Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๘๘

คืน "หนาว" ของสาวสวย (ตอนจบ)
โดย ชลนิล
shortstory



ฉันมองเห็นควันสีขาวลอยมารวมกันตรงหน้าประตู จากนั้นก็ปรากฏร่างของชายหญิงคู่หนึ่งขึ้นมา

"แกเป็นใคร" เจ้าของบ้านฝ่ายชายเริ่มก่อน

"คุณอย่าสนใจเลย" นายแท็กซี่พูด "เอาเป็นว่าผมได้รับการไหว้วานให้มาชวนคุณออกจากบ้านหลังนี้"

ฉันชะงัก คำพูดของเขาทำให้ฉันนึกฉงนปนสงสัย

"อ๋อ นี่คิดจะมาไล่พวกเราอีกล่ะสิ" ฝ่ายหญิงพูดบ้าง

"ผมไม่ได้มาไล่ แต่ลองมาคิดดูซิ พวกคุณก็ตายกันไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพวกคุณ จะมาหน่วงเหนี่ยว รั้งตัวเองไว้อย่างนี้ จะมีความสุขอะไร"

อีตาแท็กซี่...เอ๊ย...อาจไม่ใช่ก็ได้ กำลังพยายามโน้มน้าวใจผี

"อีกอย่าง พวกคุณอยู่กันอย่างนี้ ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนรอบๆ ข้าง"
"เราไม่ได้ทำ..."

ค่ะ ช่วงต่อจากนี้ ก็เป็นการพูดๆ ๆ ระหว่างผีกับคน ฝ่ายคนพยายามชักแม่น้ำสี่สิบสายให้ผีไปผุดไปเกิด ส่วนผีก็ยืนยันบ้านคือวิมานของเรา...เราไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น

ดิฉันไม่มีความสามารถจดจำคำพูดอันยืดยาวนี้ได้ เอาเป็นว่า ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกัน (ใครไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ได้) พวกคุณคงอยากรู้ผลสรุปมากกว่า ว่ามันจะลงเอยอย่างไร...

ไอ้การที่ต้องมายืนดูผีกับคนเถียงกันนานขนาดนี้ ทำให้ความหวาดเกรงภูตผีปีศาจจางๆ ไป จนฉันกล้าเดินด้อมๆ ไปแถวหน้าประตูบ้าน ไม่สนใจผีผู้ใหญ่สองตน และหนึ่งคนรูปหล่อ ที่ความเป็นมาแปลกๆ อีกคนนั่น

สายตาฉันมองเจ้าหนูน้อยที่เล่นลูกบอลอย่างเหงาหงอย ดูแกคงเบื่อกับการกระทำที่ไม่เข้าท่าของพ่อแม่และคนแปลกหน้าเต็มที...ความบ้าหรือความสงสารก็ไม่รู้ ทำให้ฉันแอบกวักมือเรียกเจ้าหนูนั่นมา

ไม่นาน ดวงหน้าแป้นแล้น และรอยยิ้มไร้เดียงสาก็มาอยู่ใกล้ๆ ฉัน ดูแล้วก็ไม่ต่างจากเด็กธรรมดาคนหนึ่ง

"น้องเหงามากมั้ยจ๊ะ" ฉันเอ่ยถาม (ตามสูตรนางงามเช่นเคย)
"เหงาสิคับ" เจ้าตัวน้อยตอบทันควัน
"แล้วทำไมไม่ออกมาล่ะจ๊ะ" ฉันสงสัย

"พ่อกับแม่ไม่ยอมคับ พ่อบอกว่า บ้านหลังนี้พ่อผ่อนมาตั้งสิบปี พอเศรษฐกิจทรุด ไม่มีเงิน เขาก็จะมายึดไป พ่อว่ายังไงก็ไม่ยอมออกจากบ้านนี้เด็ดขาด"

"ก็เลยตายเฝ้าบ้านไปเลยงั้นแหละ" ฉันอดเหน็บแนมไม่ได้
"แล้วมีใครมาชวนให้ออกจากบ้าน เหมือนอีตาผู้ชายคนนี้มั้ยจ๊ะ" ฉันถามต่อ

"ก็มีคุณลุงยมทูดตามไปสองสามครั้งคับ แต่พ่อแม่ไม่ยอมท่าเดียว จนคุณลุงท่านว่า...พวกแกมันโมหะจริตแรงเหลือเกินหลงมันอยู่ได้กับอีแค่อิฐ แค่ไม้กองเดียว อย่างนี้บุญกุศลที่สร้างไว้ จะได้ไปเกิดในที่ดีๆ ก็ยังส่งผลไม่ได้..."

"แล้วคุณลุงยมทูตท่านไม่ได้ใช้กำลัง บังคับให้ครอบครัวน้องออกจากบ้านหรือจ๊ะ" ฉันสงสัย

"ไม่นี่ครับ เห็นคุณลุงแกบ่นๆ ตอนเดินออกไปทุกทีว่า..."กรรม" จะฉุดลากให้ไป ก็ไม่มีประโยชน์..."

"ถ้าออกไปได้ น้องอยากทำอะไรจ๊ะ" ฉันถาม

"อยากไปโรงเรียนคับ ผมคิดถึงเพื่อน คิดถึงสนามเด็กเล่น ผมไม่ได้เล่นบอลกับไอ้ป๊อก ไอ้ปูตั้งนานแล้ว คิดถึงพวกมันจะตาย"

ฉันอึ้ง...ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

"เมื่อก่อนนะพี่ ผมได้เล่นบอลกับเพื่อนๆ ทุกวันเลย สนุกจะตาย แต่เดี๋ยวนี้ต้องเล่นคนเดียว จะชวนใครมาเล่นด้วยเขาก็กลัวผมกันหมด จะออกไปหาเพื่อนๆ หาคุณครูก็ไม่ได้"

"น้องอยากออกจากบ้านจริงๆ หรือจ๊ะ" ฉันถาม

"จริงสิคับ เล่นอยู่ในบ้านคนเดียวผมเบื่อจะตาย...พี่สาวคนสวยช่วยผมได้มั้ยคับ" ได้ยินอย่างนี้...ฉันจะทำอย่างไร?

ค่ะ...ไม่รู้ว่าผีบ้า หรือวิญญาณสาวสวยที่ไหนเข้าสิงฉัน ดันร่างฉันให้ลุกขึ้น ยืนเต็มร่าง จิกหัวแม่เท้าเล็กน้อย พอให้ดูดีมีมาดนางแบบก่อนจะตัดสินใจ ก้าวฉับๆ เข้าไปยืนตรงกลาง ระหว่างคนกับผี

"ขอโทษทีเถอะ" สองฝ่ายจะพูดอะไรบ้างฉันก็เหลือจะใส่ใจ เอาเป็นว่าฉันทะลุกลางปล้องเอาดื้อๆ เลย

"ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณจะเถียงกันไปทำไม" ฉันสบตาคน แล้วหันไปมองหน้าผี เห็นว่าอึ้งๆ งงๆ ทั้งคู่ ฉันเลยลุยต่อ

"คุณอยากอยู่บ้านหลังนี้มากใช่ไหม" ฉันเกือบยืนเท้าเอว แต่นึกได้ว่าเป็นท่าของตัวอิจฉา เลยเปลี่ยนเป็นยืนไขว้ขา โพสท่านางแบบแทน "ก็ดีแล้ว...ฉันได้ข่าวว่า เขาจะสร้างทางด่วนขั้นที่ยี่สิบสี่ผ่านซอยนี้ บ้านคุณมีสิทธิ์ติดทางแน่ต่อไปพอเขารื้อบ้านคุณออก พวกคุณจะได้ไปเป็นผีเฝ้าทาง คอยเก็บเงินค่าทางด่วนกะดึกสบายใจเฉิบเลย"

"กูไม่ยอมให้ใครมารื้อบ้านหรอก" ผีผู้ชายขึ้นเสียง

"เฮอะ...คุณไม่ยอมแล้วจะทำอะไรได้" ฉันลอยหน้าพูด "ตายเป็นผีอย่างนี้ พอฟ้าสว่าง แดดแจ๋ ๆ คนเขาก็เลิกกลัวคุณแล้ว"

"นี่ เธอเป็นใครกันน่ะ" ผีภรรยาช่วยสามีเถียง "เมืองไทยเป็นหนี้ท่วมหัวอย่างนี้ จะเอาเงินที่ไหนมาสร้างทางด่วนอีก"

แน่ะ...ดิฉันดันเจอผีที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองยุค IMF เสียอีก

"เอ้า ก็ได้...สมมุติว่าไม่มีคนมารื้อบ้านคุณ แต่คุณจะเฝ้าบ้านหลังนี้ได้สักกี่ปี...สิบ...หรือยี่สิบปี...บ้านไม้ทั้งหลังอย่างนี้พอไม่มีคนอยู่ ก็เสร็จนางพญาปลวกทุกราย ไม่กี่ปีก็เหลือแค่กองดินกับจอมปลวก"

คราวนี้สองผีอึ้ง คงไม่ถึงกับถูกชักจูงใจ แต่ยังหาทางเถียงไม่ออก

นายแท็กซี่เดินมายืนข้างฉัน น่าแปลกที่ใจฉันอบอุ่นขึ้นมาทันที...จะว่าไป ถึงให้บ้าแค่ไหน ฉันก็กลัวผีอยู่ดีนั่นแหละ

"คราวนี้ ฉันขอถามคุณคำเดียว" ฉันจ้องสองผีเขม็ง "พวกคุณทำอะไรเคยคิดถึงใจลูกคุณบ้างไหม...เคยถามแกหรือเปล่าว่า ว่าลูกอยากได้อะไร? หรือว่าพวกคุณคิดแค่ว่า ตัวเองทำถูก คิดถูกอยู่คนเดียว ลูกจะยังไงก็ได้...เด็กไม่มีความคิดอะไร ไม่ต้องใส่ใจก็ได้..." เอ้อ...ว่าจะถามแค่คำเดียว ไหงพูดได้ยืดยาวขนาดนี้ก็ไม่รู้

ผีสองผัวเมียยืนมองหน้ากัน ส่วนเจ้าตัวเล็กเดินเข้ามาระหว่างกลางใช้ปลายนิ้วเกี่ยวมือพ่อและแม่เอาไว้ กระแสใจโยงใยถึงกัน โดยที่คนภายนอกไม่อาจหยั่งรู้

ฉันยิ้ม...อยากจะทำท่าซึ้งๆ แต่ดันทำไม่ออก

"เอาล่ะ เอาล่ะ...ให้ฉันพูดมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวฉันจะเดินผ่านหน้าบ้านพวกคุณไม่ได้"

ฉันถอนใจ นายแท็กซี่ก้มศีรษะและยิ้มให้...

ฟ้าที่อึมครึม หมู่เมฆหนาค่อยๆ คลายตัวออกทีละชั้น มองเห็นฟ้าแจ่ม จันทร์กระจ่าง ดาวกะพริบพราย แสงไฟซอยเปลี่ยว บ้านร้าง...แล้วก็...สาวสวย...

บ้านหลังนั้นยังอยู่ท่ามกลางความมืด ทว่า...บรรยากาศอันน่าขนพองสยองเล็กๆ ได้หายไปแล้ว...

แท็กซี่รูปหล่อยังยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
"คุณเป็นใคร" ฉันออกปากถามเขาเป็นคำแรก

"ใกล้ถึงบ้านคุณแล้วใช่มั้ยครับ" เขาเลี่ยงเสมองไปทางท้ายซอย "เราเดินไปคุยไปก็ได้"

ฉันยอมทำตาม

ในซอยยังไม่มีผู้คนเช่นเคย ขนาดหมายังหาวนอน ขี้เกียจเห่า ช่างเป็นเวลาอโคจรจริงๆ

ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ เขายื่นนามบัตรให้ฉัน
"นายสุรชัย..." ฉันแกล้งอ่านดังๆ "พนักงานวิเคราะห์ข้อมูล บริษัทไฟแนนซ์"
"เฮ้ย" เขาอุทาน "ขอโทษที ผมหยิบผิด"
"ไอ้บริษัทนี้มันเพิ่งโดนปิดนี่" ฉันจำได้
"เหอะ...อย่าพูดถึงมันเลย" ท่าทางเขาอยากจะลืม ขณะยื่นนามบัตรอีกใบมาให้

"สุรชัย...ยมทูตฝึกหัด"

ฉันมองหน้าเขาอย่างงงๆ...อย่าบอกนะว่า ผู้ชายรูปหล่อขนาดนี้กลายเป็นผีไปแล้ว

"นี่คุณ...แค่ไฟแนนซ์ถูกปิด ตกงาน ก็ต้องฆ่าตัวตาย กลายเป็นยมทูตเชียวเหรอ" ฉันพอเดาเรื่องได้

"อะไร...ผมยังไม่ตายสักหน่อย" เขาโวยพลางหัวเราะ "ตกงาน ผมก็มาขับแท็กซี่ แล้วเผอิญคืนหนึ่งรับผู้โดยสารแปลกๆ มา...เราคุยกันถูกคอ แกเลยชวนผมทำงานด้วย ผมกำลังเคว้ง เลยรับปากส่งๆ ไป...ใครจะไปรู้ว่าแกเป็นยมทูตตัวจริง"

"อ้าว" ฉันพูดอะไรไม่ออก

"แรกๆ ที่ช่วยงานแก ผมก็กลัวๆ ผีอยู่เหมือนกัน แต่ทำไปทำมาก็สนุกดี คิดเสียว่าพอตายไปเราก็เป็นผีเหมือนกันจะไปกลัวอะไร"

เขาพูดเหมือนง่ายแฮะ...เดินๆ คุยกับเขาก็สนุกดี ชักอยากยืดเวลาออกไปสักชั่วโมง แต่เผอิญว่าถึงบ้านเสียก่อน

ฉันหยุดยืนหน้าประตู หันมาขอบคุณเขา

"ขอบคุณที่มาส่ง" พูดไปตามมารยาทงั้นแหละ ใจจริงกำลังคิดแผนถ่วงเวลาเอาไว้ "คุณว่าครอบครัวผีตะกี้เขาจะยอมออกจากบ้านมั้ย"

ที่สุดก็หาเรื่องพูดจนได้

เขาพยักหน้า

"ผมเชื่อว่า ที่คุณพูดคงทำให้พวกเขาได้คิดอะไรบ้าง แต่ก็อย่างที่คุณเห็น เขาผูกพันกับบ้านหลังนั้นมาก ต้องให้เวลาสักหน่อย ขนาดน้ายมมาตามไปตั้งสองสามครั้ง พวกเขายังดื้อ ไม่ยอมไปเลย"

"น้ายมนี่หมายถึง ยมทูตตัวจริงเหรอ" ฉันไม่น่าสงสัยเล้ย...
"ก็ใช่สิ คุณยังเคยเจอแกเลย ตอนเราเดินสวนกันกลางซอยไง"

เขาพูดเหมือนเรื่องธรรมดา แต่ฉันต้องอาศัยประตูหน้าบ้านเป็นที่พิงหลัง ไม่งั้นล้มทั้งยืนแน่

"ถ้างั้นผู้หญิงที่เดินตามก็เป็นผีน่ะสิ"

"ครับ เธออกหัก เลยผูกคอตาย ชอบมายืนร้องไห้หน้าบ้าน...คุณยังโชคดีที่ไม่เคยเจอ แต่คนในซอยนี้เจอกันหลายคนแล้ว"

ฉันยิ้มแห้งๆ หันหลังจะเปิดประตูเข้าบ้าน...แต่ไหงหาประตูไม่เจอหว่า...

"เชิญครับ" เขาเปิดประตูบานเล็กให้ฉัน
ฉันมองหน้าเขา...ถึงเวลานี้คงต้องจากกันจริงๆ แล้ว

"เอ้อ...คุณว่าในซอยนี้ยังมีบ้านผีสิงอีกไหม" ไม่รู้ผีที่ไหนเจาะปากให้ฉันหาเรื่องพูดจนได้

"ไม่รู้สิครับ" เขาตอบ "น้ายมยังไม่ได้บอกผม"
"ถ้ายังมีอีกแล้วตอนฉันกลับดึกๆ จะทำยังไงดีล่ะ" ฉันเสียงอ่อย
"เอ...ตะกี้ผมก็เห็นคุณท่าทางเก่งออก" เขายิ้ม

"ผีบ้าเข้าสิงน่ะสิ" ฉันกระฟัดกระเฟียดเข้าบ้าน นึกโมโหเขา ที่อุตส่าห์เปิดทาง ทอดสะพานให้อย่างนี้แล้วยังกลับไม่สนใจ

"เดี๋ยวครับ" เขาเรียก ฉันหันกลับ "ในนามบัตรผมมีเบอร์โทรศัพท์ ถ้าคืนไหนคุณกลับดึก เชิญเรียกใช้บริการได้เลย"

ฉันแอบยิ้มแต่แกล้งวางฟอร์ม

"ฮื่อ...แล้วจะพิจารณาดู"
"อ้อ...คุณยังไม่ได้บอกชื่อให้ผมรู้เลย เดี๋ยวเจอกันคราวหน้าจะเรียกไม่ถูก"

ฉันกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ใจจริงอยากหาชื่อเก๋ๆ เป็นฝรั่งเสียหน่อยบอกกับเขา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกชื่อจริง

"...สมศรี..." ฉันตอบเร็วๆ และทันมองเห็นอาการกลั้นหัวเราะของเขา
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ" เขาก้มศีรษะพร้อมกับจากไปอย่างปลอดโปร่ง

ตัวฉันเองก็เพิ่งนึกได้ว่า...ง่วงแทบตายแล้ว...

ถึงบรรทัดนี้ จะว่าเรื่องมันจบก็ได้ แต่ขอแถมอีกหน่อยเผื่อใครอยากรู้เรื่องระหว่างฉันกับอีตาแท็กซี่ชื่อเหมือนนักร้องลูกทุ่งคนนั้น

ก็...ด้วยความเป็นกุลสตรี ประกอบกับการวางฟอร์มมากไปหน่อย ฉันเลยทำนามบัตรของเขาหาย ทำให้ไม่สามารถติดต่อเขาได้ จนเวลาผ่านไปเป็นเดือน ที่ซอยบ้านฉันก็เป็นอย่างที่เคยเป็น เพียงแต่ฉันพยายามรับฟังเรื่องรอบบ้านมากขึ้น...

แรกๆ ยังมีผู้คนพบเห็นเด็กผู้ชายมาเล่นลูกบอลกลางสนามตอนตีสองอยู่เรื่อยๆ แต่พักหลังๆ เรื่องก็ซาลง ธนาคารได้ขายทอดตลาดบ้านหลังนั้นออกไป มีครอบครัวใหม่มาซื้อบ้านหลังนี้โดยไม่รู้ประวัติ แต่ฉันก็เห็นพวกเขาอยู่กันอย่างราบรื่นดีไม่มีวี่แววการหลอกหลอนจากภูตผีตนใด

ครอบครัวผีคงย้ายสำมะโนครัวกันเรียบร้อยแล้วกระมัง...

และวันครบรอบสิ้นเดือนก็มาถึง ฉันทำงานเลยเที่ยงคืนเช่นเคย แถมยิ่งซวยซ้ำที่ไม่มีใครว่างพอไปส่งสาวบอบบางเช่นฉัน...ด้วยทิฐิมานะของลูกผู้ดี ฉันจึงลากสังขารมายังป้ายรถเมล์ หวังไปหาแท็กซี่หล่อๆ สักคน

ที่นั่นมีเพียงรถแท็กซี่ดับไฟจอดอยู่คันเดียว ส่วนคนขับมัวแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไม่สนใจโลกภายนอก

"ไปซอยจำปาไหมครับ" น่าน...จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นถามยังกับรู้ว่ามีคนมา
ฉันสะกดกลั้นความดีใจ วางฟอร์มสุดฤทธิ์
"ไปสิ...แต่ซอยนั้นผีดุนะ จะคิดค่าเดินไปส่งเท่าไหร่"

"ขอเป็นเบอร์โทรศัพท์แล้วกัน ที่หน้าบ้านคุณน่ะ มีผู้ชายตัวโตๆ หนวดเฟิ้มชอบนั่งทำหน้าดุอยู่เป็นประจำ ผมเลยได้แต่เดินผ่าน ไม่กล้าแหยมเข้าไปสักที"

"นั่นพ่อฉันย่ะ อยู่ต่างจังหวัด นานๆ จะเข้ากรุงเทพฯสักที ไม่ได้อยู่ประจำสักหน่อย" ฉันรีบพูด กลัวเขาเข้าใจผิด

"เหรอ...ผมนึกว่าผีเจ้าที่ น่ากลัวกว่าน้ายมอีก"

ฉันหัวเราะ นึกอยากฟาดเขาสักผัวะ แต่มันก็ผิดจริตสาวงาม...เอาเถอะ ถือว่านี่เป็นการเริ่มต้นระหว่างเราแล้วกัน ส่วนการเดินทางต่อไปจะเป็นอย่างไร...ขอให้วันเวลาเป็นผู้บันทึกดีกว่า...

คืน "หนาว" ของสาวสวย เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ ?ลางมายา? โดย ชลนิล