Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๘๒

shortstory
เลือดกุหลาบ (ตอนที่ ๑)

ชลนิล


ร่างเขายับเยินด้วยบาดแผล
ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก นัยน์ตาเหลือกค้าง สีหน้าบ่งบอกถึงความทรมานที่สุดในชีวิต เนิ่นนาน ดูราวกับเป็นความทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ ก่อนร่างเขาจะค่อยๆ ล้มฟาดบนถนน

เมื่อมองสูงขึ้นไป จะเห็นชายหนุ่มชุ่มโชกด้วยเลือด นอนแผ่ยาวอย่างเดียวดาย เขาพยายามสูดลมหายใจเพื่อเรียกพลังชีวิตคืนมา แต่แล้ว สายลมที่หล่อเลี้ยงชีพจรก็ค่อยๆ จางหาย ทีละน้อยๆ

บนถนนที่ร้างยวดยาน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งอย่างเต็มกำลัง ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ที่เธอสวมใส่เปรอะเปื้อนด้วยคราบฝุ่นและน้ำตา

เส้นทางยังทอดยาว เธอคงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สนใจว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานอีกสักกี่พันครั้ง ชุดเจ้าสาวแทบไม่เหลือร่องรอยเดิม ขาทั้งสองยังพาร่างมุ่งสู่เบื้องหน้า ปากของเธอตะโกนร่ำร้อง เรียกหาเพียงชื่อของเขา...

และแล้ว เสียงเพลงอันนุ่มละมุน คล้ายเสียงคร่ำครวญถึงความรักก็ดังขึ้นมา...

ภาพและเสียงเพลงสะกดคนทั้งโรงหนังให้เงียบงัน จนกระทั่งม่านค่อยๆ รูดปิดลงอย่างช้าๆ ผมถอนใจยาว ราวกับผ่านงานอันหนักหน่วงมาชิ้นหนึ่ง ผู้คนต่างทยอยกันออกจากโรงหนัง มองคล้ายฝูงมดที่เดินเป็นแถวเรียงราย ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้...ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อน รอให้ผู้คนออกไปจนหมดก่อนก็ได้ เพราะตอนนี้หนังมันหมดรอบฉายแล้ว

ครู่ใหญ่ ผู้คนซาจนเกือบหมด ผมลุกขึ้นและเดินออกจากแถวที่นั่ง ทันใดนั้นปลายหางตาผม ก็รับภาพภาพหนึ่ง ตรงเสาด้านข้าง
...นิลรดา...
ผมหันขวับ มองเต็มตา
...มันว่างเปล่า...

นอกจากผู้ชมเพียงสองสามคนที่กำลังเดินออกจากโรงแล้วก็ไม่มีใครอีก ผมขยี้ตาแรงๆ เพื่อตรวจสอบประสาทสายตาของตน...
ทุกสิ่งยังเป็นเช่นเดิม

ภายในโรงหนังว่างเปล่า นอกจากผม ก็ไม่มีใคร ไม่มีคนที่ผมต้องการพบ...ไม่อีกแล้ว...ไม่มีนิลรดาอีกต่อไป

ผมย้ำความจริงนี้กับหัวใจ ก่อนออกจากโรงหนัง

ผู้คนเบื้องนอกเดินกันขวักไขว่ แสงไฟริมถนนสว่างจ้าราวกับกลางวัน ผู้คนตามป้ายรถเมล์ยังพลุกพล่าน ผมเดินไปที่จอดรถด้านหลังโรงหนัง... น่าแปลก ที่ลานจอดรถเกือบจะว่างเปล่า ถ้าไม่มีรถของผมจอดอยู่เสียคันเดียว มันคงเรียกว่าลานจอดรถโล่ง ๆ ได้เต็มปากทีเดียว ขณะที่ผมเดินไปหารถ มีความรู้สึกคล้ายกับความเย็นบางอย่างเคลื่อนตัวช้าๆ ตามผมมาด้วย กุญแจถูกสอดไขประตู ผมเสียวสันหลังวาบๆ "อะไร" บางอย่าง ช่างอยู่ใกล้ตัวผมเหลือเกิน

บานประตูเปิดออก ผมเหลือบมองกระจกข้างโดยไม่ตั้งใจ และแล้วสติสัมปชัญญะของผมแทบตกวูบกองบนปลายเท้า ใบหน้าบางอย่างโผล่ขึ้นมาชั่วแวบ ผมไม่รู้ว่าเป็นใบหน้าใคร หรืออะไร แต่ใบหน้าแวบนั้น สามารถกระชากความกลัวของผมให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว...เข้ามานั่งในรถ สูดลมหายใจลึกๆ บอกกับตนเองว่า...คงตาฝาด

รถเคลื่อนจากที่จอด สู่ความแน่นขนัดของยวดยานบนท้องถนน ผมเปิดวิทยุ หมุนหาคลื่นไปเรื่อยๆ ชั่วครู่มือผมก็หยุดนิ่งอยู่ที่สถานีแห่งหนึ่ง เสียงเพลงคุ้นหู ท่วงทำนองบอกถึงความรวดร้าวจากการสูญเสียแว่วมา เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ผมเพิ่งชม

รถติด ผมหยุดรถ ปล่อยใจให้จมดิ่งไปกับเสียงเพลง ภาพจากความทรงจำทยอยเข้ามาดั่งกระแสน้ำที่ถะถั่งสู่มหาสมุทรแห่งการรำลึก แต่น่าขันภาพทุกภาพล้วนมีเพียงคนเดียวปรากฏอยู่
...นิลรดา...

...นิล...เรารู้จักกันมานานมากแล้วใช่มั้ยจ๊ะ ตั้งแต่พี่เรียนที่สามพรานแล้วน้องยังเป็นเด็กมัธยมตัวกระเปี๊ยก...พี่จำได้ถึงเด็กกะโปโลที่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ น้องสามารถหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังได้พอๆ กับร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรกับหนังเรื่องหนึ่ง

พี่ยังจำได้อีกว่า น้องเคยลากพี่เข้าไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งพี่ไม่ชอบเลย ขนาดหลับได้ตลอดเรื่อง แต่น้องกลับดื่มด่ำในอรรถรสของหนังเรื่องนั้นจนเขียนบรรยายได้เป็นหน้า...

ไฟเขียว รถเคลื่อนตัวช้าๆ ขณะที่เพลงบรรเลงถึงท่อนสุดท้าย ผมขับผ่านสี่แยก มุ่งหน้ากลับบ้าน...แต่...

อีกแล้ว...ไอเย็นวะวาบ แผ่เข้าจับไขสันหลังผมอีกครั้ง ขนต้นคอลุกชัน สัมผัสบางอย่างบอกว่า ที่เบาะหลังกำลังถูกบางสิ่งเข้ายึดครอง ผมไม่กล้าเหลือบดู เหงื่อซึมเต็มฝ่ามือทั้งๆ ที่ภายในรถอากาศเย็นจัด...เย็นจนผิดปกติ

ผมประคองสติ เอื้อมมือปิดแอร์ แล้วค่อยๆ เพิ่มเสียงวิทยุ หวังเอาเสียงเพลงเป็นเพื่อน เพลงจบแล้ว วิทยุมีเสียงดีเจกำลังพูดถึงเพลงที่เพิ่งจบ ภาพยนตร์อันเป็นที่มาของเพลงๆ นี้

...นิลจ๊ะ...น้องน่าจะได้ดูหนังเรื่องนี้ พี่เชื่อว่าน้องจะต้องรักมัน เหมือนกับหนังอีกหลายๆ เรื่องที่น้องเคยรัก โดยเฉพาะตอนจบ พี่ว่าน้องต้องเสียน้ำตาอีกแน่ๆ ที่เห็นพระเอกตาย แล้วนางเอกต้องวิ่งตามหาพระเอกทั้งที่อยู่ในชุดเจ้าสาว

จากนั้นน้องคงต้องลากพี่ไปตระเวนหาเพลงประกอบหนัง แล้วเปิดฟังมันซ้ำซากจนร้องตามได้อีกเช่นเคย

...น้องน่าจะได้มีโอกาสได้ดูหนังอีกหลายๆ เรื่องนะจ๊ะ ช่วงนี้มีหนังสนุกๆ เยอะเชียว แต่ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เพราะพี่ดูหนังทุกเรื่องแทนน้องแล้ว...

ทุกเรื่อง แม้แต่หนังที่พี่ไม่เคยชอบ เคยหลับคาโรง ยิ่งดู พี่ยิ่งรู้สึกว่า นิลไม่ได้ไปไหนเลย ยังคงอยู่ใกล้ๆ พี่เสมอ น้องดูหนังทุกเรื่องที่พี่ดู ฟังเพลงทุกเพลงที่พี่ฟัง อาศัยในทุกสถานที่ที่พี่ไป

วันนี้ยายแจ๋ว เพื่อนรักของนิลรับปริญญา พี่ร่วมแสดงความยินดีกับเขาแทนนิล น้องคงดีใจที่เพื่อนของน้องเรียนจบ แต่พี่จะดีใจมากกว่า ถ้าดอกไม้ทุกดอกในวันนี้ เป็นของนิล...

ทำไมวันนี้ถึงไม่มีนิล ทำไมนิลถึงไม่มีโอกาสได้ยืนต่อหน้าพระพักตร์รอรับพระราชทานปริญญา ทั้งๆ ที่นิลเรียนถึงปีสุดท้ายแล้วแท้ๆ

...ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้นขึ้นกับนิล ถ้านิลจะมีใจกล้าสู้ กล้าเผชิญหน้ากับมัน ถ้าหากพี่ย้อนเวลาได้...และ...ถ้าหากโลกนี้ ไม่มีแต่เพียงคำว่า "ถ้า"

ทุกสิ่งคงเป็นอย่างที่เราต้องการ

ผมจอดรถตรงหน้าประตูบ้าน ฟุบหน้าบนพวงมาลัย น้ำตาไม่มีจะไหล ความปวดร้าวแน่นในหัวอก ผมไม่เคยร้องไห้แม้วันที่รู้ว่าต้องเสียนิล แต่ทว่า หัวใจผมกลับว่างเปล่า มีเพียงร่างกลวงๆ ข้างในบรรจุอากาศโล่งๆ จิตใจ วิญญาณ ไม่รู้อยู่ที่ไหน...

ผมเคยคิด ขอให้ได้พบนิลรดาอีกสักครั้ง ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร ผมยอมทุกอย่าง...

แกรัก...ฟู่...เสียงเปิดแอร์ดังขึ้น ก่อนลมเย็นยะเยือกจะพัดออกมา

ผมสะดุ้ง ยันตัวจากพวงมาลัย...ใครเป็นคนเปิดแอร์...

ผมรีบปิดแอร์อย่างรวดเร็ว แต่ลมแอร์อันเย็นเยียบกลับไม่หยุด อากาศในรถเย็นลงเรื่อยๆ ความเงียบอันน่าสยองถาโถมเข้ามาคล้ายคลื่นในทะเลคลั่ง ทุกสิ่งสงบจนหน้าหวาดหวั่น ในใจผมอึงอลด้วยความรู้สึกมากมาย ที่เบาะหลังดูราวกับอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญกำลังเคลื่อนไหว

ผมขยับตัวเปิดประตู แต่มันติดล็อก มือที่เริ่มสั่นรีบปลดล็อกประตูเพื่อเปิดอีกครั้ง...ทว่า ไร้ผล

ผมดับเครื่อง ดับไฟหน้า แต่แอร์ยังกระหึ่ม ผมไม่มีความกล้าจะเปิดประตูอีกครั้ง เพราะมั่นใจว่า ไม่ได้อยู่ในรถคนเดียว

"ใคร " เสียงผมแหบแห้ง "หรือ...นิล" คำพูดนี้เหมือนจะปลอบใจตนเอง
ความเงียบและความหนาวเย็นน่าคลั่งคือคำตอบ
"ต้องการอะไร" ผมตั้งสติถามอีกครั้ง

กลิ่นบางอย่างโชยชายมากับลมแอร์ เป็นกลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนของซากศพ ของเลือด เจือด้วยกลิ่นดอกไม้จันทน์ ดอกไม้แห้ง และกลิ่นฟอร์มาลีน

ผมขนลุกซู่ ร่างกายเหมือนถูกพันธนาการด้วยเชือกที่ใสบาง แขนขาเกร็งราวกับหิน และ...นั่น...ไอเย็นประหลาดกำลังเป่ารดต้นคอ ผมรู้สึกเหมือนถูกมืออันเย็นชืดไล้ตามใบหน้าและติ่งหู หัวใจผมเต้นระรัวอึดอัดยิ่งกว่าถูกขังในคุกมืด

...ป่าช้า...บรรยากาศในรถคันนี้ไม่ต่างจากป่าช้าแม้แต่น้อย

"มึง" เสียงดุดัน เหี้ยมเกรียมแล่นเข้าสู่กลางใจ ผมรับรู้ว่าเจ้าของเสียงอยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบ

"ถ้าอยากพบคนรักของมึง" ประโยคนี้ทำให้หัวใจผมกระตุก
"ไปในที่ที่พวกมึงชอบไปกันที่สุด" เสียงขาดไปห้วนๆ

แอร์หยุดเป่า กลิ่นประหลาดเจือจางลง รอบตัวผมตกอยู่ภายในวงล้อมของความเงียบงัน เนิ่นนานกว่าแขนขาผมจะขยับได้ ผมถอนใจเหลียวกับไปดูที่เบาะหลัง...

มันว่างเปล่าอย่างที่คิด

"สิ่งนั้น" ไปแล้ว...มันจะเป็นอะไรก็ตามแต่ ในเวลานี้ มันไม่ได้อยู่ที่นี่

สิ่งที่ผมต้องทำก็คือ ตัดสินใจว่าควรเชื่อคำพูดของมันหรือไม่...

ผมต้องการพบนิลรดา ไม่ว่าเธอจะอยู่ในสภาพใด ขอเพียงได้พบเธอ...ได้พูดคุยกับเธอ...ทุกสิ่ง ผมไม่ใส่ใจ

ไม่ว่าเสียงนั้นจะมาจากไหน มีจุดประสงค์อะไร เชื่อถือได้หรือไม่

เวลาย่างเข้าสู่วันใหม่ เมื่อผมขับรถกลับไปยังโรงภาพยนตร์ ที่ลานจอดรถยังว่างเปล่าดังเดิม แสงไฟส่องลงมาเป็นสีซีด คล้ายสีน้ำชา ผมก้าวลงจากรถ สายลมกรูเกรียวต้อนรับผมเป็นระลอกแรก

วู้...หวิ้ว... ผมมองเห็นลมหมุนอยู่ตรงหน้า? ดูราวกับมันจะหัวเราะเย้ยหยันในความบ้าบิ่นของผม? บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดอย่างไม่น่าเชื่อ ความเย็นแปลกๆ คลี่ทับผมอีกครั้ง? คราวนี้ผมเตรียมใจไว้แล้ว? แต่กระนั้นยังอดใจสั่นไม่ได้

...ที่นี่มันป่าช้ากลางเมืองแท้ๆ...

ภายในโรงภาพยนตร์อุ่นกว่าข้างนอกเล็กน้อย ทว่าบรรยากาศอันทึบกว่า ไฟสว่างจ้า ไม่มีใครอยู่สักคน แถวเก้าอี้ว่างเปล่าเรียงรายโดยไม่มีผู้คน ผมกวาดสายตาไปรอบ ๆ ก้าวเท้าช้า ๆ หาสิ่งผิดปกติ...ถ้านิลรดามาพบผมจริงๆ เธอจะปรากฎตัวที่ใด ลักษณะไหน...?? คำถามผุดขึ้นในใจพร้อมจางหายอย่างรวดเร็ว

ไม่สำคัญเลย...ขอเพียงเธอมาเท่านั้น

ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก เสียงฝีเท้าผมย่ำแข่งกับจังหวะหัวใจ? ผ่านเก้าอี้แถวแรกไปแถวที่สอง จนถึงแถวสุดท้าย ไม่มีร่องรอยของคนที่ผมต้องการพบ ขาทั้งสองพาผมกลับมานั่งยังเก้าอี้ผู้ชมตัวที่คุ้นเคย

ผมหลับตา ถอนใจอย่างเหนื่อยหนัก ทันใดไฟทั้งโรงก็ดับพรึบ ผมสะดุ้ง และโดยไม่ทันรู้ตัว มือเย็น ๆ แห้ง ๆ ก็เข้าล๊อกแขนขาผมแน่น ผมขยับตัว ดิ้นรน แต่ไม่มีประโยชน์ เหงื่อกาฬแตกซิก ความเย็นวูบสู่ทรวงอก? โรงหนังมืดสนิทราวกับจมดิ่งอยู่ในน้ำลึก? มือทั้งสี่ข้างแข็งยิ่งกว่าตรวนเหล็ก? เย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งใต้ขั้วโลก? ผมไม่อาจเห็นเจ้าของมือแต่จากจินตนาการผมก็พอเดาได้ว่ามันคล้ายกับอะไร

...อสุรกาย...

"อยู่นิ่ง ๆ" เสียงสั่นแหบห้าว ต่ำลึก

"พวกกูมีอะไรจะให้มึงดู" น้ำเสียงแหลมเล็กอีกเสียง เสียดสะท้านโสตประสาท มือหนาหนักราวกับพะเนินเหล็กเข้าผลักอก จนหลังผมปะทะพนักเก้าอี้นัยน์ตาเบิกโพลง ฝ่าความมืด...

"มัน" จะให้ผมดูอะไร?

เสียงเพลงบรรเลงขึ้นพร้อม ๆ กับภาพปรากฏบนจอ...

...ถนนที่ร้างยวดยาน หญิงสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งอย่างเต็มกำลัง? ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นและน้ำตา...

มันเป็นภาพยนตร์ที่ผมเพิ่งชมเมื่อหัวค่ำ

กล้องจับภาพมุมสูง มองเห็นถนนคดเคี้ยวทอดยาว? ร่างในชุดเจ้าสาวกำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต? ไม่สนใจว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานอีกสักกี่พันครั้ง ชุดเจ้าสาวแทบไม่เหลือร่องรอยเดิม

ผมแทบตะโกนลั่น เมื่อกล้องโคลสอัพใบหน้าของเธอ

"นิล" เสียงหลุดรอดไม่เกินกระซิบ

(อ่านตอนต่อไปฉบับหน้า...)

เลือดกุหลาบ เป็นเรื่องสั้นที่ได้รับการรวมเล่มในหนังสือรวมเรื่องสั้นเร้นลับ "ลางมายา" โดย ชลนิล