้ ดวงตาซีดโรยลืมขึ้นมองชายหนุ่มในชุดสูทที่ก้มตัวเรียก

รถพร้อมแล้วครับ คำพูดสุภาพแฝงความยำเกรง

ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนอย่างสง่า สาวเท้านำลูกสมุนโดยไม่พูดจาอะไร
เมื่อเข้ามานั่งในรถ
ท่าน จึงเอนหลังและสั่งเบาๆ

ไปได้

หากเป็นปกติ เขาจะหลับตาพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมรับงานที่จะมาถึง ปล่อยให้ลูกน้องคอยระแวดระวังภัยให้

แต่คราวนี้เขากลับลืมตามองไปข้างหน้า ราวกับกลัวภาพที่อยู่เบื้องหลังเปลือกตา

ใช่...เขากลัว เพราะยามหลับตาคราใดจะมองเห็นภาพดวงตาที่ว่างเปล่าและแห้งผากของลูกสาว ริมฝีปากที่แต้มรอยเลือด และรอยยิ้มที่บอกถึงความเจ็บช้ำ ปวดร้าว

เขาทำผิดหรือถูก ที่ต้องการให้แพรตะวัน ลูกสาวเขาแต่งงานกับคนดี มีหน้าตาในสังคม...เขาทำผิดหรือถูก ที่สั่งฆ่าคนรักผู้ต่ำต้อยของแพรตะวัน...และสุดท้าย เขาทำผิดหรือถูก...ที่ไม่เฉลียวใจในสิ่งที่หล่อนกระทำ

เขาเคยคิดว่าแพรตะวันจะร้องไห้ฟูมฟาย คร่ำครวญอย่างปวดร้าวต่อการตายของชายคนรัก แต่ผิดคาด หล่อนเพียงเดินจากเขาไปด้วยเงาหลังอันอ้างว้าง...เข้าบ้าน ปิดประตูขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมกินอาหาร ไม่ยอมเปิดรับใคร

ทุกครั้งที่เขาเคาะประตู ขอร้องให้หล่อนกินอาหารบ้าง ผลคือมีเสียงตอบออกมาคำเดียวว่า...

ไม่

คำว่า ไม่ เขาได้ยินถึงสามวัน จนกระทั่งวันที่สี่ ด้วยความเป็นห่วง เขาจึงให้ลูกน้องงัดประตูห้อง และภาพที่อยู่เบื้องหลังประตูก็แทบทำให้หัวใจเขาแตกสลาย

ห้องของแพรตะวันดารดาษไปด้วยนกกระดาษพับสีขาว เจ้าของห้องนอนเหยียดยาวอย่างสงบอยู่บนเตียง เส้นผมที่เคยดำขลับกลับขาวโพลน ใบหน้าที่เคยสดใสดูซูบเซียว และลมหายใจ ได้ลาลับแล้ว...

นายแพทย์ที่มาตรวจศพสันนิษฐานว่า แพรตะวันเสียชีวิตไม่ต่ำกว่าสองวัน
!

รถติดไฟแดงตรงสี่แยก เสียงโทรศัพท์ในรถดังขึ้น ลูกน้องที่อยู่ด้านหน้ารับสายและยื่นมาให้เขา

จากคุณเชวงครับ
เขารับมาอย่างเนือยๆ
ว่ายังไง คำพูดเรียบๆ ไม่ห้วน แต่ไม่มีหางเสียง
เราเปลี่ยนจุดนัดพบแล้วนะ

งั้นหรือ เสียงตอบรับอย่างไม่รู้สึกแปลกใจ
จากจุดนัดพบเดิม เราเปลี่ยนสถานที่เป็น... จุดนัดพบใหม่อยู่คนละทางกับที่เดิม
แล้วผมจะไปทันหรือ น้ำเสียงกึ่งตำหนิกึ่งรำคาญ

ทันแน่ เราคำนวณเวลาของทุกคนแล้ว คำพูดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงพูดเบาๆ ตามมา คุณอย่าลืมสิว่านี่เป็นการส่งของระดับบิ๊ก เอเย่นต์ใหญ่ๆ มากันหมด เราต้องระวังป้องกันอย่างเข้มงวด

เรื่องที่จะบอกมีเท่านี้ใช่ไหม เขาตัดบท
เท่านี้แหละ พวกเรารอคุณอยู่นะ

เขาวางหูโทรศัพท์ ลูกน้องข้างหน้าหันมามองรอรับคำสั่ง

ย้ายสถานที่นัดพบแล้ว... เขาพูดพร้อมบอกที่หมายใหม่สั้นๆ
ครับ

นอกจากนี้ไม่มีคำพูดใดออกมา ผู้ทรงอำนาจเอนหลังอีกครั้ง ผ่อนลมหายใจแผ่วเบา...ชั่วชีวิตเขามีของรักเพียงสองสิ่ง...เมียและลูก แต่ทั้งสองต่างทยอยจากเขาอย่างไม่มีวันกลับ ชีวิตที่เหลือของเขาแทบไม่มีความหมาย หากแต่ฉากหน้าในสังคมและงานที่ไม่อาจเปิดเผยผูกมัดไว้ ทำให้เขาต้องดำเนินชีวิตต่อไป เฉกคนขี่หลังเสือ...

ต่อให้ใครตายไป แต่
ธุรกิจ ยังต้องดำเนิน เขาจะหยุดหรือรามือไม่ได้...

รุ่งเช้าหลังจากนำศพแพรตะวันส่งวัด เขาต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องอันหนวกหูของอีกา

กา...ก๊า...กา...ก๊า...

ท่านคะท่าน ออกมาดูอะไรนี่เร็ว... เสียงของแม่บ้านร้อนรน

เมื่อยืนอยู่กลางสนามหน้าบ้าน เขามองเห็นอีกามากมายบินว่อน บ้างก็เกาะบนหลังคาบ้าน ส่งเสียงร้อง กา ก๊า ดังลั่น

อีกาเหล่านั้นมีสีขาวสะอาด มันขาวไม่ผิดกับสีนกกระดาษในห้องของแพรตะวัน เขาได้แต่ยืนตะลึงโดยพูดอะไรไม่ออก

ล่วงเข้ายามสาย อีกาขาวเหล่านั้นจึงทยอยบินหายไป...

คืนวันเผาแพรตะวัน เขากลับบ้านดึก มีลูกน้องคนสนิทติดตามคอยรับใช้อยู่คนเดียว...มันเป็นคืนที่เขาอยากอยู่กับตัวเอง จึงไล่ลูกน้องให้ไปนอน แล้วมานั่งจมอยู่กับความคิดจนดึกดื่น

เข็มนาฬิกาเดินช้าๆ ราวกับเวลารอบตัวจะไหลเอื่อยๆ เขาไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่เมื่อแว่วเสียงกระซิบกระซาบมาจากรอบๆ ห้อง พอตื่นจากภวังค์ เหลียวมองหาต้นเสียงก็พบเพียงผนังโล่งๆ

เสียงกระซิบดังอื้ออึงขึ้นเรื่อยๆ มีบางเสียงที่เขาจดจำได้ว่า...เป็นเสียงของคนที่ตายไปแล้ว...

คราวนี้มันไม่ใช่เสียงกระซิบแล้ว ความดังของมันไม่ต่างจากตลาดสดแห่งหนึ่ง เขาไม่อาจจับใจความของเสียงพวกนี้ได้ แต่รู้ว่า มันมีทั้งเสียงของคนที่เคยเป็นเพื่อนฝูงสมัยก่อน ศัตรู และคนที่เขาเคยสั่งฆ่า...เสียงเหล่านี้กำลังสาปแช่งเขา

นกกระดาษพับสีขาวกำลังผุดออกมาจากผนังทีละตัวๆ ฝูงนกกระดาษที่เขาเคยเห็นอยู่ข้างศพแพรตะวัน มันมีชีวิตและบินว่อนอย่างสุขสม เบิกบานเต็มห้อง

พวกมันไม่ส่งเสียงในขณะที่เสียงอื้ออึงไร้ที่มาค่อยซาลง จนเข้าสู่ความเงียบ ทั้งห้องเงียบกริบ เขายืนเคว้ง หมุนตัวมองนกกระดาษด้วยความหวั่นใจ และแล้วกลางฝูงนกก็ปรากฏร่างสองร่างก่อตัวขึ้นช้าๆ

หนึ่งหญิง หนึ่งชาย

ลูก เขาพึมพำ หญิงสาวตัวเขียวซีด เส้นผมสีขาวสยายเต็มหลัง ใบหน้าแข็งทื่อ ด้านชาไร้ความรู้สึก หล่อนเอียงคอน้อยๆ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา...มันเป็นรอยยิ้มเดียวกับที่เขาเห็นในคืนนั้น

ชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้างมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากผ้าขี้ริ้วที่ถูกย่ำยี ใบหน้าบวมปูดเหลืองซีด นัยน์ตาค้างเหลือกเห็นแต่ตาขาว ทั้งร่างน่วมเขียวเป็นจ้ำๆ เสื้อผ้าโชกแดงด้วยเลือด

ทั้งคู่ขยับเข้าหาเขาอย่างช้าๆ เต็มไปด้วยอาการคุกคาม เขาถอยกรูดจนติดผนัง สองซากศพที่ถูกล้อมด้วยฝูงนกกระดาษหยุดยืนห่างจากเขาไม่ถึงเมตร เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เหงื่อแห่งความหวาดกลัวชุ่มโชกเต็มหลัง

นี่ไง ชายหนุ่มตรงหน้าขยับปากพูด มองเห็นถึงฟันที่แหว่งวิ่น ผลงานของแก

คอของมันเอียงลงช้าๆ ไม่ยอมหยุด เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมา ลำคอหักพับห้องร่องแร่งต่อหน้า

เลือด! มือของพ่อเปื้อนเลือดมากเกินไป เสียงของแพรตะวันดังขึ้นขณะที่ริมฝีปากของหล่อนกำลังแดงสด สีแดงมาจากเลือดที่ไหลย้อยผ่านดวงตาทั้งคู่ อาบใบหน้าเขียวเทา ชโลมริมฝีปาก และรินรดทั่วร่าง

ไม่...ลูก...ไม่ใช่ ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวไปกว่าเห็นลูกกำลังจะตายอีกครั้ง

นกกระดาษไม่ใช่สีขาวอีกต่อไปแล้ว ทุกตัวกลายเป็นสีแดง เลือดสีแดงชุ่มโชกนกทุกตัว สะเก็ดสายเลือดพร่างพรูจากฝูงนกลงมาดั่งสายฝน...ห้องของเขาแดงเถือกไปด้วยเลือด

ถ้าเอาเลือดของคนที่พ่อฆ่า มาเทไว้ในห้องนี้ทุกคน รับรองได้ว่ามันต้องล้นออกไปถึงสนามแน่...พ่อฆ่าคนมากเกินไปแล้ว เสียงของแพรตะวันดังเป็นครั้งสุดท้าย

แล้วความเงียบ ความมืด ความหวาดกลัว และความปวดร้าวก็ครอบคลุมเขาไว้อย่างแน่นหนา เขาไม่มีทางหลุดรอดได้

เสียงถอนใจของ
ท่าน ทำให้คนขับรถและชายหนุ่มด้านหน้ารีบหันกลับมาดู

ขออภัยครับท่าน เส้นทางนี้รถค่อนข้างติดสักหน่อย คนขับรถตีความเสียงถอนใจนั้นเป็นอาการรีบเร่ง

ถึงรถติดอย่างนี้ เราก็ไปทันครับท่าน ยิ่งถ้าเราเลี้ยวเข้าซอยทางลัด เราก็จะไปได้ก่อนเวลาด้วยซ้ำ คนสนิทเสริมขึ้น

สายตาของ
ท่าน มองผ่านคนขับรถและคนสนิทออกไปไกลแสนไกล...ไกลเกินกว่าขบวนรถที่ติดกันเป็นสายยาวเหยียด...ไกลเกินกว่าสัญญาณไฟแดง...ไกลจนเจ้าตัวจำไม่ได้ว่านานเพียงไร

จากเด็กหนุ่มผู้เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย ยอมทำงานทุกอย่าง จนหลุดเข้าสู่แวดวงนอกกฎหมาย ใช้สติปัญญา ความสามารถทั้งมวลไต่ขึ้นมาจนถึงระดับสูงสุด

ตลอดชีวิตที่ฝ่าฟัน ต้องใช้ศพผู้คนมากมายเป็นบันไดไต่ปีน ต้องหักหลังผู้คนรอบข้าง ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดกว่าจะมาถึงวันนี้ได้...วิญญาณของแพรตะวันพูดถูก
พ่อฆ่าคนมากเกินไปแล้ว

เหตุการณ์ที่เขาเห็นในคืนที่เผาลูกสาว เป็นเสมือนกึ่งจริง กึ่งฝันยากแยกแยะ และในวันต่อมา เขาก็นิมนต์พระมาทำบุญบ้าน เพื่อให้เกิดความสบายใจ แต่ทว่า กลิ่นคาวเลือดในคืนนั้นยังไม่หายไปจากจมูก

เขาฆ่าคนมามากจริงๆ มากจนไม่มีสิ่งใดกลบกลิ่นคาวเลือดไปได้...โดยเฉพาะ หนึ่งในเหยื่อเหล่านั้น คือลูกสาวที่เขารักดั่งดวงใจ

เลี้ยวเข้าซอยเลยก็ได้ เสียงเบาๆ แต่หนักแน่นของเขาทำให้คนขับรถเกือบสะดุ้ง

รถยนต์ราคาแพงเริ่มขยับหาทางออกจากถนนสายหลักที่คลาคล่ำด้วยรถ สู่เส้นทางซอยเล็กๆ ที่จะพาไปสู่จุดหมายได้เร็วกว่า

ไปให้ถึงเร็วสักหน่อยก็ดี ไม่งั้นจะจวนเจียนเกินไป

เขาพูดอย่างคนรู้ คืนนี้จะเป็นการรวมพลของหัวหน้าใหญ่ และเอเย่นต์หลักในแต่ละสาขา นอกจากจะมีการแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาลแล้ว ก็ยังมีการประชุมวางแผน จัดระบบในการดำเนินงานแบบใหม่ให้คล่องตัว และหลบหลีกจากสายตาตำรวจได้ดีขึ้น

ฉะนั้น สถานที่นัดพบครั้งนี้จึงเป็นความลับสุดยอด มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กระทั่งนัดหมายเป็นมั่นเหมาะ ขับรถออกมาแล้ว ยังมีการเปลี่ยนอย่างกะทันหันได้

ที่ทำไปทั้งหมดเพื่อกันสายของตำรวจ เพราะหากข่าวนี้รั่วไหลถึงหูผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ รับรองได้ว่า วันพรุ่งนี้จะมีพาดหัวข่าวใหญ่ การจับกุมผู้นำการค้ายาเสพติดระดับบิ๊ก เกือบหมดทั้งวงการ...

ซอยที่เข้ามาลดเลี้ยว แคบเล็ก บางช่วงรถยนต์ขนาดใหญ๋สองคันยังสวนกันแทบไม่ได้ บางตอนก็มือสนิท ไม่มีไฟตามริมทาง และบางครั้ง ก็ผ่านบ้านที่มืดมิด วังเวง

อีกไม่ไกลก็จะถึงแล้วครับท่าน

คนขับรถพูดขึ้นขณะขับผ่านสี่แยกเล็กๆ ตรงเข้าสู่ตรอกมืดๆ ข้างหน้าเป็นสะพานข้ามคลอง ที่อนุญาตให้รถผ่านได้ทีละคันบนสะพานจะมีเด็กคอยโบกรถให้ขึ้น ไม่ก็ให้รอ

ตัวสะพานโค้ง ค่อนข้างชัน เขามองเห็นเงาดำๆ ของเด็กผู้หญิงโบกให้รถผ่านไปได้ คนขับรถไม่รอช้าที่จะพารถขึ้นไปทันที

กึก เมื่อถึงบนยอดสะพาน รถปะทะกับสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นทำให้หยุดชะงัก ไฟหน้าดับ เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิท

มีอะไร ความที่ผ่านอันตรายมาไม่น้อย จึงควบคุมสติได้

ทว่า ไม่มีคำตอบจากคนขับรถ ไม่มีเสียงพูดจากชายหนุ่มคนสนิท...
เขาชะโงกหน้าไปดูคนทั้งสอง แล้วหนาววูบลงสู่หัวใจ

แสงรำไรจากภายนอก ส่องให้เห็นใบหน้าซีดเผือด ขาวโพลน นัยน์ตาทั้งคู่แข็งค้าง เบิกโพลงเหมือนหุ่น

เป็นอะไรไปวะ เขาถามพลางสะกิดต้นแขนคนขับรถเบาๆ แล้วต้องกระตุกมือกลับทันที

...มันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง...

หน้ากระจกรถมองเห็นแต่ความมืด ยิ่งเหลียวมองยิ่งพบกับความวังเวง รถยังอยู่บนยอดสะพาน แต่บรรยากาศมันผิดจากเดิมไปแล้ว

เขาหันมองกระจกด้านข้างตนเอง...

เฮ้ย... เขาอุทานอย่างตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าขาวโพลนของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังมองเขาผ่านกระจกใส

แววตาของเด็กคนนั้นทื่อ นิ่ง เหมือนไร้ความรู้สึก...รอยยิ้มที่ปราศจากความหมายผุดขึ้น

แกร้ก...ประตูรถเปิดออก เขาขยับตัวหนี ใบหน้าของเด็กหญิงหายไปชั่วครู่ ละอองไอของหมอกขาวลอยเข้ามาในรถ เขาจ้องมองความว่างเปล่านอกประตูด้วยใจสับสน นึกอยากลองไปดูให้รู้เรื่อง แต่ความกลัวฉุดรั้งเขาไว้

ลงมาสิคะ เสียงของเด็กผู้หญิงดังก่อนที่เจ้าตัวจะเดินช้าๆ มายืนตรงหน้าประตู

เขากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เด็กคนนั้นแต่งชุดนักเรียนผูกคอซองสีมอๆ ดูท่าทางไม่ผิดจากลูกชาวบ้านทั่วไป แต่ท่าทางแข็งๆ ทื่อๆ น้ำเสียงแปร่งแปลก ทำให้เขานึกหวั่นชนิดที่ไม่เคยเจอมาก่อน

คุณลุงกลัวหนูหรือคะ ประโยคแห่งคำพูดเหมือนการท้าทาย แต่น้ำเสียงแข็ง เรียบ ทำให้ยากจะตีความหมายเป็นเช่นนั้น

เขาขยับตัวลง...อายุขนาดเขาใช่ว่าจะถูกหลอกให้หลงกลยั่วยุได้ง่ายๆ แต่คำพูดนั้น...เหมือนเป็นการออกคำสั่งกลายๆ เขาไม่อาจขัดขืน

เมื่อยืนอยู่นอกรถ เขาจึงรู้ว่าอากาศข้างนอกหนาวจัด มันหนาวราวกับอยู่ท่ามกลางกองน้ำแข็ง...

บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ในเงาตะคุ่มๆ...เด็กหญิงคนนั้นเดินหายไปโดยไม่สนใจเขา ทำเหมือนกับว่า ตนเองได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อไปอีก

เขาคิดจะเดินตามเด็ไป แต่ก็เปลี่ยนใจ เดินช้าๆ ไปยืนเกาะราวสะพาน ชะโงกหน้ามองยังเบื้องล่าง เห็นหมอกขาวไหลเอื่อยๆ ดั่งเป็นลำน้ำสายพิเศษ สองข้างตลิ่งมีบ้านเรือนตั้งอยู่ห่างๆ เรียงรายในความมืด และไกลจนสุดสายน้ำดวงจันทร์กลมโตสุกวาวกำลังลอยขึ้นมา

ท่าน เสียงเรียกเบาๆ ดังจากเบื้องหลัง

เขาหันกลับแล้วต้องตะลึงค้าง...นี่เป็นบุคคลที่เขาชิงชังที่สุด คนรักของแพรตะวัน...

ชายหนุ่มมาในสภาพร่างกายบอบช้ำ ยับเยิน ไม่ผิดจากวันที่ถูกซ้อมจนตาย เลือดสดๆ ยังไหลย้อยจากมุมปาก เลือดที่แพรตะวันซับคืนด้วยชีวิต

ไปกับผม เสียงพูดแหบพร่า

ไม่ เขาตอบโดยที่ขาเริ่มสั่น เบื้องหลังบุคคลที่เขาชัง เป็นฝูงนกกระดาษขาวบินว่อน ส่งเสียงร้องแปลกหู พวกมันค่อยๆ ร่อนลงสู่พื้นแล้วแปรสภาพเป็นมนุษย์อย่างช้าๆ

หนึ่งคน สองคน สามคน...เขาไม่รู้ว่ามีจำนวนคนเท่าไหร่ เดินมาสมทบอยู่เบื้องหลังชายคนรักของแพรตะวัน แต่ที่เขารู้อย่างชัดเจนคือ ทุกคนตายเพราะเขา...

กูรอมึงมานานแล้ว
คืนชีวิตกูมา
แกฆ่าเพื่อนได้ยังไง

พวกนั้นส่งเสียงดังอื้ออึงพร้อมกับดาหน้าเข้ามาหาเขา

ไม่...ไม่...อย่า... เขาถอยหลังจนติดสะพาน

ผู้คนที่เคยมีชีวิต เคยรู้จักกับเขา บางคนเป็นถึงเพื่อนสนิทต่างย่างสามขุมเข้ามาด้วยท่าทีประสงค์ร้าย ใบหน้าทุกคนซีดขาวไม่มีสีสัน แต่ละเสียงแหบแห้งเหมือนได้เผชิญความทุกข์ ความเจ็บปวดอย่างหนักมา

เอาชีวิตมึงมา...กูขอชีวิตมึง

ทุกเสียงเร่งร้อง ทุกร่างเคลื่อนใกล้เข้ามาหาเขาทีละน้อยๆ จนห่างกันแค่มือเอื้อม

หลังเขาติดราวสะพาน ไม่มีทางให้หลบ ใบหน้าตายซากนับสิบลอยสลอนเต็มไปหมด เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว...

ตูม

เพียงแค่ดันตัวขึ้น และพลิกร่างลงไป ตัวเขาก็ลอยละลิ่วสู่พื้นน้ำเบื้องล่าง ความเย็นจับกระดูกแล่นสู่ความรู้สึก...เขากำลังจะตายจริงๆ หน้าอกแน่น อึดอัด ไม่อาจสูดลมหายใจเข้าไปได้ ร่างจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าก้นน้ำอยู่ที่ไหน

ชั่วเวลาแห่งความตาย เขาเริ่มคิด...ชีวิตเขาชีวิตเดียว ชดใช้ชีวิตคนนับสิบเช่นนั้นนับว่าคุ้มค่า หากแต่มีชีวิตเดียวที่เขาชดใช้ให้อย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเพียงพอ...

...ชีวิตของแพรตะวัน...

เขาเคยสัญญากับผู้หญิงคนหนึ่งว่า...ตลอดชีวิต เขาจะไม่ยอมทำให้เธอผิดหวัง และชั่วชีวิตของหล่อน เขาก็ทำได้เช่นนั้นจริงๆ เขาไม่เคยทำให้เมียรักต้องผิดหวัง...หล่อนเป็นดอกไม้ในกลางดวงใจดอกเดียว ที่เบ่งบานท่ามกลางคาวเลือดและควันปืน หล่อนให้ลูกสาวที่แสนสวยแก่เขา และก่อนตายหล่อนยังฝากฝัง


ดูแลแกให้ดีที่สุดนะคะ

เขาทำตามสัญญาโดยไม่บิดพลิ้ว แต่ทว่า ดีที่สุด ในความคิดของเขากลับไม่ใช่สิ่งที่ลูกต้องการ ลูกต้องการอิสระ ต้องการรักผู้ชายที่หัวใจตนเองเรียกร้อง แต่เขากลับกีดขวางโดยคิดว่า...นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับลูก...

และกว่าที่เขาจะรู้ว่าตนเองคิดผิด เขาก็ต้องสูญเสียลูกไปอย่างไม่มีวันเรียกคืน

ถ้าจะถามว่า...เขาเคยทำให้เมียรักต้องผิดหวังบ้างไหม...คำตอบคือเคย...ก็เรื่องนี้ไงล่ะ...

เรื่องที่ต่อให้เอาชีวิตเขาทั้งชีวิต เพื่อชดใช้ความผิดที่ทำลงไป มันก็ไม่อาจลบล้างบาปในใจลงไปได้ ไม่อาจนำชีวิตของแพรตะวันคืนมา

เขากำลังจะตาย...ใช่ ร่างกายเขาไม่อาจขยับเขยื้อน ไม่อาจมีความรู้สึกได้อีก แต่ในขณะนั้น เขากลับได้กลิ่นหอมรวยรินแตะจมูก เขามองเห็นทางสายดอกไม้ทางหนึ่งทอดยาวและดึงเขาให้ลอยสูงขึ้น สู่ความเวิ้งว้างเบื้องบน

ท้องฟ้ายังมืดมน ดวงจันทร์ลอยสูงเหนือหัว สาดแสงสีนวลลงมาทำให้เขาได้เห็นใบหน้าที่ก้มลงมองเขาอยู่ใกล้ๆ

แพร เขาอุทานพร้อมกับเหลียวมองไปรอบๆ

(อ่านต่อฉบับหน้า)


--------------------------------------------------------------------------------

ดอกไม้ในดวงวิญญาณ เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ “ลางมายา” โดย ชลนิล