Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๘๗

คืน "หนาว" ของสาวสวย (ตอนที่ ๒)
โดย ชลนิล
shortstory



กลางซอยเปลี่ยว มีแค่สาวสวยกับหนุ่มหล่อ คุณว่าจะเกิดอะไรขื้นคะ?

คำตอบ...ไม่เกิดอะไรทั้งนั้น อีตาแท็กซี่รูปหล่อ แต่ท่าทางกวนประสาท เดินดุ่ยๆ แทบจะไม่สนใจฉัน ส่วนฉันก็จ้ำตามโดยหวังให้ถึงบ้านเร็วที่สุด

"ใกล้ถึงบ้านคุณรึยัง" จู่ๆ ตานั่นก็หยุดเดินแล้วหันมาถาม

"ยัง" ฉันตอบห้วนๆ หน้ามุ่ย...ถ้าคุณลองเดินตามผู้ชายตัวโต ขายาวๆ สักคน แล้วจะรู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน

เขาขมวดคิ้ว
"ไหนว่าไม่ไกลไง"
"ก็ไม่ไกล ไม่ถึงสิบกิโล" ฉันตอบ คราวนี้เห็นนัยน์ตาเขาฉายแววยิบๆ นั่นอีก
"งั้นก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเจออะไรจะมาโทษผมไม่ได้นะ"

ฉันสงสัย กำลังจะอ้าปากถาม แต่เขาก็สาวเท้าไปแล้ว ยังดีที่เดินช้าลงหน่อย ค่อยเหมือนมนุษย์มนาทั่วๆ ไป...

ที่ฉันบอกว่าซอยเปลี่ยว...มันเปลี่ยวเพราะสองข้างทางส่วนใหญ่เป็นที่ดินร้าง หญ้าท่วมหัว มองไกลๆ บางช่วงยังไม่เห็นบ้านคน ถ้าเป็นตอนกลางวันจะมีมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาส่ง แต่เลยสามสี่ทุ่มล่ะก็ ตัวใครตัวมัน เมื่อก่อนฉันไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร อาจเป็นได้ที่บ้านฉันไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ตัวฉันตื่นเช้าก็ไปทำงาน เย็นกลับบ้าน เสาร์-อาทิตย์ก็นอนไม่สนใจโลกภายนอก จนเดี๋ยวนี้ ฉันรู้แล้วว่าเพราะอะไร...

เวลาที่อีตาแท็กซี่คนนี้เดินช้าๆ ค่อยดูน่ารักหน่อย แต่ในความช้าของเขา ดูเหมือนสายตาจะมองซ้ายมองขวา ระแวดระวังจนน่ารำคาญ ท่าทางคงกลัวผีเหมือนฉัน นี่คิดๆ ไป ขืนกลัวผีอย่างนี้ ตอนเดินกลับออกมาจะทำยังไง ฉันมิต้องเดินออกมาส่งหรือไง ไม่ก็แสดงน้ำใจ ให้เขานอนค้างที่บ้านสักคืน (อย่างหลังน่าสนกว่า)

ข้างหน้าเริ่มมีบ้านคนให้ฉันเห็น ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านร้าง กับบ้านที่สร้างไม่เสร็จ ทิ้งค้างไว้เป็นปีๆ ดูวังเวงพิกล...

หูฉันแว่วเสียงเบาๆ ลอยมากับสายลม ฟังคล้ายเสียงร้องไห้ คล้ายเสียงถอนใจ แต่แล้วก็ถูกเสียงซู่ซ่าของกอหญ้าต้องลมดังกลบจนหมด

เขาหยุดยืน หันมามองหน้าฉัน ดวงตาที่เคยมีแววช่างเล่น ฉายแววกังวลชั่วแวบ

"คุณเดินตามผมทันมั้ย" เป็นครั้งแรกที่เขาพูดจาดีๆ
"ทัน...ถ้าตัดขาคุณให้สั้นเท่าฉัน" ฉันตอบ เขาโคลงศีรษะ ท่าทางเหมือนอยากบ่น

"เอาเถอะ ผมจะเดินให้ช้ากว่านี้ คุณอย่าเดินห่างผมนักล่ะ"

"...คงกลัวผีล่ะซี่..." ฉันคิดในใจ แต่ก็รีบเข้าไปขนาบข้างเขาทันที...ขอโทษเถอะ...ฉันก็พวกสมาคมตาแหกเหมือนกัน...

เดินต่อไปอีกสองสามก้าว ฉันมองเห็นบ้านข้างหน้าชัดเจนขึ้น ที่หน้าประตูมีเงาดำๆ สองร่างยืนอยู่ เสียงกระซิบกระซาบเบาๆ แว่วเข้ามาในหูโดยไม่ได้ศัพท์ เงาดำๆ เคลื่อนตัวมาทางพวกฉันอย่างช้าๆ

แปลก...ฉันไม่รู้จะอธิบายความแปลกของร่างสองร่างที่กำลังเดินสวนออกมาอย่างไร ที่จริงฉันน่าจะใจชื้น เมื่อเห็นผู้คนในคืนเปลี่ยวเช่นนี้ แต่ในใจกลับหวั่นๆ วูบๆ (ที่ไม่ใช่อาการเดียวกับตอนอยู่ใกล้ๆ คนหล่อ) ขนลุกซู่ซ่าทั้งที่อากาศไม่เย็นเลยสักนิด

แสงสลัวๆ ที่พอมองเห็นหน้ากัน ทำให้ฉันรู้ว่า ร่างที่อยู่เบื้องหน้าเป็นผู้ชายวัยกลางคน ท่าทางแข็งแรง กับผู้หญิงท่าทางบอบบาง เดินก้มหน้างุดดูเศร้าๆ อีกคน ทั้งสองอยู่ห่างฉันไม่ถึงเมตร จนเดินสวนกันพวกเขาก็หยุด ตาแท็กซี่เพื่อนร่วมชะตากรรมคนเดียวของฉันก็หยุดตาม หันไปค้อมศีรษะให้ชายกลางคน

"ยังเหลืออีกบ้าน" ชายกลางคนพูดลอยๆ "ฝากด้วยนะ"
"ครับ" คำตอบสั้นๆ

ฉันไม่ทันสนใจคำพูดของชายสองคน เพราะมัวแต่มองหญิงสาวที่ก้มหน้างุดๆ...รู้สึกคุ้นเคย...เหมือนเคยเดินสวนกันในซอย แต่ก็จำไม่ได้ ไม่รู้จักชื่อ...บอกแล้วไงคะ ว่าดิฉันมันคนกรุงเทพฯ ขนาดหลังคาบ้านเกยกัน ฉันยังไม่รู้จักหน้ารู้จักชื่อเจ้าของบ้านเลย นับประสาอะไรกับคนที่แค่เคยเดินสวนกัน

ระหว่างที่ดิฉันกับพวกเขาจะเดินผละจากกัน หญิงสาวคนนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับฉัน มันทำให้ฉันหนาวยะเยือกโดยไม่มีสาเหตุ เหมือนจู่ๆ ก็ตกลงในหล่มน้ำแข็งไม่ทันรู้ตัว...ใบหน้าของหล่อนขาวซีดจนเกินไป เหมือนถูกพอกด้วยแป้งและเคลือบด้วยน้ำแข็ง ดวงตาของเธอแห้งแล้งไร้ประกาย ดูราวกับไม่มีแววตา ปลายหางตาของเธอคล้ายเก็บกักความเศร้าโศกทั้งมวลเอาไว้

อีกไม่ไกลจะถึงบ้านฉัน ระหว่างทางได้ผ่านบ้านที่เปิดโคมไฟหน้าบ้านไว้หลายหลัง แสดงว่าเข้าเขตผู้คนแล้ว แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่ไว้ใจ เพราะทั้งซอยมีแต่ความเงียบ หมาสักตัวยังไม่เดินมาให้เห็น ฉันกับแท็กซี่รูปหล่อไม่ได้พูดจากันทั้งที่จริงฉันอยากจะถามเขาเรื่องสองคนที่เดินสวนกันตะกี้ ดูท่าทางเหมือนพวกเขาจะรู้จักกันดี เผลอๆ อีตาแท็กซี่คนนี้จะอยู่ซอยเดียวกับฉันเสียอีก แต่เขาเดินเอา เดินเอา ฉันจำต้องเดินตาม โดยไม่ยอมให้ระยะห่างเกินสองคืบ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย และที่สำคัญโอกาสใกล้ชิดกับหนุ่มหล่ออย่างเขา ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ เรื่องอะไรจะปล่อยให้ผ่านไป แล้วมานั่งบิดผ้าเช็ดหน้าเสียดายทีหลัง

"พี่คร้าบ...พี่คนสวย มาเล่นกับผมไหม" เสียงนี้ทำให้ฉันสะดุดกึก

ด้านขวามือของฉันเป็นบ้านไม้สองชั้น ตั้งอยู่ในความมืด ที่สนามหน้าบ้าน มีเด็กผู้ชายอายุไม่เกิน 6-7 ขวบยืนยิ้มแต้อยู่คนเดียว

...ใครนะ เคยบอกว่า หญิงงามมักจะรัก และเอ็นดูเด็กๆ เสมอ โดยเฉพาะเหล่าผู้ประกวดนางสาวไทยทั้งหลาย ดิฉันก็ไม่ได้ผิดแผกพิสดารไปจากสาวสวยคนอื่นๆ คือมีความรัก และเอ็นดูเด็กน้อยเป็นล้นพ้น โดยเฉพาะเด็กที่มองเห็นความสวยของฉัน...

ค่ะ...ด้วยความรักเด็ก ดิฉันจึงเข้าไปเกาะรั้ว จิกยิ้มอย่างสวย และทักทายตามแบบฉบับนางสาวไทย

"น้องจ๋า...กินข้าวหรือยัง"

ตอนถามก็ลืมนึกไปว่ามันตีสองแล้ว...

"กินแล้วคับ" แน่ะพูดไม่ชัดด้วย น่ารักเชียว "พี่สาวมาเล่นกับผมไหม" หนูน้อยถือลูกบอลยืนอยู่หน้าประตูบ้าน

"พี่ใส่กระโปรง คงเล่นไม่ได้หรอก..เออ แล้วพ่อแม่น้องอยู่ที่ไหนจ๊ะ ถึงได้มาเล่นคนเดียว"

"อยู่ในบ้านคับ...เขาไม่สนใจผมหรอก" น้ำเสียงมุ่ยๆ ติดจะงอนๆ

"แล้วเขาปล่อยให้หนูออกมาเล่นนอกบ้านได้ยังไง นี่มันก็ตั้ง..." ประโยคที่จะบอกว่า "ตีสอง" ยังไม่ทันออกจากปาก ความฉลาดก็ทำให้ฉันเฉลียวใจ

บ้านไม้สองชั้นดับไฟมืด เด็กกำลังเล่นอยู่คนเดียวกลางสนามร้างตอนตีสอง...ถ้าไม่ใช่เพราะแพ้คำว่า "พี่คนสวย" ฉันคงไม่กล้าแถเข้ามาเกาะประตู คุยกับเด็กคนนี้แน่ๆ

แหะ...แหะ...ฉันหัวเราะเสียงแห้งๆ ปล่อยมือจากประตูแล้วค่อยๆ ถอยหลังออกมา

เวลานี้ ขาฉันสั่นพั่บ พั่บๆ ๆ ไปหมด เรี่ยวแรงจะยืนยังไม่มี

"พี่คร้าบ พี่คนสวย จะรีบไปไหน ผมเหงาจังเลย อยู่เล่นกับผมก่อนสิคับ" เสียงของเด็กยังเหมือนเดิม แต่ฉันรู้แล้วว่า มันไม่ได้ออกจากปาก เสียงคล้ายจะก้องมาจากรอบๆ ตัว

...น้องจ๋า...พี่ก็อยากเข้าไปเล่นเป็นเพื่อนอยู่หรอก...แต่ผู้หญิงสวยมักจะเป็นโรคแพ้นั่น แพ้นี่อยู่เป็นประจำ แล้วสาวสวยอย่างพี่ก็แพ้...เอ้อ...แพ้ผีน่ะค่ะ...

ดิฉันว่าจะตอบอย่างนั้น ถ้าไม่นึกอายนายแท็กซี่ที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง

"น้อง...พ่อแม่อยู่ไหนครับ ช่วยเรียกออกมาหาพี่หน่อย" ฉันสงสัยเหลือเกินว่าคนรูปหล่อ จะประสาทเสียเหมือนๆ กันหรือเปล่า...อยู่ดีไม่ว่าดี ดันให้ลูกไปเรียกพ่อแม่ผีออกมา...

"มีธุระอะไร" เสียงห้าวดังก้องขึ้น

ฉันเหลียวจนรอบตัว...ไม่มีอะไร...ไม่มีใคร...ส่วนนายแท็กซี่ปากหาเรื่องยังยืนกอดอกเฉย เหมือนไม่รู้สึกรู้สมอะไรด้วย

"รีบไปเถอะ" ฉันดึงแขนเขา
"ไม่ทันแล้วครับ" เขาตอบง่ายๆ

ไม่ทันจริงๆ...

วู้...หวิ้ว...รอบตัวเราสองคน ถูกสายลมแปลกๆ หมุนวนจนเกิดเป็นกำแพงล้อมรอบ ฟ้ามืดยิ่งกว่าเคยมืด ทว่า...บ้านตรงหน้ากลับตั้งตระหง่าน กระจ่างชัดท่ามกลางความอนธการ

ฉันทำอะไรไม่ได้ นอกจากเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น เบิกตามองบ้านหลังนั้นโดยไม่อาจหลบเลี่ยง

ท้องฟ้าหนาแน่นด้วยพยับเมฆดำ มันค่อยๆ ก่อตัวเป็นชั้นๆ ท่ามกลางสายฟ้าสีเงินที่แลบแปลบปลาบจากร่องระหว่างเมฆ เสียงเปรียะ เปรียะลั่น สนั่นหู

ชั้นเมฆค่อยๆ ลดระดับต่ำลงมาจนอยู่เหนือหลังคาบ้าน และแล้วมันก็คลี่คลาย ก่อรูปร่างเป็นใบหน้าขนาดมหึมาของชายคนหนึ่ง

"มึงเป็นใคร" ฉันเพิ่งรู้ว่าผีสมัยปัจจุบัน ยังใช้ภาษาสมัยพ่อขุนราม
"พ่อ...เขาเป็นเพื่อนหนูนะ" เจ้าตัวเล็กยืนจังก้ากลางสนาม
"ไอ้หนู เราไม่เกี่ยว ถอยไป" คราวนี้เป็นเสียงผู้หญิง แต่ฉันไม่ยักรู้ว่าดังมาจากไหน

"ลุกขึ้นเถอะคุณ" นายแท็กซี่ยื่นมือให้ คงรำคาญที่ฉันมัวแต่นั่งกองกับพื้นไม่ยอมลุกสักที

ฉันใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีคว้ามือเขาไว้ แล้วลุกขึ้น ค่อยๆ ทำตัวอ่อนเหมือนไม่มีแรง หวังให้เขาประคอง แต่หนอยฉันกลับได้รับประกายยิบๆ ในดวงตาเขาแทน

อันที่จริงฉันตั้งใจเล่นบทพ่อแง่แม่งอนอีกสักสองสามนาที แต่บรรยากาศรอบตัวไม่เป็นใจเสียเลย...ใครก็คงหวานแหว๋วกันไม่ออก ถ้ามีเมฆหน้าผีมาลอยอยู่ใกล้ๆ

"แม่" เสียงเจ้าตัวเล็ก คราวนี้ฉันรู้แล้วว่าเสียงผู้หญิงมาจากไหน

กำแพงบ้านเริ่มขยับเป็นริ้วคลื่น แล้วหมุนวนจนคล้ายกระแสน้ำและท่ามกลางกระแสนั้น ใบหน้าสตรีผู้หนึ่งก็โผล่ออกมา

"ลูก เข้าบ้านไป แม่จะคุยกับเขาเอง" คุณเคยเห็นกำแพงพูดได้ไหม เอาน่า ถ้าคุณเจอผีขี้เมฆได้ ถึงจะเจอผีอิฐ ผีกำแพงอีกก็คงไม่แปลก

"ผมไม่ไปหรอก พ่อกับแม่จะแกล้งเขา ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย" เด็กน้อยฟึดฟัด

"พ่อแม่น้องทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก" นายแท็กซี่พูดเรียบๆ ฉันหันขวับ...อีตานี่ท่าจะบ้า สงสัยฉันต้องอยู่ห่างๆ เสียแล้ว...ถึงจะคิดอย่างนั้น มือฉันก็เกาะเขาแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแก

"แน่ใจรึ ฮ่ะ ฮ่า" ใบหน้าในก้อนเมฆหัวเราะร่า

ฉับพลัน...

"เปรี้ยง" ฟ้าผ่าลงตรงหน้าเราสองคน ครึด ครืน...พยับเมฆแตกตัวเป็นแผ่นๆ พุ่งมาโอบล้อมเราไว้ มันพยายามบีบล้อมเข้ามาพร้อมๆ กับกำแพงลม

ฝุ่นทราย เศษใบไม้ ก้อนหินปลิวว่อน จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ฉันหันหน้าซุกกับอกและกอดเขาแน่น อยากจะแกล้งทำตัวสั่นให้น่าสงสาร แต่ความกลัวทำให้ร่างชาด้าน ดัดจริตไม่ออก

"ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรหรอก" เสียงนุ่มๆ กระซิบริมหู ทำให้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง

เสียงหัวเราะกึกก้อง ดังมาอีกเป็นคำรบสอง กำแพงบ้านระเบิดตูมสนั่น สะเก็ดก้อนของมันพุ่งเข้ามาหาเราราวกับห่าฝน ฉันได้ยินนายแท็กซี่พึมพำด้วยคำพูดแปลกๆ สองสามคำ แล้วฉันก็แว่วเสียงดังซู่ ซู่ โอบคลุมร่างของเรา สะเก็ดก้อนกำแพงที่พุ่งเข้าใส่เราเป็นเหมือนภาพลวงตา ที่กระทบร่างแล้วจางหาย ฉันสัมผัสเพียงลมแรงถาโถมใส่ร่างอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งเสื้อผ้า เส้นผมฉันต่างปลิวพะเยิบราวกับเต้นระบำ

"หยุดเสียเถอะ" เสียงของเจ้าหนูเหมือนเป็นคำสั่งห้ามทัพ
บรรยากาศกลับสู่ความเงียบสงบดังเดิม
"พ่อกับแม่ทำอย่างนี้ทำไม" เจ้าหนูพูด
"พวกเขาจะมาพรากเราไปจากที่นี่ ลูกยอมหรือ" พ่อตอบ
"แต่พ่อไม่ต้องทำอันตรายกับเขาก็ได้นี่"
"แค่ไล่พวกเขาไปเท่านั้นลูก จะได้ไม่มีใครมารบกวนพวกเราไงจ๊ะ" แม่ช่วยพูด

ได้ยินผีเถียงกันอย่างนี้ ฉันค่อยมีสติขึ้นมาหน่อย อันที่จริงก็รู้ตัวนานแล้ว แต่อยากแกล้งกอดหนุ่มหล่อให้นานกว่านี้เท่านั้นเอง แต่เอาเถอะ บรรยากาศมาคุมันหมดแล้ว ขืนยังกอดเขาอยู่ เดี๋ยวโดนจับไต๋ได้

"อีตาบ้า ถ้าไม่หนีตอนนี้ จะให้หนีตอนไหน" ฉันเงยหน้าทำเสียงแข็งกลบเกลื่อนเจตนาตนเอง

"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ" เขาย้ำประโยคเดิม "ไหนๆ คุณก็หลวมตัวมากับผมแล้ว ก็ต้องอยู่ดูจนจบนั่นแหละ"

ฉันชะงักกับคำพูดแปลกๆ ของเขา ที่จริงมันก็แปลกแต่แรกแล้วล่ะ คนอะไรไม่กลัวผี ไม่กลัวอิทธิฤทธิ์ผี แถมยังเรียกมาคุยหน้าตาเฉย

เขาปลดมือฉันออก แล้วเดินตรงไปยังประตูบ้าน

"เรามาพูดกันอย่างธรรมดาจะได้ไหม" เสียงเขาดังและหนักแน่น

(อ่านตอนต่อไปฉบับหน้า...)

คืน "หนาว" ของสาวสวย เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ ?ลางมายา? โดย ชลนิล