Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๙๒

กระจกมะละกอ

shortstoryโดย ชลนิล

?

คุณอยากไปเที่ยวบ้านหนูมั้ยคะ...?

บ้านหนูหาง่ายแต่ต้องเข้าไปในซอยลึกน่าดู บริเวณรอบๆ บ้านก็มีแต่ที่ดินเปล่ากับหญ้ารกสูงท่วมหัว สังเกตง่ายค่ะ ว่าแล้วก็เข้าไปดูในบ้านหนูกันเถอะ

ภายในเนื้อที่สองร้อยกว่าตารางวานี้ป๊าหนูเขาปลูกต้นไม้ไว้เต็มไปหมด ตัวบ้านจึงไม่ค่อยใหญ่โตอะไร หลังบ้านมีแปลงผักสวนครัวกับแนวรั้วต้นกล้วยตานี แถมด้วยต้นมะละกอโบราณสูงใหญ่ท่วมหัวออกลูกพราว

ถ้าคุณคิดว่าหนูจะเล่าเรื่อง "บ้านเราแสนสุขใจ" ล่ะก็...ผิดถนัดค่ะ เพราะเรื่องที่คุณจะอ่านต่อไปนี้ มันแทบไม่เกี่ยวกับบ้านหรือผักสวนครัวหลังบ้านหนูเลย...

"อะไรนะลุง...ป๊ากับแม่เอาแอปเปิ้ลของหนูไปไหว้เจ้าหมดเลยหรือ"

ค่ะ...เรื่องมันเริ่มจากตอนสาย เมื่อหนูตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอแอปเปิ้ลสักลูก

"ครับ..." ลุงสมศักดิ์ลูกจ้างป๊าหนูตอบสั้นๆ

"สิบกิโลเชียวนะลุง" หนูแทบตาเหลือก เพราะเงินที่มี หนูทุ่มซื้อแอปเปิ้ลจนหมดแล้ว

"ครับ" แกตอบสั้นๆ ตามเคย
"ไม่เหลือสักลูก"
"ครับ"

ฟังแล้วหนูอยากเปลี่ยนชื่อจากลุงสมศักดิ์เป็นลุงคับ (ไม่หลวม) เสียจริงๆ

วันนี้ครอบครัวหนูพากันไปไหว้บรรพบุรุษแต่เช้า กว่าจะกลับก็พรุ่งนี้ หนูต้องหาเรื่องแก้ตัวสารพัดเพื่อจะไม่ต้องตามไปด้วย

...หนูจะตามไปได้อย่างไร ในเมื่อคืนนี้หนูมีเรื่องสำคัญต้องทำ...

แต่แผนการของหนูต้องล้มครืนหมด เพราะพ่อกับแม่เอาของสำคัญใน "พิธี" ของหนูไปเสียแล้ว

"คุณจะเอาแอปเปิ้ลไปทำอะไรครับ" ลุงสมศักดิ์ถามอย่างเห็นใจ
"ไปปอก...สลักทำการฝีมือ" หนูโกหกส่งๆ ไป
"สิบกิโลเชียวหรือครับ" ลุงสมศักดิ์กลับฉลาดขึ้นมาอีก

หนูเงียบ คิดหาหนทาง

"ผมเคยเห็นเขาสลักแต่แตงกวา" พอหนูเงียบแกก็พยายามพูด
"นั่นมันเด็กๆ" หนูตอบสะบัดๆ "นี่เป็นการฝีมือชั้นสูง"
"เอางี้สิครับ" ลุงสมศักดิ์เสนอทางเลือก...หนูเริ่มสนใจ

"ใช้มะละกอแทนก็ได้ หลังบ้านเรามีออกให้ครืด"

"บ้าๆ ๆ ลุงสมศักดิ์...ไปไกลๆ เลยนะ ไปไหนก็ไป...โธ่เอ๊ย มันใช้แทนกันได้ที่ไหน" หนูอาละวาด ลุงสมศักดิ์หายหน้าไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากพายุอาละวาดของหนูสงบลง สมองก็ครุ่นคิดหาหนทาง...คุณคงคิดแปลกใจสิคะ ว่าหนูจะเอาแอปเปิ้ลมาทำอะไร?

...หนูเอาไปปอกเปลือกจริงๆ นั่นแหละค่ะ...แต่ไม่ได้แกะสลักทำการฝีมือ...

คุณคงเคยได้ยินเรื่องการดูเนื้อคู่มาบ้าง...หนูไม่รู้หรอกว่ามันมีกี่วิธี แต่วิธีที่หนูรู้นั้น...ต้องใช้แอปเปิ้ลค่ะ...

เริ่มจากการจุดธูปไว้กลางบ้าน ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง เสร็จแล้วไปนั่งหน้ากระจกบานใหญ่ ดับไฟให้หมดเหลือเพียงเทียนหน้ากระจกเพียงดวงเดียว จากนั้นก็ค่อยๆ ปอกเปลือกแอปเปิ้ลไปเรื่อยๆ จนหมดลูกอย่าให้เปลือกขาด พอเสร็จแล้วจึงเงยหน้ามองกระจก...ภาพเนื้อคู่ของเราจะปรากฏอยู่ในนั้น...

ฟังดูน่ากลัวและน่าตื่นเต้นจะตาย...

ก่อนหน้านี้ หนูไม่คิดอยากรู้เรื่องเนื้อคู่หรอกค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว รุ่นพี่ที่โรงเรียนมาจีบหนูทีเดียวตั้งสองคน...รูปหล่อและใจดีทั้งคู่ด้วย หนูไม่รู้จะเลือกใครดี ปรึกษาเพื่อนคนไหน มันก็ยุให้หนูคบทั้งสองคน...แต่แหม...ป๊าหนูไม่ได้ทำงานที่การรถไฟเสียด้วย หนูเลยไม่รู้วิธีสับราง...

หนูกลุ้มใจเลือกไม่ถูก จนยายนิ้งเพื่อนสนิทของหนูเล่าเรื่องวิธีดูเนื้อคู่ขึ้นมา ทางตันในหัวใจหนูจึงได้รับการปลดปล่อยทันที...

หนูอุตส่าห์เทเงินจนหมดตัว ซื้อแอปเปิ้ลตั้งสิบกิโลเพื่อใช้ฝึกปอกเปลือกไม่ให้ขาด หาข้ออ้างสารพัดเพื่อจะได้อยู่บ้านคนเดียว แต่แผนการหนูกลับพังทลาย เพราะป๊าคิดว่าหนูซื้อแอปเปิ้ลมาไหว้บรรพบุรุษ

โธ่...ป๊าน่าจะรู้...บรรพบุรุษเรามีมากมายแค่ไหนเชียว หมูเห็ดเป็ดไก่ก็เตรียมไว้แล้ว จะมาเบียดเบียนแอปเปิ้ลหนูทำไม

...ตอนนี้เงินก็หมด แอปเปิ้ลก็ไม่มี หนูจะทำยังไงดี?

ท่ามกลางความตีบตันในสมอง ประตูแห่งแสงสว่างก็แง้มออกมารำไร...

"นิ้งเหรอ นี่ลูกปลาพูดนะ" ...ค่ะ...หนูโทรศัพท์ไปหายายนิ้ง คนต้นคิดเรื่องกระจกเนื้อคู่

"มีอะไรยะ โทร.มาแต่เช้าเชียว" ยายนิ้งตอบมาด้วยเสียงงัวเงีย
"อีกสิบห้านาทีเที่ยงเนี่ยนะ...เช้าของเธอ"

"เออ...มีเรื่องอะไรก็รีบพูด ฉันจะได้นอนต่อ" ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นหนูอาจด่าไปตามสาย แต่สำหรับยายนิ้งหนูยกโทษให้ การได้นอนตื่นสายถึงบ่ายของมัน เป็นความสุขที่สุดในชีวิต เพราะธรรมดามันต้องตื่นแต่ตีสี่ นั่งรถไฟจากอยุธยามาเรียนที่กรุงเทพฯ

"จำเรื่องกระจกเนื้อคู่ที่เธอเล่าให้เราฟังได้มั้ย" หนูรีบเข้าเรื่อง
"กระจกอะไร..." เสียงของมันคล้ายๆ คนละเมอ
"ก็ที่เธอบอกให้ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกตอนเที่ยงคืน แล้วจะพบเนื้อคู่ไง"

"เออๆ แล้วทำไม ลองทำแล้วเหรอ"
"เปล่า...เราจะทำ แต่มันมีปัญหา"
"ปัญหาอะไร"
"เราไม่มีแอปเปิ้ล"

"ก็ไปซื้อเอาสิ" คำตอบของมันปนด้วยความรำคาญ
"เงินหมดแล้ว"
"งั้นก็ทำวันอื่น"
"ไม่ได้ ป๊ากับแม่ไม่อยู่บ้านแค่วันนี้วันเดียว ถ้าทำวันอื่นเดี๋ยวแกรู้"

"งั้นก็ไม่ต้องดู" มันตอบง่ายๆ
"ไม่ได้...แกก็น่าจะรู้ว่าเรากำลังมีปัญหาความรัก" หนูพูดด้วยความรู้สึกภูมิใจ

"เออๆ จะทำยังไงก็ตามใจ" ยายนิ้งทำเสียงคล้ายจะวางหู
"อย่าเพิ่งวางหูนะ นี่ใจคอแกจะไม่ยอมช่วยเพื่อนเชียวเหรอ"
"ช่วยยังไงเล่า" เสียงของมันบอกถึงความรำคาญเต็มแก่
"ถ้าไม่มีแอปเปิ้ลอย่างนี้ เราใช้วิธีอื่นได้มั้ย"

"วิธีอื่นฉันไม่รู้หรอก" ยายนิ้งตอบอย่างหน่ายๆ "แอปเปิ้ลไม่มีก็เอาอย่างอื่นแทนไปสิ"

"อย่าบอกนะว่าให้ฉันใช้มะละกอแทน" หนูนึกถึงข้อเสนอของลุงสมศักดิ์ได้

"เออ...แกจะเอามะละกอหรือมะพร้าวก็ได้" คำพูดของมันฟังดูจริงจัง

"บ้าน่า มันใช้ได้ที่ไหน" หนูแหวขึ้น

"แกรู้ได้ยังไงว่าใช้ไม่ได้" เสียงพูดของมันคราวนี้ไม่มีร่องรอยความงัวเงีย "แกจะเอาอะไรมาปอกก็ได้ สำคัญต้องมีสมาธิ" น้ำเสียงยายนิ้งหนักแน่น น่าเชื่อถือ

"จริงๆ เหรอ" หนูเริ่มลังเล

"จริงสิ แกจะปอกแอปเปิ้ล แตงกวา มะพร้าว หรือมะนาวก็ได้ แต่แกต้องมีสมาธิ ตั้งใจจดจ่อในงานที่ทำ แล้วมันจะเห็นผลเอง"

"แต่จะให้ฉันปอกมะละกอยังไง เปลือกมันถึงจะไม่ขาดล่ะ" นี่แหละปัญหาใหญ่

"โธ่เอ๊ย ยายโง่" มันด่าหนูเข้าให้ "ขาดก็ขาดไปสิ แต่อย่าให้สมาธิเสีย ประคองความตั้งใจเอาไว้ มันก็ได้ผลเหมือนกันแหละ"

"จริงนะ" เสียงหนูอ่อยลง

"ไม่เชื่อก็ตามใจ" ยายนิ้งวางหูโทรศัพท์โครมใหญ่ หนูสะดุ้ง นึกแช่งชักหักกระดูกมันในใจ ก่อนจะครุ่นคิด

...ที่ยายนิ้งพูดมาก็มีเหตุผล น่าเชื่อถือ...ที่สำคัญ ตอนนี้หนูไม่มีทางเลือก เงินหมดแล้ว จะให้ทำอย่างไรได้...หนูตัดสินใจตกทันทีเมื่อเดินไปถึงหลังบ้าน...

เจ้ามะละกอพันปี (ตามความคิดหนู) กำลังออกลูกเต็มต้น หนูแหงนมองจนเมื่อยคอ นับได้ราวยี่สิบลูก...เอาน่า...ต่อให้มะละกอหมดต้น ป๊าคงไม่ว่าหรอก...ขืนว่าสิ หนูจะทวงค่าแอปเปิ้ลให้อานเลย...

ก็ราคาแอปเปิ้ลกับมะละกอน่ะ มันเท่ากันเสียที่ไหน

อีกสิบนาทีจะเที่ยงคืน

นิ้วมือหนูถูกพันด้วยพลาสเตอร์ไปสามสี่นิ้ว...นี่แหละผลของการฝึกปอกมะละกอโดยไม่ให้เปลือกขาด!

ขณะนี้ทุกอย่างพร้อม...

บ้านทั้งหลังเงียบสงัด ลุงสมศักดิ์กลับไปที่บ้านท้ายซอยตั้งแต่เย็น เช้าๆ ถึงจะแวะมาอีกที...ความมืดกางปีกคลุมอาณาเขตบ้าน มีเพียงแสงจันทร์ซีดๆ จากนอกบ้านที่ส่องเข้ามาพอให้เห็นสิ่งต่างๆ เพียงรางๆ

หนูนั่งอยู่บนเตียง หัวใจเต้นตึกตัก ระรัวจนไม่เป็นจังหวะ นาฬิกาบนหัวเตียงเดินดังติ๊ก ติ๊กๆ ๆ นอกหน้าต่างหนูได้ยินเสียงลมพัดอู้ๆ...น่าแปลกที่คืนนี้เสียงต่างๆ มันดังชัดเจนเสียเหลือเกิน

หนูยกมือกดตรงหัวใจพยายามระงับความตื่นกลัว ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ ซากๆ ว่าอย่ากลัว อย่ากลัวๆ ๆ ไม่มีอะไรหรอก...แต่...มันจะไม่มีอะไรแน่หรือ...?

ไม้ขีดถูกจุดดังฟู่...หนูจ่อเปลวไฟเข้ากับไส้เทียน แสงสว่างวับแวมส่องกระจายทั่วห้อง ก่อเกิดเงาแปลกตา...โต๊ะเขียนหนังสือของหนูดูจะใหญ่กว่าเคย รูปดาราบนฝาผนังก็คล้ายแฝงด้วยความลึกลับ ซ่อนเร้นใบหน้าตุ๊กตาหมีที่หนูนอนกอดทุกคืนตกอยู่ในเงาตะคุ่ม มองคล้ายปีศาจร้ายมากกว่าตุ๊กตาที่น่ารัก

...วู้...ลมพัดเข้ามาจากหน้าต่าง เทียนดับพรึบ หนูสะดุ้งโหยง เกือบส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมา หัวใจที่เพิ่งสงบกลับเต้นถี่เร็วขึ้นมาอีก

"จะเอายังไงดี" หนูถามตัวเอง...ถ้าเลิกก็ยังทัน...รีบนอนเสีย...เดี๋ยวก็เช้าแล้ว...

แต่หนูจะไม่มีทางรู้เลยว่าใครคือเนื้อคู่ของหนู

ถ้าจะว่าไป...ใครเป็นเนื้อคู่ของหนูก็คงไม่สำคัญ เพราะหนูก็ชอบพี่ทั้งสองคนนั้นพอๆ กัน แต่ที่หนูมาจัดพิธีกรรมนี้ก็ด้วยความอยากรู้ อยากพิสูจน์ ว่ามันจะจริงอย่างที่ยายนิ้งเล่าให้ฟังหรือไม่...

หนูเรียกความมั่นใจคืนมาอีกครั้ง...ยังไงเสียคืนนี้หนูต้องพิสูจน์ให้ได้

เทียนถูกจุดอีกครั้ง ตามด้วยธูปอีกสามดอก จากนั้นหนูค่อยๆ ลุกขึ้นประคองเทียนไม่ให้ดับอีก...เท้าทั้งสองพาหนูออกจากห้อง นัยน์ตาจับอยู่ที่เทียนในมือ ควันธูปลอยเป็นสาย ส่งกลิ่นหอมชวนขนลุกออกมา...

ถึงจุดกึ่งกลางบ้าน หนูคุกเข่า จบเทียนพนมมือไหว้...

"เจ้าที่ เจ้าทาง ผีบ้าน ผีเรือนเจ้าขา..." หนูนึกเรียกในใจ "หนูขออนุญาตทำพิธีดูเนื้อคู่นะคะ...ขออย่าได้มารบกวนเลย...เจ้าประคู้ณ"

อธิษฐานเสร็จหนูปักธูปลงบนกระถางที่เตรียมไว้...ฉับพลันตัวหนูเย็นวาบเหมือนถูกน้ำเย็นราด ขนลุกซู่โดยไม่มีเหตุผล...

"ทะ...ท่าน..." ปากหนูสั่นระริก เสียงแทบไม่มี "อนุญาตแล้ว...ใช่มั้ยคะ"

หนูเหลียวหน้ามองรอบตัว...ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ แต่ว่า จะเป็นด้วยแสงเทียนหรืออะไรก็ไม่ทราบ ดูเหมือนเงาของหนูจะยืดยาวออกไปอย่างผิดปกติ...

...อีกสองนาทีจะเที่ยงคืน...

เทียนถูกปักไว้ตรงหน้ากระจก เปลวเทียนกำลังสั่นไหวไปมาราวกับร่ายระบำ เงาของสิ่งต่างๆ ก็วูบไหวคล้ายมีชีวิต นอกบ้านลมยังพัดจัด แม้หน้าต่างจะถูกปิดสนิททุกบาน แต่กระแสลมก็ยังเข้ามาเยือนโดยผ่านช่องลมตรงเพดาน

มะละกอขนาดเหมาะมือวางอยู่บนโต๊ะหน้ากระจก มีดเล่มเล็กๆ วางอยู่ข้างๆ อย่าถามว่าตอนนี้หนูปอกมะละกอโดยไม่ให้เปลือกขาดได้หรือยัง...เพราะมันไม่สำคัญอีกแล้ว เวลานี้หนูมีความตั้งใจเปี่ยมล้นแน่วแน่...แค่นี้คงพอน่า

เป๋ง...เป๋ง...เป๋ง...นาฬิกาตั้งพื้นตีเวลาดังลั่น สิบสองครั้ง...หนูเสียวสันหลังวาบ แต่ก็พยายามตั้งสติ มือซ้ายหยิบมะละกอ มือขวาถือมีด นัยน์ตาไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองกระจก...

คมมีดกรีดลึกผ่านเปลือกเข้าไปยังเนื้อมะละกอ หนูค่อยๆ ขยับมีดเพื่อลอกเปลือกของมันอย่างทะนุถนอม...ตั้งปณิธานในใจจนกว่าจะปอกมะละกอเสร็จ หนูจะไม่ยอมมองกระจกเด็ดขาด

...ใครจะรู้ เผื่อเผลอเงยหน้ามองขึ้นไปแล้วดันเห็น "สิ่งบางอย่าง" ที่ไม่เคยอยู่ในห้องนี้ขึ้นมา หนูคงร้องกรี๊ดจนพิธีแตกแน่ๆ

เปลือกมะละกอค่อยๆ หลุดออกมาเป็นเส้น รู้สึกเหมือนเวลากำลังหยุดอยู่กับที่ ใจพยายามไม่คิดถึงเรื่องอื่นใด นอกจากคมมีดกับเปลือกมะละกอ ความกลัวในบรรยากาศรอบตัวดูราวกับหลบลึกอยู่ในซอกมุมหนึ่งภายในจิตใจ

ยายนิ้งบอกว่าขณะที่ปอกแอปเปิ้ล (แต่ตอนนี้หนูปอกมะละกอ) ให้พยายามคิดถึงคนที่เราชอบพอ แม้ไม่แน่ใจว่าเขาใช่เนื้อคู่หรือไม่ ก็ให้คิดถึงไว้ก่อน วินาทีที่เราเงยหน้ามองกระจกหลังปอกเปลือกเสร็จ นั่นแหละจะเป็นข้อพิสูจน์

หนูคิดถึงพี่มอดเป็นคนแรก...พี่เขาเป็นประธานนักเรียน รูปหล่อ สมาร์ทมากในความรู้สึกของหนู พี่มอดกันเองกับน้องๆ ในสภานักเรียนทุกคน เวลาที่พวกนักเรียนมีปัญหาต้องการร้องเรียนอาจารย์ พี่เขาจะเป็นคนนำปัญหาเหล่านี้ไปเสนอ ซึ่งเขาจะดูเท่มากในเวลานั้น

หนูรู้ว่าพี่เขามีความรู้สึกพิเศษกับหนูก็สายตาและความเอื้ออาทรที่เขาให้มา และวันที่หนูมั่นใจว่าพี่เขาชอบหนู คือวันที่เขาเอากุหลาบมาให้

วันวาเลนไทน์...

แต่ว่า...วันนั้นหนูได้กุหลาบสองดอก

พี่เต่าก็เป็นอีกคนที่ให้หนู...

พูดถึงพี่เต่า หนูจะนึกถึงสนามกีฬาและลูกฟุตบอล พี่เต่าเป็นนักกีฬาคนเก่งของโรงเรียน แถมยังเป็นนักเรียนที่ทำคะแนนได้ยอดเยี่ยมในชั้นม.ปลาย...พี่เต่าอาจไม่หล่อเท่าพี่มอด แต่ก็นับว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง รูปร่างสมส่วนสมชาย อีกทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้ๆ ถ้าสังเกตดีๆ แล้ว พี่เต่าดูเป็น "แมน" มากกว่าพี่มอดเสียอีก

"อุ๊ย" หนูอุทานเบาๆ เมื่อเปลือกมะละกอขาด...ยังเหลืออีกเกือบครึ่งลูก หนูกดปลายมีดอีกครั้ง ประคองความตั้งใจอย่างที่ยายนิ้งเคยบอก...ไม่นาน...งานชิ้นนี้ก็จะสำเร็จ

หนูคิดสับสนระหว่างพี่มอดกับพี่เต่า จนเกือบทำให้เปลือกขาดอีกสองสามครั้ง แต่หนูก็ลดเลี้ยวปลายมีดผ่านไปจนได้...นัยน์ตาหนูแสบและล้า เนื่องจากแสงเทียนสว่างไม่เพียงพอ สมองออกจะมึนๆ อยู่บ้างจนหนูต้องหยุดมีด หลับตาอยู่ครู่หนึ่ง

เมื่อลืมตา เปลวเทียนไหววูบวาบราวกับภาพปีศาจเริงระบำ เงาของมะละกอซัดส่ายไปมาคล้ายจะมีชีวิต ลมเย็นๆ พัดอ้อยอิ่งวนเวียน ทำให้หนูหนาวยะเยือก เสียวสันหลังวาบๆ...

และแล้ว...เปลือกมะละกอทั้งหมดก็ลงไปกองบนโต๊ะ เปลวเทียนกลับนิ่งสนิทคล้ายภาพวาด มือหนูสั่นน้อยๆ ขณะวางมะละกอและมีด สายตาจับจ้องบนเปลวเทียนก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น...สูงขึ้นไปสู่กระจกตรงหน้า...

"กรี๊ด!"

หนูมั่นใจว่าได้ตะโกนออกมาสุดเสียง เมื่อสายตาปะทะกับเงาที่สะท้อนจากกระจก...แต่ทว่า...เสียงนั้นกลับขลุกขลักอยู่แค่ลำคอ

ภาพที่ปรากฏบนกระจกไม่ใช่พี่มอด...พี่เต่า...และที่สำคัญไม่ใช่ตัวหนู...! ใบหน้าที่กำลังแสยะยิ้มอย่างน่ากลัวนั้น เป็นคนที่หนูไม่เคยรู้จักมาก่อน

"คน" หรือ...? หนูถามตัวเอง...ไม่ใช่..."เธอ" ไม่ใช่คนเด็ดขาด

"เธอ"...ค่ะ...หนูเรียกว่าเธอ...หรือหล่อนก็ได้...เพราะเป็นใบหน้าของผู้หญิง...

...เป็นผู้หญิงที่สวยมาก...แต่คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถิด เธอสวยก็จริงหากใบหน้าที่กำลังแสยะยิ้มและดวงตาที่ดุดัน น่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้หนูขนลุกซู่ไปทั้งตัว...

เธอห่มสไบสีเขียวเข้ม ผิวเนื้อออกเป็นสีเขียวอ่อน...อ่อนจนดูใส...ใสจนคล้ายจะแลทะลุออกไปได้...

"คะ...คุณ...เป็นใคร...?" หนูรวบรวมความกล้าทั้งหมดในชีวิตเอ่ยถามออกมา

"นังเด็กบ้า" เธอหยุดยิ้ม ใบหน้าถมึงทึงจ้องหนูเขม็ง "ก็แกปอกอะไรอยู่ล่ะ"

หนูก้มหน้ามองมะละกอบนโต๊ะ แล้วเงยหน้ามองเธออีกที คิดว่าเธออาจจะหายไป...ที่ไหนได้ เธอยังนั่งหน้าบึ้งอยู่อย่างเดิมมองเห็นชัดกว่าทีแรกด้วยซ้ำ...

"อย่า...บอก...นะคะ...ว่า...คุณ...ปะ...เป็น" หนูกลืนคำบางคำลงคอ

"เจ้าแม่มะละกอ!" เธอตอบเองเสร็จ หนูฝืนยิ้มแหยๆ ความกลัวหายไปสักค่อนเห็นจะได้

"แล้วคุณมาทำไมคะ" หนูค่อยพูดคล่องขึ้น

"ก็เด็กบ้าที่ไหนล่ะ ไปเอามะละกอมานั่งปอกเรียกเนื้อคู่น่ะ"
"ก็...หนู..." คำพูดที่จะตอบเจ้าแม่ไม่สามารถล่วงผ่านริมฝีปากได้

"ไหนๆ ก็ปอกมะละกออัญเชิญแล้ว ข้าก็ต้องมาเสียหน่อย" เจ้าแม่ว่าเข้านั่น หนูแอบเถียงในใจ...ไม่ได้อัญเชิญสักหน่อยคิดเอาเองนี่หว่า...แต่ที่พูดมาได้ก็เพียง

"หนูไม่รู้นี่คะว่ามะละกอก็มีเจ้าแม่" แล้วหนูก็อุบอิบเบาๆ "เคยได้ยินแต่เจ้าแม่ตานี"

"นั่นแหละ" อยู่ๆ เจ้าแม่ก็โพล่งขึ้นมาทำเอาหนูสะดุ้งโหยง "ไอ้เด็กสมัยนี้มันไม่รู้จริงแล้วเอาอะไรมาเล่นไม่เข้าท่า...นี่ถ้าเด็ดมะละกอข้ามาตำส้มตำ ข้าจะไม่ว่าสักคำ"

หนูก้มหน้าแอบหัวเราะ

"เอ้า...ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าจะให้โอกาสเอ็งนังหนู...จะถามอะไรก็ถามมาได้ข้อนึง" เจ้าแม่ใจดีผิดคาด

หนูเงยหน้ามองเจ้าแม่ด้วยอาการลิงโลดเล็กน้อย

"หนูอยากรู้เรื่องเนื้อคู่ค่ะเจ้าแม่...ใครเป็นเนื้อคู่ของหนูคะ ระหว่างพี่มอดกับพี่เต่า"

เจ้าแม่นิ่งไป...แล้วยิ้ม...ไม่ใช่อาการแสยะยิ้มเหมือนตอนแรก แต่เป็นยิ้มแปลกๆ ที่หนูไม่เข้าใจ

"ถ้าข้าบอก...แล้วเอ็งจะทำยังไง" เจ้าแม่ย้อนถาม
"หนูจะยอมเป็นแฟนกับพี่คนนั้น" หนูตอบง่ายๆ เจ้าแม่ยิ้มมากขึ้น

"การเป็น "แฟน" ของเอ็งน่ะ มันเป็นยังไง" เจ้าแม่ถาม หนูคิดนานกว่าเดิม

"ก็เป็นคนรักกัน มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ไปเที่ยวควงแขน เกี่ยวก้อยจูงมือ ไปดูหนัง โทรศัพท์คุยกัน ฯลฯ"

หนูพยายามคิดถึงความเป็นแฟนตามที่ได้เห็นๆ มา...

เจ้าแม่ยิ้มมากกว่าเดิม...

"การเป็นแฟนของเอ็งมันแค่เดินควงแขน จูงมือกันเท่านั้นหรือ" คำถามนี้ทำให้หนูต้องนิ่ง และคิดทบทวน "ถ้าหากมันมีมากกว่านั้นล่ะ ถ้าหากผู้ชายเขาต้องการอย่างอื่นมากกว่าที่เอ็งบอกล่ะ...เอ็งจะให้เขามั้ย"

แม้แต่เด็กประถมก็คงเข้าใจคำว่า "อย่างอื่น" ของเจ้าแม่ หนูก็เช่นกัน แต่เวลานี้หนูยังหาคำตอบไม่ได้...

"ถ้าเอ็งยอมให้เขาไม่ได้ แล้วเขาขู่ว่าจะเลิกเป็นแฟนกับเอ็ง...เอ็งจะเลิกกับเขามั้ย หรือถ้าเอ็งยอมเขา แล้วเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา...เอ็งจะทำยังไง"

"หนู...หนู...ไม่รู้..."

เป็นครั้งแรกที่เจ้าแม่หัวเราะ

"เอ็งบอกว่า "ไม่รู้" ตอนนี้ก็ยังนับว่าดี...มีคนรุ่นเอ็งอีกหลายๆ คนที่บอกว่า "ไม่รู้" ตอนที่ทุกสิ่งมันสายไปแล้ว" นัยน์ตาของเจ้าแม่ฉายแววสมเพช

"เอ็งอายุเท่าไหร่...สิบห้า...หรือสิบหก..." หนูไม่ได้ตอบ เจ้าแม่จึงพูดต่อ "ถ้าเป็นสมัยข้า อายุขนาดนี้ก็ออกเรือนมีผัวกันแล้ว...แต่สมัยเอ็ง ข้าไม่เห็นเป็นอย่างนี้นี่หว่า...เท่าที่ข้ารู้...สมัยนี้ วัยอย่างพวกเอ็ง ยังเป็นวัยของการ "เรียนรู้" มีเรื่องมากมายที่พวกเอ็งต้องศึกษา เรียนรู้...แต่ดูพวกเอ็งจะให้ความสนใจกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มากเหลือเกิน ชนิดที่ว่าถ้าใครไม่มีแฟนก็จะกลายเป็นตัวประหลาดไป...ทั้งๆ ที่ความรัก...มันเป็นเพียงสีสันอย่างหนึ่งในชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด"

หนูยิ้มและพยักหน้า...ความกลัวเจ้าแม่หายไป กลายเป็นความรู้สึกเหมือนนั่งฟังอาจารย์แนะแนวกำลังพูดจาสั่งสอน

"แล้วสรุปว่าเจ้าแม่จะไม่บอกหนูใช่มั้ยคะ ว่าใครเป็นเนื้อคู่ของหนู" หนูแกล้งย้ำคำถามเดิม

"คำตอบมันอยู่ที่เอ็ง จะมาถามข้าทำไม...ขืนพูดมากจะหาว่าข้าชอบสั่งสอน ซึ่งพวกเอ็งก็ไม่ชอบอีก แต่ก็ควรจำไว้ กับเรื่องบางเรื่อง พวกเอ็งต้องทำอย่างมีสติ รู้จักตัวเองว่าควร ไม่ควรแค่ไหน...เพราะจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ของพวกเอ็งก็เพื่อให้เป็นคนที่สามารถพึ่งตนได้อย่างสมบูรณ์...ใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องมาหวนนึกเสียใจภายหลังต่างหาก"

"ขอบคุณค่ะเจ้าแม่"
"อ้อ...พูดอย่างนี้กำลังจะไล่ข้าละสิ" เจ้าแม่เริ่มอารมณ์ขุ่น

"หนูพูดจากใจจริงต่างหาก แต่เจ้าแม่น่ะยังไม่ยอมตอบคำถามของหนูเลยนะ ไหนรับปากว่าจะยอมตอบคำถามหนูข้อนึงไง"

"พูดขนาดนี้เอ็งยังไม่เข้าใจ นังเด็กหัวทึบเอ๊ย" เจ้าแม่บ่น "เอาเถอะ อยากรู้จริงๆ ใช่มั้ยว่าใครเป็นเนื้อคู่ของเอ็ง"

"หนูเปลี่ยนคำถามแล้ว..." พูดอย่างนี้เจ้าแม่ทำหน้างง "หนูอยากรู้ว่าเจ้าแม่เคยมีแฟนหรือยัง แล้วเป็นยังไงบ้าง"

เจอคำถามนี้ เจ้าแม่เป็นฝ่ายอึ้งไปนาน สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเบาๆ นัยน์ตามีประกายสดใส ดูเหมือนจะมีราศีเจ้าแม่จับอยู่จางๆ

"ได้...ข้าจะตอบเอ็ง...แต่เรื่องเหล่านี้ต้องเป็นความลับระหว่างข้ากับเอ็ง จะเล่าให้ใครฟังไม่ได้"

"ค่ะ...หนูสัญญา" ว่าแล้วหนูก็ยกมือรับปากทันที

คงได้ยินที่เจ้าแม่ว่าไว้แล้วนะคะ...นี่เป็นความลับ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์และเรื่องราวต่อไปนี้ หนูจึงไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้...อย่าว่ากันนะคะ

เช้าวันจันทร์ หนูไปโรงเรียนเตรียมตัวจะเอาเรื่องดูเนื้อคู่ไปเล่าให้ยายนิ้งฟัง...แต่วันนี้ยายนิ้งดันมาโรงเรียนสาย...สงสัยถ้ารถไฟไม่ตกรางตัวมันเองคงตกรถไฟเที่ยวเช้าเสียเอง...

และก็เช้าวันนี้เอง ที่ห้องหนูมีข่าวไม่สู้ดีนัก...เพื่อนในห้องคนหนึ่งได้ลาออกกะทันหัน ทั้งๆ ที่อีกไม่นานก็จะสอบปลายภาคแล้ว พวกเราพยายามหาเหตุผลต้นตอว่าเพราะอะไร เพื่อนคนนี้ถึงได้ลาออก...

คำตอบจากแหล่งข่าวที่พอรับฟังได้ (อาจจะไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์) บอกว่า...เพื่อนหนูท้อง!

หนูไม่รู้จักแฟนของเพื่อนเป็นการส่วนตัว แค่รู้ว่าเขาเป็นนักเรียนช่างกลรูปหล่อคนหนึ่ง ตอนนั้นพวกเรายังแอบอิจฉาที่มันได้แฟนหล่อ...แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา...หนูพูดอะไรไม่ออก...บอกอะไรไม่ถูก

ยายนิ้งมาถึงโรงเรียนทันเข้าห้องวิชาที่สองพอดี เหตุผลที่มาสายก็คือ...

"ตกรถไฟว่ะ...ตื่นไม่ทัน"

ตอนพักเที่ยง พวกเราจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องเพื่อนที่ลาออก หนูไม่มีจังหวะเล่าให้ยายนิ้งฟังถึงเรื่องกระจกเนื้อคู่จนกระทั่งยายนิ้งบอกให้เปลี่ยนเรื่องคุย หนูรีบอ้าปากจะเล่า แต่ไม่ทัน ยายนิ้งหยิบของบางอย่างออกมาก่อน...

"นี่ไง...ไพ่ยิปซี" มันว่าอย่างนั้น "เรามีตำรามาพร้อม แม่นนะโว้ยจะดูโชคชะตาราศี เนื้อคู่ อะไรได้หมดใครสนใจจะดูบ้าง?"

หนูทิ้งเรื่องที่จะพูดพร้อมชะโงกหน้าเข้าไปมุงดูกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน...

"เฮ้ย ดูโน่น" ยายจิ๊กอุทานขึ้นแล้วชี้มือไปที่ใต้ถุนอาคาร...

ที่นั่นพี่มอดกำลังนั่งติวหนังสืออย่างใกล้ชิดกับพี่ผู้หญิงที่เรียนห้องเดียวกัน และที่สนามฟุตบอล พี่เต่ากำลังยืนให้สาวทีมเชียร์ลีดเดอร์ซับเหงื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม...

"โธ่เพื่อนเรา อกหักทีเดียวสองครั้งซ้อน..." ยายนิ้งตบไหล่ทำท่าปลอบหนู

"นี่แหละน้า...ทำใจเย็น ไม่เลือกใครสักคน สมน้ำหน้า โดนคาบไปหมด..." ยายจิ๊กเยาะเย้ย ซ้ำเติม

เวลานั้น หนูคงทำหน้าประหลาดที่สุด...เพื่อนๆ ไม่รู้ว่าจะปลอบหรือสมน้ำหน้าหนูดี...แต่ถ้าพวกมันรู้ว่าหนูกำลังคิดอะไรอยู่...มันคงแทบเสียสติไปกับความบ้าของหนู...

...เพราะ...หนูกำลังคิดอยากขึ้นไปแจมบนเวทีคอนเสิร์ตของทงบังชินกิ (ที่สุดปลื้ม) แล้วขอแหกปาก ตะโกนร้องเพลง I will survive ด้วยอาการอินสุดฤทธิ์ (ถึงจะไม่เกี่ยวกันก็เหอะ)
________________________________________________________

กระจกมะละกอ เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ "ลางมายา" โดย ชลนิล

?