Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๘๖

คืน "หนาว" ของสาวสวย (ตอนที่ ๑)
โดย ชลนิล
shortstory



คุณเคยเรียกแท็กซี่ตอนตีหนึ่งมั้ยคะ?

ถ้าคุณเป็นชายหนุ่มกำยำล่ำสัน ก็คงไม่น่าเป็นห่วงอะไร ดิฉันคิดว่าแท็กซี่คงกลัวคุณมากกว่า แต่ถ้าคุณเป็นสาวน้อยบอบบางและแสนสวยอย่างดิฉัน คุณจะรู้สึกอย่างไร

กลัวสิ...แหมยิ่งสมัยนี้ ข่าวปล้นฆ่าข่มขืนมีออกบ่อยๆ

แต่เมื่อจำเป็น จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ ดิฉันจึงหาทางป้องกัน โดยพยายามทำตัวให้สวยน้อยที่สุด ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากที่คนสวยอย่างดิฉันจะทำได้

คุณคงสงสัย ว่าทำไมดิฉันต้องใช้บริการแท็กซี่ดึกดื่นขนาดนี้...ดิฉันอาจเป็นสาวบริการ นักเที่ยวตัวยง นักอ่อยหนุ่มหล่อหรือแม้แต่เป็นแม่ค้าขายพวงมาลัย...

ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดที่กล่าวมา ความจริงดิฉันเป็นพนักงานธนาคารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งมันเล็กเสียจนไม่รู้ว่าจะถูกสั่งปิดเมื่อไหร่ ยิ่งอยู่ในยุคฟองสบู่แตกแบบนี้ พนักงานทุกคนจึงต้องทำงานตัวเป็นเกลียว หัวไม่วางหางไม่เว้น ยิ่งวันศุกร์สิ้นเดือนเช่นนี้ ดิฉันไม่เคยได้กลับบ้านก่อนเที่ยงคืนเลยสักครั้ง

ปกติดิฉันยังโชคดี ที่ได้อาศัยรถเพื่อนๆ พี่ๆ ไปส่งที่บ้าน แต่คืนนี้เป็นศุกร์ซวยของดิฉัน เพราะทุกคนต่างติดธุระด่วนไม่กับครอบครัว ก็กับคนรัก ปล่อยให้สาวสวยและโสดอย่างดิฉัน ต้องหาทางกลับบ้านเอง

"แท็กซี่" ฉันตะโกนเรียกพร้อมโบกมือ ซึ่งธรรมดาก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ แต่ความที่ป้ายรถเมล์มีคนรอแท็กซี่อยู่อีกสองสามคน ดิฉันต้องตะโกนดังข่มเข้าไว้ ไม่งั้นมีคนมาแย่ง

"ไปซอยจำปา" ฉันรีบขึ้นไปนั่งด้านหลัง พร้อมบอกที่หมาย
"ครับ" เสียงตอบรับพร้อมกดมิเตอร์

ไอ้ซอยบ้านดิฉันมันชื่อพิลึกอย่างนี้แหละ ฟังเผินๆ เหมือน "โลงจำปา" แต่ก็ดีอยู่อย่าง ตรงที่บอกครั้งเดียวแล้วรู้เลยแท็กซี่ส่วนใหญ่จะไปถูก มันออกจะไกลจากที่ทำงานโขอยู่ ถ้านั่งรถเมล์ต้องสองต่อกว่าจะถึงบ้าน

เคยคิดจะกัดฟันซื้อรถยนต์ไว้ใช้เองสักคัน แต่ก็อย่างที่บอกแหละ ธนาคารของดิฉันมันเล็ก...เล็กเสียจนที่จอดรถพนักงานยังไม่มี คนที่ขับรถมาทำงานต้องเช่าที่จอดรถเป็นรายเดือน ซึ่งค่าเช่าก็ไม่แพงเท่าไหร่ ถูกกว่าเงินชำระงวดผ่อนรถนิดเดียวเอง

"รักเอยจริงหรือที่ว่าหวาน"

หนอย...คนกำลังคิดเพลินๆ แท็กซี่อารมณ์สุนทรีย์ดันเปิดเพลงเสียดแทงอารมณ์อีกแล้ว สงสัยไม่เคยรู้ว่า เพลงนี้มันแสลงใจสาวโสดแค่ไหน

"ขอโทษพี่" นอกจากทำตัวให้สวยน้อยที่สุดแล้ว ดิฉันต้องพยายามทำเสียงห้าวๆ ให้คล้ายทอมเข้าไว้ จะได้เป็นเกราะป้องกันตัวอีกชั้น

"ช่วยเปลี่ยนสถานีให้หน่อย"
"ครับ" นายแท็กซี่คนนี้ว่าง่ายดี ไม่ยักถามอะไรซอกแซกประเภท...ทำไมถึงไม่ชอบเพลงนี้ล่ะคุณ...?

...บอกแล้วมันแสลงใจ...

คลื่นใหม่ เพลงเปิด...

"ฉันคงไม่อาจทำให้เธอเปลี่ยนใจ ฉันคงไม่อาจทำให้เธอกลับมารักฉัน..."

กรี๊ด...ไม่ฟังได้มั้ยเพลงนี้...

ฉันอยากตะโกนให้ลั่นรถ คนที่เคยอกหักมาหกสิบแปดครั้งอย่างฉัน จะให้ฟังเพลงอย่างนี้ได้ยังไง...ยิ่งฟัง ยิ่งคิดถึงวันเก่าๆ

สาวสวยอย่างดิฉัน มักมีชายหนุ่มมาติดพันชอบพออยู่เสมอ แต่เป็นเพราะฉันสวยเกินไป แสนดีเกินไป ผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามา จึงได้แต่เดินผ่านออกไป ไม่ยอมกลับมาอีก

...นี่แหละหนา เขาว่า มีความสมบูรณ์ดีพร้อม ใช่ว่าจะเป็นสุข

"ขอโทษอีกทีพี่ ช่วยเปลี่ยนสถานีอีกทีเหอะ"
"ฟังข่าวมั้ยครับ" เขาถามลอยๆ
"ก็ได้ ฉันเป็นโรคแพ้เพลง ได้ยินทีไรอยากพังวิทยุทุกที"

สถานีเปลี่ยนใหม่ ไม่มีเพลง แต่มีข่าว

"เช้าวันนี้ คณะรัฐบาลได้มีมติให้ธนาคาร...ยุบรวมกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์...ตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ..."

ฉันฟังแล้วหนาวหัวใจ แต่ก็พยายามทน เพราะขืนบอกให้เขาเปลี่ยนสถานีบ่อยๆ ไม่แคล้วคงโดนย้อนเข้าให้ว่า

"ผมไม่ใช่ดีเจ" หรือไม่ก็อัญเชิญฉันให้ไปนั่งรถคันอื่น ซึ่งไม่แน่ว่าจะหาได้หรือไม่

"ปิดตลาดหุ้นเย็นวันนี้ ดัชนีตกมาอยู่ที่ระดับ...นับว่าเป็นการตกอย่างต่อเนื่อง จนเกือบถึงกราวรูด"

"เปลี่ยน!" ฉันประกาศิต...ให้ฉันทนฟังได้ทุกข่าว ยกเว้นข่าวหุ้นตก...

ใครจะทนฟังได้ เมื่อรู้ว่าหุ้นที่เคยทุ่มซื้อสมัยเฟื่องฟู ดัชนีขึ้นเลยพันจุด...จนวันนี้ ทำได้แค่หวั่นใจว่า มันจะร่วงต่ำกว่าร้อยจุดเมื่อไหร่

"คร้าบ..." เขาแกล้งลากเสียง คงรำคาญเต็มที่ มือเอื้อมไปยังปุ่มทำท่าเหมือนจะปิดวิทยุ แต่เปลี่ยนใจย้ายคลื่นไปอีก

"เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะพี่..." เอ...นี่มันสถานีอะไรหว่า...มีเสียงเด็กสาวดังออกมาไม่ชัดนัก เหมือนเสียงคุยทางโทรศัพท์?

?คืนนั้นหนูกับเพื่อนๆ เดินผ่านซอยเปลี่ยวตอนดึกๆ? รายการอะไรวะ...ฉันนึกสงสัย

?แล้วหนูก็เจอผี?

โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็คลื่นสยอง ๒๔๙๙ นี่เอง

"ฟังได้มั้ย" เสียงลอยมาจากคนหลังพวงมาลัย
"ดีกว่าฟังเพลงรักไร้สติปัญญาหน่อยนึง" ฉันตอบ
?งั้นหรือ? เสียงพูดเหมือนเยาะ ?คงดีกว่าฟังข่าวสารบ้านเมืองด้วย??
"ก็ข่าวชวนหดหู่อย่างนั้นจะไปฟังทำไม"
"ผมหาเช้ากินค่ำ ไม่เคยมีเงินฝากธนาคารกับเขาสักที ต่อให้ธนาคารถูกปิดสิบแห่ง ผมก็ไม่สน ยิ่งเรื่องตลาดหุ้นต่อให้มันดิ่งลงเหวถึงเลขศูนย์ มันก็ไม่ทำให้ผมลำบากไปกว่านี้หรอก" เขาสวนคืน

ฉันเงียบ ไม่ใช่ไม่อยากเถียง แต่มันเถียงไม่ออก

ช่วงที่เราสองคน เอ๊ย ฉันกับอีตาแท็กซี่ปากร้ายหยุดพูด เสียงจากวิทยุก็ทำหน้าที่แทน

"เอาล่ะครับ ต่อไปถึงคราวคุณสุนันท์ เล่าประสบการณ์สยองแล้วครับ" เสียงของดีเจดังขึ้น แสดงว่าเด็กคนตะกี้เล่าจบแล้ว

"ค่ะ เรื่องนี้ก็เกิดในซอยเหมือนกัน"
"เอ ซอยเดียวกับน้องแอ๊วหรือเปล่าครับ"
"ไม่ใช่ค่ะ"
"ผี่ที่หลอกเป็นผีผู้ชายเหมือนกันมั้ยครับ"
"ไม่ใช่โว้ย อุ๊ย...ขอโทษนะคะ พี่จะเล่าเองหรือเปล่า"
"อ๋อ...อ้อ...มิได้ เชิญครับ เชิญเล่าตามสบายเลย"

มีเสียงเหมือนถอนหายใจ ฉันขี้เกียจดูรถติด เลยเอนหลัง ตั้งใจฟังนิทานผีจากวิทยุไปเรื่อยๆ

"บ้านของน้องอยู่ในซอยแห่งหนึ่ง เป็ยซอยแคบๆ รถยนต์วิ่งเข้าไปไม่ได้ ระยะทางจากบ้านถึงท้ายซอยใช้เวลาเดินประมาณสิบนาที ในซอยมีบ้านปลูกอยู่ห่างๆ กันบางช่วงเป็นที่ดินร้าง หญ้าท่วมหัว บ้านบางหลังก็ยังสร้างไม่เสร็จทิ้งค้างไว้เป็นปีๆ

แต่ที่น่ากลัวคือ พวกบ้านร้างที่ไม่มีคนอาศัย บ้านเหล่านี้มีประวัติน่าหวาดเสียวทั้งนั้น มีอยู่หลังนึง เขาว่าเจ้าของผูกคอตายเพราะถูกผู้ชายทิ้ง"

"อ้อ งั้นผีที่น้องเจอ ก็คงมาจากบ้านหลังนี้สิครับ" ดีเจอดสอดไม่ได้
"ไม่ค่ะพี่ ไม่เกี่ยวกันเลย น้องแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ"
"อ้าว..."

"นอกจากนี้ยังมีอีกหลังนะคะ เขาว่าเจ้าของบ้านทำธุรกิจเจ๊ง เป็นหนี้สินมากมาย พอไม่มีทางเลือก ก็เลยฆ่าตัวตายแต่ไม่ได้ตายคนเดียวนะ ดันพาลูกเมียไปทัวร์กันด้วย"

"แสดงว่าน้องเจอครอบครัวผี ว่างั้นเหอะ? ดิฉันเริ่มรำคาญอีตาดีเจคนนี้แล้ว
"ไม่เกี่ยว...นี่พี่ฟังเฉยๆ ไม่เป็นเหรอ ถ้าน้องเล่าให้ฟังแล้วไม่น่ากลัว พี่ค่อยเปิดเพลงปอบผีฟ้ากรอกหูก็ยังทัน"
"จ้า...จ้ะ"

"มีอยู่คืนหนึ่ง น้องกลับบ้านดึกกว่าปกติ ต้องนั่งแท็กซี่ไปลงปากซอย จากนั้นก็เดินเข้าไป...แรกๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว เพราแถวปากซอยมีบ้านคนหลายหลัง จนพอน้องเดินผ่านพวกบ้านร้างสิคะ จู่ๆ ก็มีลมพัดมาหอบหนึ่ง น้องงี้เสียวสันหลังวูบเลย ไม่กล้าเหลียวซ้ายแลขวา ได้แต่จ้ำเอา จ้ำเอา เกือบจะถึงบ้านอยู่แล้ว น้องก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหน้า"

"ช่วยด้วย ช่วยด้วย" เป็นเสียงผู้ชายนะคะ จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงตามมา
"กูจะฆ่ามึง กูจะฆ่ามึง"?

ทีแรกน้องคิดว่าเป็นผัวเมียที่อยู่ท้ายซอยเขาตีกัน แต่ที่ไหนได้ ผู้ชายที่น้องเห็นวิ่งนำหน้ามานั้น เสื้อผ้าขาดวิ่นเลือดไหลโทรมตัว ส่วนผู้หญิงที่วิ่งตามมา ก็ถือมีดปังตออันใหญ่ ใบหน้าเธอเขียวซีด นัยน์ตาแข็งทื่อเหมือนศพ และที่สำคัญ เท้าของทั้งคู่กำลังลอยเหนือพื้น?

"แล้วน้องทำอย่างไรต่อไปครับ? เป็นครั้งแรกที่อีตาดีเจถามตรงใจฉัน
"เอ่อ...น้องก็กลัวจนยืนเยี่ยวราดอยู่ตรงนั้นแหละค่ะ"

ฉันได้ยินเสียงขลุกขลักดังมาจากคนขับแท็กซี่ มันคล้ายๆ เสียงหัวเราะที่พยายามข่มอาการ

"เอ้อ น้องจ๋า เรากำลังออกอากาศอยู่ กรุณาใช้คำพูดที่สุภาพหน่อยนะ" เสียงอีตาดีเจ ฟังคล้ายๆ เสียงอีตาแท็กซี่ตะกี๊นี้

"เอาล่ะครับ" เขาคงหาทางเปลี่ยนเรื่อง "สรุปว่าน้องไม่ได้เจอผีผูกคอตาย กับครอบครัวทัวร์นรก..."
"นี่พี่...แค่ผีเมียไล่ฟันผัวนี่ น้องก็เยี่ยว...เอ๊ย ปัสสาวะราดแล้ว ขืนเจอผีสองบ้านนั้น น้องจะยังมีชีวิตมาเล่าให้พี่ฟังได้เหรอ"
"แล้วมีคนเจอผีสองบ้านนี้มั้ยครับ"
"ก็มีนะพี่ บางคนที่เดินผ่านบ้านที่เจ้าของผูกคอตายน่ะ เขาเคยเห็นผู้หญิงที่มายืนเกาะประตูรั้วร้องไห้ ส่วนอีกบ้านเขาก็เคยเห็นเด็กตัวเล็กๆ มาวิ่งเล่นที่สนามตอนเที่ยงคืน"
"แหม...อย่างนี้ ซอยบ้านน้องสุนันท์ก็นับว่าเป็นซอยสยอง ๒๔๙๙ ได้ซอยนึงทีเดียว...ขอโทษนะครับ น้องพอจะเปิดเผยชื่อซอยได้มั้ยครับ"
"ได้สิคะ...บ้านของน้องอยู่ที่ซอยจำปา!"

เอี๊ยด...รถเบรกกึก ฉันเกือบหัวทิ่ม

"ถึงแล้วครับ" นายโชเฟอร์พูดลอยๆ ขณะที่ป้ายชื่อ "ซอยจำปา" เด่นโพลนท่ามกลางแสงไฟ

ฉันกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ขนลุกซู่ทั้งๆ ที่แอร์ในรถก็ไม่ได้เย็นสักเท่าไหร่ อันที่จริง ให้ฉันไปฟังข่าวตลาดหุ้น หรือไม่ก็ฟังเพลงรักบาดใจคนขึ้นคาน (ไม่ใช่ฉัน) ยังดีเสียกว่ามาฟังเรื่องซอยสยอง ๒๔๙๙ ซึ่งมันจะเป็นซอยไหนก็ไม่เป็นดันมาเป็นซอยบ้านฉันเอง

"ทั้งหมด ๙๕ บาทครับ" นายแท็กซี่เปิดไฟในรถแล้วหันมาบอกราคาค่าโดยสาร

ดิฉันตะลึงไปราวสามวินาที...เอ้อ...ไม่ได้ตกใจกับราคาค่ารถหรอกค่ะ...แต่ว่าอีตาโชเฟอร์ที่ฉันประฝีปากด้วย ดัน...รูปหล่อชะมัด...ตาเรียวๆ คิ้วเข้ม ปากเล็กๆ ตรงสเปคเลย ดูคล้ายพระเอกหนังญี่ปุ่นเรื่องไอ้มดแดง (ตอนยังไม่แปลงร่าง)

และในเวลานั้นเอง ฉันก็ได้พูดในสิ่งที่ไม่คิดว่า ในชีวิตของสาวสวยเช่นฉันจะกล้าพูดได้

"ฉันให้ร้อยนึงเลย ไม่ต้องทอน" ฉันหยิบแบงค์ร้อยขึ้นมา กลืนน้ำลายเล็กน้อยอย่างเสียดายก่อนพูดต่อ
"แต่ช่วยเดินเข้าไปส่งฉันหน่อย"

แววตาเขามีประกายยิบๆ เหมือนจะขำขันอะไรบางอย่าง

"ขอโทษนะคุณ ค่าแรงเดินไปส่งคุณนี่ แค่ห้าบาทเองเหรอ" เขาพูด
"บ้านฉันอยู่ไม่ลึกหรอก ไม่ถึงสุดซอย" ฉันบอก
"แต่ผมก็เสียเวลารับผู้โดยสาร"
"ฉันก็เหมือนกันแหละ ต้องเสียเวลาระวังตัว เข้าไปในซอยเปลี่ยวด้วยกันอย่างนี้ คุณอาจหน้ามืด ทำมิดีมิร้ายกับฉันก็ได้"
"ถ้าอย่างนั้นคุณจ ะให้ผมเดินไปส่งทำไม" เขาถามแกมรำคาญ

ฉันอึ้ง...ใครจะกล้าบอกล่ะ ว่ากลัวผีมากกว่ากลัวโดนข่มขืน...
อีกอย่าง ถ้าคนที่จะข่มขืนรูปหล่อขนาดนี้ ก็น่าสน...

"ไม่ไปก็ตามใจ ทอนมาด้วย" กลัวก็กลัว เสียดายก็เสียดาย แต่แหมคนเรามันก็ต้องมีฟอร์มกันบ้าง ขืนแสดงเจตนาไปโต้งๆ ก็แย่น่ะสิ

เขารับเงินใส่กระเป๋าหน้าตาเฉย

"ไปก็ไป ได้ห้าบาทก็ยังดี ดึกๆ ยิ่งหาผู้โดยสารยากๆ อยู่"

(อ่านตอนต่อไปฉบับหน้า...)

คืน "หนาว" ของสาวสวย เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ ?ลางมายา? โดย ชลนิล