Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๙๑

"ชรา"

shortstoryโดย ชลนิล

?

ไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียว รถยนต์ที่จอดติดเรียงรายต่างทยอยเคลื่อนตัว แสงไฟสว่างจากอาคารข้างทาง ผู้คนเดินขวักไขว่บนฟุตบาธ กิจการค้าขายของร้านอาหารริมทางกำลังคึกคัก เข็มนาฬิกาบนอาคารสูงฝั่งตรงข้ามบอกเวลาห้าทุ่ม ถนนยังเต็มไปด้วยแสงสี ร้านรวงยังไม่ไร้คนใช้บริการ ราวกับว่าเมืองนี้ไม่เคยหลับ

แผงข้าวมันไก่ร้านนี้ตั้งอยู่ริมสุดของแนวร้านอาหาร ผู้คนบางตากว่าที่อื่น ในจำนวนลูกค้าทั้งหลาย มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งนานกว่าใครๆ

เขากินอาหารช้าๆ ซดน้ำซุปเหมือนดม บางทีก็นั่งมองไปยังตึกสูงๆ ฝั่งตรงข้ามถนน ดูผู้คนที่เดินกันพลุกพล่านคล้ายกับไม่มีบ้านให้กลับ

?คุณคะ ยายหิวข้าว ไม่มีเงิน ขอเงินหน่อยเถอะ? หญิงชราผอมบาง ผมเป็นสีขาวทั้งหัว แต่งตัวเก่าๆ สกปรกยกมือไหว้ขอเงินจากเขา

ชายหนุ่มเงยหน้าจากจานข้าว นัยน์ตาแปลกๆ

?หิวข้าวหรือยาย? เขาถามเรียบๆ
?จ้ะ? เสียงตอบแผ่วๆ
?งั้นกินข้าวด้วยกันสิ ฉันเลี้ยงเอง? เขาพูดง่ายๆ ชี้มือยังเก้าอี้ว่าง
?เอ้อ...? น้ำเสียงอึกอัก ?ขอเป็นเงินดีกว่า ยายจะไปซื้อข้าวเอง?
?ไม่มีเงินให้หรอก ถ้าหิวก็จะเลี้ยง? เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ

?ยาย...? คำพูดตะกุกตะกัก เหลียวหาใครบางคน ?ยายกินคนเดียวไม่ได้หรอก มีตาอีกคน ยังไม่ได้กินเหมือนกัน?

?งั้นก็ไปตามมาสิ ฉันเลี้ยงทั้งคู่ก็ได้?

หญิงชรามองหนุ่มแปลกหน้าอย่างลังเลใจ ก่อนจะค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งเข้าไปในซอยใกล้ๆ และกลับมาพร้อมกับชายชรางกๆ เงิ่นๆ อีกคน

เจ้าของร้านข้าวมันไก่มองลูกค้าหนุ่มด้วยสีหน้าแปลกๆ เหลือบทางสองตายายอย่างระอาใจ เขาเห็นสองตายายคู่นี้มาขอทานทุกคืน คนที่ใจบุญมีเมตตาจะหยิบยื่นเศษเงินให้ ส่วนคนที่ไม่พอใจก็มักทำเฉยๆ บางทีก็ปฏิเสธตรงๆ

ตั้งแต่ขายของมาเขายังไม่เคยเห็นลูกค้าคนไหน เลี้ยงข้าวขอทานแทนการให้เงิน

?หิวมั้ยตา? ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นสองตายายมายืนตรงหน้าอีกครั้ง
?หิวครับคุณ แต่ตาขอเป็นเงินดีกว่า?
?ได้เงินไปก็ต้องใช้ซื้อข้าวอยู่ดี กินที่นี่สะดวกกว่า? เขาพูดเรื่อยๆ
?แต่ที่บ้านยังมีหลานอีกหลายคน? คำตอบเหมือนเรียกคะแนนสงสาร
?งั้นก็ห่อไปด้วย จะเอาเท่าไหร่ก็สั่งได้?
?แต่...เอ้อ? สองชรามองหน้ากัน ตัดสินใจไม่ถูก

?ฉันให้ได้แค่ข้าว ถ้าจะกินก็นั่งลง สั่งเผื่อใครก็บอกเขาจะเอากี่กล่อง แต่ถ้าต้องการเงิน ฉันไม่มีให้?

ชายหนุ่มตัดบท กินอาหารต่อโดยไม่สนใจ ชั่วเวลาไม่ถึงนาทีก็เห็นสองตายายค่อยๆ นั่งบนเก้าอี้ ท่าทางกระอักกระอ่วน

?อยากกินอะไรก็สั่งสิ? เขาเงยหน้าบอก

ไม่นาน ข้าวมันไก่สองจานถูกนำมาวางบนโต๊ะ ตามด้วยใส่กล่องอีกเกือบสิบกล่อง ผู้เฒ่ากินข้าวด้วยความหิวโหยโดยไม่เสแสร้ง

แรกทีเดียว ชายเจ้าของร้านคิดจะปรามลูกค้าหนุ่ม แค่เลี้ยงข้าวสองตายายก็น่าจะพอแล้ว ไม่น่าสั่งให้ใส่กล่องด้วยเลย ขอทานคู่นี้ไม่มีลูกหลานที่ไหน สั่งใส่กล่องเดี๋ยวก็เอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินได้เหมือนเดิม

แต่พอเห็นท่าทีเนือยๆ ของชายหนุ่มก็คร้านจะพูด หน้าตาดีๆ แบบนี้คงไม่โง่จนโดนขอทานหลอก เว้นจะมีนิสัยแปลกๆ พิสดาร ผิดมนุษย์มนาเขา

?อิ่มมั้ย? ชายหนุ่มถามสองตายาย
?อิ่มครับคุณ? ชายชราเป็นผู้ตอบ
?อยากกินอะไรอีกมั้ยล่ะ?
?ไม่ล่ะครับ ขอบคุณจริงๆ พ่อคุณ?
?ไม่เป็นไรหรอก ฉันถือว่าทำบุญ?
?ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ แต่ก็มีใจบุญเหลือเกิน? หญิงชราเอ่ยชื่นชม

?ความ ?ใจบุญ? วัดกันที่อายุหรือยาย? เขาย้อน สีหน้าเรียบเฉย
?ก็...? ยายแก่อึกอัก งุนงง ?ยายไม่ค่อยเห็นคนหนุ่มๆ เขาทำบุญทำทานกัน?
?ตากับยายอายุเท่าไหร่แล้ว? เขาถามเหมือนชวนสนทนา
?ตาเขาเจ็ดสิบกว่า ส่วนยายเกือบเจ็ดสิบแล้ว? หญิงชราเป็นคนตอบ

?อายุมากขนาดนี้ คงจะเคยทำบุญไม่ใช่น้อย? ขณะพูดประกายตาฉายแววคมปลาบ คล้ายปลายใบมีดกระทบแสงไฟ

?โธ่...จะมีปัญญาที่ไหนมาทำบุญกันล่ะคุณ จะกินเข้าไปยังไม่มีเลย? ชายชราตอบ

?เราสองคนอดมื้อกินมื้อมาตลอด? หญิงชราพูดด้วยท่าทางเศร้าๆ

?น่าสงสารนะ ลำบากมาจนแก่ขนาดนี้? ถึงพูดอย่างนั้น แววตาเขายังฉายประกายวับๆ เช่นเดิม

?นั่นสิคุณ ไม่รู้เมื่อไหร่จะตายให้พ้นๆ เสียที? ผู้เฒ่าพูดอย่างคับแค้น
?อยากตายมากนักหรือ? ชายหนุ่มถามเบาๆ ทว่าน้ำหนักเสียงไม่มีร่องรอยล้อเล่น

?ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมน่ะคุณ แก่ขนาดนี้ ทุกข์ยากลำบากอย่างนี้ก็ยังไม่ยอมตายสักที?

?ถ้าอยากตายก็ไม่ใช่เรื่องยาก จะตายเมื่อไหร่ก็ได้? เขาพูด

?ไม่ใช่อย่างนั้น? พอได้ยินเขาพูดสองผู้เฒ่าก็รีบค้าน ?ฆ่าตัวตายมันบาป ยายไม่เอาหรอก ขอตายตามอายุขัยดีกว่า?

?งั้นยายตั้งใจจะตายตอนอายุเท่าไหร่ดีล่ะ?

คำถามของชายแปลกหน้าทำให้สองขอทานผัวเมียนิ่งอั้น

?เจ็ดสิบนี่ก็ไม่น้อยแล้วนะ จะอยู่อีกกี่ปีดี? เขาถามต่อ

?เอ้อ...มันกำหนดไม่ได้ไม่ใช่หรือคุณ? ชายชราตอบ แววขลาดกลัวต่อความตายปรากฏในดวงตา

?ว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด? ดวงตาของเขาเหมือนจะแลทะลุเข้าไปในจิตใจของผู้ชราทั้งสอง ?มนุษย์ ไม่ว่าใครหนุ่มหรือแก่ มักกลัวความตาย ไม่อยากให้มันมาถึง แต่ความตายไม่ใช่สิ่งที่เรียกหาก็มาได้ ถึงมันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ถ้ายังไม่ถึงเวลา เรียกร้องยังไงก็ไม่มา แต่ถ้าเวลานั้นมาถึงต่อให้วิ่งหนีแค่ไหนก็ไม่พ้น อายุก็ไม่ใช่ตัวกำหนดเช่นกัน?

ข้าวมันไก่ในจานหมดลง ชายหนุ่มหยิบเงินจ่ายให้เจ้าของร้าน สองตายายยังไม่กล้าลุกจากโต๊ะ กระทั่งเขาพูดสั้นๆ

?ฉันต้องไปทำงานแล้ว อีกไม่นานเราคงได้พบกันอีก?

สีหน้าแปลกๆ ผุดขึ้น ก่อนจะแปรเป็นความราบเรียบดังเดิม

สองชราหิ้วถุงข้าวมันไก่เดินงกๆ เงิ่นๆ ไปตามถนน ตั้งใจจะกลับบ้านแต่เดินไปได้สองสามซอย ก็เห็นคนยืนมุงเต็มถนน ด้วยความอยากรู้จึงพากันกระย่องกระแย่งเข้าไปถามผู้เห็นเหตุการณ์ใกล้ๆ

?มีอะไรกันเหรอคุณ?
?คนตกตึก?
?ใคร...?
?พวกวัยรุ่นน่ะ หน้าตายังเด็กๆ อยู่เลย?

ถึงจะอยากเห็นสภาพคนตกตึกสักแค่ไหน แต่สังขารไม่อำนวย ไม่สามารถฝ่ากลุ่มไทยมุงเข้าไปได้ เสียงหวอรถพยาบาลมาแต่ไกล ผู้คนชุลมุนวุ่นวาย ทั้งคู่จึงหมดความสนใจ รีบกลับบ้านตั้งใจแวะขายข้าวมันไก่แถวๆ สลัม คงได้ไม่ต่ำกว่าร้อย

สองตายายเดินเข้าซอย เพื่อไปขายข้าวมันไก่ แกก็มองเห็นร่างสูงๆ เดินช้าๆ นำหน้าเด็กหนุ่มผอมบางที่เดินก้มหน้าก้มตา

?คุณนั่นเอง? ยายเป็นคนทัก ชายหนุ่มหยุดเดิน เด็กหนุ่มก็หยุดตาม
?ยังไม่กลับบ้านอีกหรือ? เขาหันมาถาม
?กำลังจะกลับครับ แล้วคุณล่ะ? ถามพลางเหลียวมองเด็กหนุ่มที่ยืนเยื้องอยู่ข้างๆ

?ฉันก็จะกลับเหมือนกัน? เขาตอบแล้วเหลือบทางร่างผอมบางข้างๆ ?จะพาเขาไปส่ง?

?ใครครับ? ชายชราเอ่ยปากถาม เด็กหนุ่มคนนั้นผอมบางแทบจะเหลือหนังหุ้มกระดูก ใบหน้าก้มงุดแต่พอมองเห็นความซีดขาวไร้สีเลือด

?คนที่ฉันต้องพาไปส่ง? คำตอบไม่ให้ความกระจ่างใดๆ

?ไปส่งโรงพยาบาลหรือคะ ท่าทางไม่ค่อยสบาย? ยายมองเห็นใบหน้าซูบซีด อิดโรย แก้มตอบ ริมฝีปากแห้ง ดวงตามีแววเศร้าหมองทุกข์ทน

?เขาเป็นเอดส์? ชายหนุ่มบอกต่อสองผู้เฒ่า ?ระยะสุดท้ายแล้ว?
?น่าสงสารนะ ยังเด็กอยู่เลยไอ้หนูเอ๊ย? ยายพูด
?ความตาย ไม่เลือกเด็กหรือผู้ใหญ่?
?อย่างนี้จะรักษาหายมั้ยคุณ? ชายชราถาม
?เขาไม่จำเป็นต้องรักษาแล้วล่ะ? ชายหนุ่มตอบ
?อ้าว? คนถามงงเสียเอง
?เขาไม่มีทางตายด้วยโรคเอดส์เด็ดขาด?
?เพราะอะไรหรือคุณ?

?เขาเพิ่งตกตึกตายเมื่อครู่? คำตอบของชายหนุ่มราบเรียบ ทว่าหนักแน่นไม่มีร่องรอยล้อเล่น

สองชราสะดุ้งเฮือก มองชายหนุ่มสลับกับเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ทั้งสองร่างยังคงยืนนิ่งเป็นปกติ ไม่ได้เลือนหายเหมือนภูตผีปีศาจ ใบหน้าไม่ได้เละเทะน่าสะพรึงกลัว แต่อาการเฉยๆ เช่นนี้ ทำให้ผู้ชราไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นการล้อเล่นหรือไม่

?คะ...คุณ...โกหก...ยายใช่มั้ย? หญิงชราถามเสียงสั่นๆ

?ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรต้องทำอย่างนั้น? ท่าทางเขาเย็นชา ?เสียเวลามากแล้ว ฉันต้องรีบไปเสียที?

ชายหนุ่มเตรียมจะหันหลังกลับ แต่ก็ชะงักชี้มือไปยังถุงที่ใส่กล่องข้าวมันไก่...

?ข้าวนั่นน่ะ ถ้าอยากจะเอาไปขายก็ตามใจ ฉันอนุญาต...ถ้าไม่พูดอย่างนี้ เดี๋ยวจะเป็นบาปกรรมกันเปล่าๆ?

หลังจากตะลึงงัน สองตายายหน้าผิดสี ทำตัวไม่ถูก ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มที่มุมปากเป็นครั้งแรก

?อายุขนาดนี้แล้ว จะเก็บเงินล้านไว้ในธนาคารทำไม ความตายอยู่ใกล้ทุกคน ไม่เลือกเด็กหรือคนแก่ ถ้าไม่รู้จักใช้เงินทองให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า มันก็เป็นแค่ตัวเลขในสมุดบัญชีเท่านั้น?

เขาหันกลับและเดินนำเด็กหนุ่มเข้าสู่ท้ายซอย สองตายายทรุดฮวบเหมือนขาทั้งสองหมดเรี่ยวแรง สองชราขอทานมาตลอดชีวิต เงินที่ได้ล้วนฝากไว้ในธนาคาร ชื่นชมกับตัวเลขที่เพิ่มพูน หวังจะใช้ให้สุขสบายตอนแก่ แต่จนอายุล่วงเข้าเจ็ดสิบ ทั้งคู่ยังคิดว่าเงินที่มีไม่พอใช้เสพสุขจึงไม่เลิกอาชีพขอทาน ไม่กล้าใช้เงินที่มี พยายามหาเงินใส่บัญชีให้มากที่สุด ไม่สนใจกับสังขารที่ร่วงโรย ไม่ใส่ใจกับความตายที่ใกล้เข้ามา จนกระทั่งได้เห็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบเป็นเอดส์และตกตึกตาย

ที่สำคัญชายแปลกหน้านั้นทำให้แกรู้สึกใกล้ชิดกับความตายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

เขาและเด็กหนุ่มเดินห่างออกไป แต่สองตายายยังคล้ายได้สัมผัสกระไอร้อนจางๆ ที่เขาทิ้งไว้รอบๆ ตัว สองร่างเกือบจะกลืนหายในความมืดอยู่แล้ว ถ้าผู้ชราทั้งคู่จะไม่เห็นเปลวสีส้มๆ ที่ครอบคลุมบุคคลทั้งสองบางๆ ก่อนจะเลือนหายไปกับความสงัดของราตรีกาล...

ชรา
เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ
?ลางมายา? โดย ชลนิล