Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๘๓

เลือดกุหลาบ (ตอนที่ ๒)

shortstoryชลนิล

?


...ขาทั้งสองข้างยังพาร่างมุ่งไปสู่เบื้องหน้า ปากของเธอตะโกนร่ำร้องเพรียกหาใครคนหนึ่ง...


เสียงของนิลรดาไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ เพลงประกอบหนังยังดังอย่างอ้อยสร้อย ผมเคยซาบซึ้งกับเพลงนี้ มาตอนนี้ผมกลับขนลุกเกรียวที่เพลงไม่ยอมหยุดบรรเลง

?พวกมึงทำอะไรกับนิล? ผมกัดฟัน เค้นคำถาม

ภาพบนจอดับวูบ โรงหนังสู่ห้วงอนธการ เสียงหัวเราะบาดหูหลายเสียงดังกระหึ่ม

?ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอื๊อก เอื๊อก ฮ่า...? น้ำเสียงเน้นหนัก ดังขึ้นเรื่อย ๆ กระหน่ำใจผมจนเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ สติสัมปชัญญะแทบกระเจิดกระเจิงหลุดลอย

เสียงพวกมัน เหมือนมาจากอเวจี

?พวกกูทำอะไร อ่า ฮ่า ถามตัวเองก่อน มึงเคยทำอะไรกับพวกกู?

?ฉัน...ทำอะไร?? ผมถามอย่างงุนงง

?กูจะทบทวนความทรงจำให้...จงดู?? น้ำเสียงกระด้าง โหดลึก

ภาพปรากฏบนจอ ไม่มีเพลงประกอบ แต่ทว่าจังหงะความรู้สึกในใจผม มันเต้นเร่ายิ่งกว่าบทเพลงทุกเพลงในโลก

...เปิดภาพด้วยโคลสอัพเส้นเชือกที่มัดแน่นหนาบนขื่อ ไล่ภาพจากปลายเชือกลงมาเบื้องล่าง หยุดภาพตรงข้อเท้าที่ถูกมัดแขวนห้อยร่องแร่ง...

ตัดภาพเป็นระยะกลาง และระยะไกลอย่างเร็ว

ผมเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าตนเองกำลังเป็นผู้แสดงอยู่ในนั้นด้วย

...หนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งถูกผมจับมัดแขวนห้อยหัวในโกดังร้างแห่งหนึ่ง ส่วนผมกำลังเดินวนรอบ ๆ ร่างมัน รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้าผม

?ขอชีวิตมึงสิ ไอ้สัตว์?? ผมใช้ปลายมีดเขี่ยคางมันด้วยท่าทางสัพยอก ?เผื่อบางที กูจะใจอ่อน ไว้ชีวิตมึง?

นัยน์ตาของมันเหลือกลาน กลอกกลิ้งไปมา น้ำตาแห่งความกลัวตายไหลทะลักราวทำนบพัง ปากของมันชุ่มโชกไปด้วยเลือด ?เหยื่อ? คงอยากร้องขอชีวิต ถ้าลิ้นของมันจะไม่ถูกตัดไปเสียก่อน

ผมหัวเราะเบา ๆ หากแววตากระด้าง ไม่มีรอยยิ้ม

?กูเล่นกับมึงสนุกพอแล้ว? ผมพูดเพียงเท่านี้ ร่างที่ถูกมัดก็พยายามดิ้นรน...เป็นครั้งสุดท้าย

?มึงเคยเห็นไก่ถูกเชือดคอมั้ย?? ผมยิ้มให้มันอย่างใจดีที่สุด ?ไก่มันยังไม่ตายหรอก ตอนเขาเอาขันมารองเลือดน่ะ?

ผมกระชากหน้ามันให้แหงนขึ้นสบตากับผม

?มันจะตายช้า ๆ จนกว่าเลือดจะหมดตัว...สำหรับมึง คงต้องใช้กะละมังใหญ่หน่อย อาจตายช้าสักนิด แต่ก็ดี มึงจะได้ค่อย ๆ มองเลือดของมึงไหลลง จนเต็มกะละมัง?

ปลายมีดเขี่ยบนลำคออันสั่นระริกของมัน ผมแสยะยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกดปลายมีด...

ผมหลับตาทันที ที่หนังฉายมาถึงฉากนี้ แต่ไม่มีประโยชน์ ภาพต่อจากนั้น ได้กระจ่างชัดในสมองผม ยิ่งกว่าภาพที่ปรากฏบนจอ...

...เลือด เลือด.. สีแดงฉานของมันหลอกหลอนผมมาทุกขณะจิต

ไม่ต้องลืมตา ผมก็รู้ว่าเหตุการณ์ในภาพยนตร์พิเศษเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร...

...เด็กหนุ่มอีกคน ถูกผมจับมัดมือมัดเท้า โยนลงไปในอ่างอาบน้ำ ลากไม้กระดานปิด แล้วเปิดน้ำอย่างช้า ๆ ความตายที่กรายเข้ามากับความเย็นของสายน้ำ มันน่าสะพรึงกลัวปานใด แรงดิ้นรนใต้ไม้กระดานที่ผมนั่งทับ บอกได้ดี

และ...รายที่สาม

ไอ้หนุ่มคนนี้มันรูปหล่อที่สุด ผมจับมันแก้ผ้า ขึงพืด ใช้เบนซินชุบผ้ายาว ๆ วางเป็นตัวหนังสือบนหน้าอกมันว่า...

?...ระยำ...?

แน่นอน ผมจุดไ
หลังจากนั้น

มันเป็นรายสุดท้าย

ภาพทุกภาพ เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ถูกนำมาฉายบนจอ ราวกับมีใครไปแอบถ่ายการกระทำของผมเอาไว้ หนังฉายจนกระทั่งเปลวไฟสีส้มลามเลียทั่วร่างโสโครก และลุกโพลงอีกครั้งด้วยน้ำมันเบนซินอีกถัง...

เปลวไฟสว่างเจิดจ้า ไม่ผิดไฟแค้นในใจ

ผมลืมตาเมื่อทุกเรื่องจบลง

จอหนังมืดสนิท ความร้อนที่เห็นยังคงลอยอ้อยอิ่ง

?มึงคงรู้สิว่า พวกกูเป็นใคร?? เสียงถามกระหึ่มก้อง

?รู้? ผมตอบสั้น ๆ พวกมัน...วิญญาณแค้น รอทวงหนึ้ผม

?มึงทรมานพวกกูก่อนตายอย่างเจ็บปวด เลือดเย็น คราวนี้ทีกูบ้างมึงต้องทรมาน เจ็บปวด
ยิ่งกว่าพวกกู?

?เริ่มจากของว่างก่อนเป็นไง? เสียงแหลม ๆ แทรกขึ้น

เส้นเหนียว ๆ หยุ่น ๆ มัดผมไว้กับเก้าอี้อย่างรวดเร็ว กลิ่นฉุนกึกของซากศพพลุ่งเข้าจมูก ผมหายใจแทบไม่ออกอยากดิ้นรน แต่ร่างกายขยับไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น เปลือกตาผมยังแข็งค้าง เบิกโพลงราวกับหิน

พวกมันต้องการให้ผมดู โดยไม่อาจหลบเลี่ยงได้

?อย่า...ช่วยด้วย...? เสียงที่ดังมาก่อนภาพ กระตุ้นผมให้สะดุ้งเฮือก รู้แล้วว่าพวกมันต้องการให้ผมดูอะไร

...มันเป็นห้องเล็ก ๆ ผนังทึบ ควันลอยคละคลุ้ง แสงจากหลอดไฟดวงเล็ก ๆ ส่องให้เห็นถึงข้าวของระเกะระกะเต็มห้อง

?มึงล๊อกแขนไว้ ส่วนมึงล๊อกขา กูจะจัดการก่อน?

ภาพที่เห็น ผมไม่ต้องการบรรยาย เพียงแค่เสียงพูดของมัน ก็ทำให้ใจผมถูกกรีดเป็นริ้วแผลเหลือคณานับ

...นิลถูกสัตว์นรกเหล่านี้ข่มขืน..

เธอไม่ได้ถูกข่มขืนในซอยเปลี่ยว ไม่ได้ถูกวางยาสลบ แต่โดนเพื่อนนักศึกษาที่เธอไว้ใจหลอกมาข่มขืน...

ผมไม่ต้องการพบเหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ต้องการได้ยินเสียงของมันแต่ภาพตรงหน้า ช่างดำเนินไปอย่างเนิ่นนาน ทุกบทบาท ทุกขั้นตอน ถูกถ่ายทอดออกมาจนละเอียดยิบ ยิ่งได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนิล ผมยิ่งปวดร้าวลึกซึ้ง ยิ่งกว่าถูกคมมีดกรีดลึกตัดขั้วหัวใจ ยิ่งกว่าถูกเปลวไฟแผดเผาร่างทีละน้อย ๆ

ที่สุด น้ำตาผมเริ่มไหลลงมาช้า ๆ นัยน์ตาพร่าด้วยหยาดใส ๆ จิตใจที่ถูกกรีดด้วยคมมีดแห่งภาพตรงหน้ากลายเป็นด้านชา มีแต่ความรู้สึกเสียใจที่ทะลักออกมาคล้ายน้ำล้นเขื่อน เหตุการณ์บนจอดูเลือนราง สรรพสำเนียงอื้ออึงในหูจนไม่อาจจับใจความได้

...ถ้าการร้องไห้เป็นสิ่งน่าอาย ผมก็ยินยอมอับอายไปชั่วชีวิต...


หนังจบ จอขาวพร่าง ไฟสว่างทีละดวง แถวเก้าอี้ด้านหน้าชัดขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายขยับเป็นปกติ

ของว่างสำหรับพวกมันหมดแล้ว ต่อไปคือรายการของจริง

ไฟสว่างจ้า โรงหนังตกอยู่ในความเงียบที่น่าขนลุก ผมลุกขึ้น ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เหลียวมองรอบตัว ไม่เห็นมีใคร เหงื่อซึมเต็มหน้า มือเกร็งจับที่เท้าแขนแน่น

พวกมันจะเล่นงานผมอย่างไร?

?หนี?
ผมไม่ยอมเป็นเหยื่อให้พวกมันเชือดง่ายๆ...เร็วเท่าความคิด ผมรีบไปยังทางออก แต่ประตูทุกบานปิดล๊อก...

ผมคลายมือจากลูกบิดประตู ถอยหลัง นัยน์ตาสับสน พวกมันจะเล่นเกมปิดประตูตีแมว ผมควรหันไปเผชิญหน้ากับพวกมันทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางสู้หรือตะเกียกตะกายหนีให้สมใจพวกมัน

ฟู่...วี๊ด... เสียงคล้ายเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่กำลังทำงาน ความเย็นจนเสียดกระดูกแผ่ออกมาจากผนังและเพดานสีหลอดไฟหม่นซัวลงเป็นแสงสีเทาซึม ๆ ผมวิ่งไปที่ประตู เขย่ามันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

เปล่าประโยชน์...ใจผมเต้นตึกตัก คิดหาทางออกไม่ได้ ผมกลายเป็นไอ้โง่ ไอ้บ้าวิ่งวนเวียนรอบโรงหนังจนกระทั่งเหนื่อย

เสียงที่เหมือนเครื่องปรับอากาศกำลังดังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าคราวนี้ สิ่งที่มันพ่นออกมากลับกลายเป็นความร้อนระอุ

ผมหอบหายใจถี่ๆ เหงื่อโทรมตัว คอแห้งผาก อากาศร้อนจนเหมือนอยู่กลางทะเลทราย ที่มีดวงอาทิตย์ถึงสามดวง

จอหนังกำลังฉายภาพอสุรกายสามตน แรกสุดเป็นซากปีศาจคอห้อยร่องแร่ง เลือดสีแดงสดใสไหลย้อมทั่วร่าง ต่อมาเป็นปีศาจตัวขาวซีดออกเขียว นัยน์ตาเบิกค้างถลนแห้งไม่ผิดกับปลาตาย และสุดท้ายเป็นร่างที่มีเนื้อหนังพุพอง ใบหน้าไหม้เฟะ
กะโหลกศีรษะ ที่หน้าอกมีรอยไหม้ดำๆ เป็นตัวหนังสืออ่านว่า ?ระยำ?

ทั้งสามล้วนต้องการชีวิตผม

ผมยืนนิ่งกลางโรงหนัง หมดทางหนี
ไม่มีการต่อเวลา

พวกมันก้าวออกมาจากจอหนัง ร่างกาย
สูงใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดาเกือบเท่าตัว ทั้งสามเดินเข้ามาโอบล้อมผมไว้ตรงกลาง

เวลานั้น ต่อให้อสุรกายทั้งสามตนไม่ล้อมผมไว้ ผมก็ไม่มีปัญญาหนีจากมันได้ เพราะขาทั้งสองข้างแข็งทื่อ ร่างกายขยับไม่ได้ แต่ละวินาทีที่วงล้อมบีบรัดเข้ามา ใจผมยิ่งห่อหด ไม่สามารถคิดหาทางรอด

มันทั้งสามแสยะยิ้มอย่างลำพอง ดังจะประกาศชัยชนะขั้นสุดท้าย

พวกมันแค้นผม ที่ฆ่ามันอย่างโหดเหี้ยม
ผมก็ชิงชังพวกมัน ที่ข่มขืนและเป็นเหตุให้นิลต้องตาย


พวกมันตายอย่างสาสม ต่อให้ผมย้อนเวลาได้ ผมก็จะทำอย่างที่กระทำลงไปแล้ว แม้เวลานี้ กำลังจะได้รับการทวงแค้นคืนก็ช่าง...อย่างนี้นี่เองที่เรียกกงล้อแห่งกรรม หมุนเวียนไปมา ไม่มีที่สิ้นสุด

ยิ่งพวกมันเข้ามาใกล้ ผมยิ่งนึกถึงเวลาใกล้ตายของมัน ตอนที่เลือดค่อยๆ ไหลออกจากร่าง มันจะเป็นอย่างไร ขณะที่น้ำไหลทะลักเข้าปากเข้าจมูก ความพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดก่อนอากาศจะหมดจากปอด และสุดท้าย ความร้อนของไฟเมื่อลุกท่วมร่างของคน จนต้องดิ้นทุรนทุรายกระทั่งดับดิ้น

ความตายไม่น่ากลัว ทว่า การรอความตาย ความทรมานก่อนจะตายต่างหาก ที่น่ากลัว

...พวกมันต้องการให้ผมทุกข์ทรมานใจที่สุด ก่อนจะตาย...

ปีศาจตนแรกเดินมาถึง คอห้อยร่องแร่งของมันตวัดขึ้น นัยน์ตาดุดันจ้องผมเขม็ง มือถือมีดวาววับจ่อบนคอผม ส่วนอีกสองตนยืนขนาบข้างผม จ้องผมไม่ผิดจากปีศาจตนแรก ผิดกันที่ด้านหนึ่งแผ่เปลวความร้อน อีกด้านทำให้ผมหนาวยะเยือกเข้าจับหัวใจ

เหอ...เหอ...เหอ...สามเสียงหัวเราะเสียดประสาท

?พวกกูบอกว่าจะให้มึงพบกับคนรัก?? เสียงพูดฟังเหยียดหยัน ?กูก็ให้มึงได้เห็นแล้ว...เอาสิ ถ้ายังไม่พอ กูจะให้มึงได้ดูหนังอีกเรื่อง?

สิ้นเสียง ไฟดับพรึบ จอหนังขาวพร่าง เด่นโพลน...

...ภายในห้องนอน แดดยามสายส่องผ่านผ้าม่านมายังเตียงของหญิงสาว ข้างเตียงผมนั่งกุมมือนิลรดา พยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมเธอ...

?พี่จะเอาตัวมันมาลงโทษ ให้สาสมกับความผิด ขอเพียงนิลยอมไปเป็นพยานนะจ๊ะ??

หญิงสาวนิ่ง เป็นอาการนิ่งหลังจากตอบปฏิเสธมาหลายครั้งหลายครา

ผมก้มหัว ในใจทั้งอัดอั้น ทั้งเจ็บปวด ในฐานะคนรัก ผมอยากฆ่าพวกมันสามคนกับมือ แต่ความเป็นตำรวจ ทำให้ต้องยับยั้งชั่งใจ ให้กฎหมายลงโทษพวกมัน แต่ทว่า ถ้าไม่มีเจ้าทุกข์ ก็เอาผิดพวกมันไม่ได้

เราสองคนตกอยู่ในความเงียบงันกันแสนนาน จนผมเป็นฝ่ายหมดความอดทน

?ไม่เป็นไร? ผมพูดในที่สุด ?เราไม่ต้องพึ่งกฎหมายก็ได้?

นิลรดาเห็นแววตาผม เธอจึงรีบรั้งมือผมไว้

?อย่านะคะ? นัยน์ตาเธอเอ่อคลอด้วยน้ำตา เป็นน้ำตาแห่งการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ?นิลไม่ยอมให้พี่ต้องมาเสียอนาคตเพราะนิล?

ไม่มีใครยอมพูดจากันอีก แต่เพียงเท่านี้ผมก็รู้การตัดสินใจของเธอแล้ว

ภาพถูกตัดไปอีกสถานที่หนึ่ง

ในห้องสอบสวน นิลรดากำลังถูกสอบปากคำจากสารวัตรเจ้าของคดีโดยมีผมนั่งให้กำลังใจ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังต้องกระอักกระอ่วนกับหลายๆ คำถาม ที่มีแม้กระทั่งคำถามที่ว่า... ?ไอ้นั่น? เข้าไปลึกเท่าไหร่?

ภาพถูกตัดไปยังมหาวิทยาลัย

นิลพยายามฝืนใจไปเรียน แต่ทว่าเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยทำให้เธอต้องลาออก...สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่อาการรังเกียจ ไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็น แต่ที่น่ากลัวที่สุด คือคนที่มีท่าทางเห็นใจ แต่กลับบอกกับใครๆ ว่าโชคดีนะที่ไม่โดนกับตัวเอง...

ในศาล

ภาพมุมกว้าง มองให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ น่าศรัทธา แต่ทว่าพอเริ่มการฟาดฟันด้วยชั้นเชิง และช่องโหว่ทางกฎหมายทำให้ที่แห่งนี้เหมือนโรงละครแห่งหนึ่ง

เด็กหนุ่มทั้งสามเป็นลูกผู้ดี มีเงิน สามารถจ้างทนายชั้นนำของประเทศมาได้ รูปคดีถูกพลิกผันให้เป็นการสมยอม แล้วเรียกร้องเอาผลประโยชน์ หลักฐานพยานของโจทก์อ่อนมาก เพราะกว่าจะไปแจ้งความเวลาก็ผ่านไปเป็นสัปดาห์นิลรดาต้องต่อสู้อย่างโดดดี่ยว ไม่มีใครช่วยได้แม้แต่ผม ผู้หญิงสาวที่ไม่เดียงสาเรื่องเพศ ต้องถูกคำถามต้อนไปต้อนมา ต้องเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองอยากลืมให้ทนายจำเลยฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ในทุกแง่มุม...

สุดท้าย...เราแพ้

นิลฆ่าตัวตาย

จอมืดสนิท อย่าถามว่าผมรู้สึกอย่างไร...

?มึงคิดว่าเรื่องมีแค่นี้หรือ? เสียงของมันดังอยู่เหนือหัวผม
?มีอะไรมากกว่านี้หรือไง? ผมถามเสียงเฉื่อยชา
แทนคำตอบ จอภาพยนตร์ก็ฉายเหตุการณ์ใหม่ที่ผมไม่เคยรู้...

(อ่านตอนต่อไปฉบับหน้า...)

เลือดกุหลาบ เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ ?ลางมายา? โดย ชลนิล

===============================================