Print

นิยาย/เรื่องสั้นอิงธรรมะ - ฉบับที่ ๒๐๖

เราทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่

พลอยใจใส

วิริยะเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง พอเรียนจบก็ได้งานทำ และยังคงอาศัยอยู่กับพ่อแม่เพราะเขายังไม่คิดที่จะแต่งงานมีครอบครัว อาจจะเป็นเพราะเขาอายุยังน้อยและยังอยากครอบครองความเป็นโสดนี้เอาไว้อีกนานเท่านาน

ครอบครัวของวิริยะขึ้นชื่อว่าเป็นชาวพุทธ ทุกๆเช้าแม่ของเขาต้องลุกขึ้นมาใส่บาตร โดยเฉพาะใกล้วันหวยออกแม่ของเขาจะต้องทำบุญถี่เป็นพิเศษ พอตักบาตรเสร็จและพระให้ศีลให้พร แม่จะนั่งยองๆยกมือขึ้นจบเหนือศรีษะ อธิษฐานยาวยืดในใจ "สาธุด้วยบุญที่ลูกได้ทำนี้ ขอให้ลูกร่ำรวย ขอให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ในงวดนี้ด้วยเถิด หากไม่ได้รางวัลที่หนึ่ง ก็ขอเป็นรางวัลที่สอง หรือสาม ก็ยังดีนะเจ้าคะ สาธุ สาธุ" วิริยะคิดว่ากว่าแม่จะอธิษฐานเสร็จพระท่านคงเดินกลับถึงวัดไปเรียบร้อยแล้วล่ะ หากมีใครแจกซองผ้าป่าหรือเรี่ยไรทำบุญแม่ของเขาไม่เคยปฏิเสธ หากแต่แม่จะคาดหวังกับผลที่จะได้รับจากการทำบุญนั้น เช่นใส่ซองผ้าป่ายี่สิบบาท แต่อธิษฐานของให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ซักสองล้านบาท วิริยะคิดว่าช่างเป็นการลงทุนที่เก็งกำไรเกินควรจริงๆ

วิริยะเป็นชาวพุทธเหมือนกับแม่ของเขาแต่การทำบุญของเขาแตกต่างจากแม่โดยสิ้นเชิง เมื่อมีโอกาสเขาก็ชอบทำบุญ เช่น บริจาคสิ่งของให้บ้านเด็กกำพร้า เมื่อมีคนมาเรี่ยไรเขาก็ทำบุญไปตามกำลัง แต่สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือเขาไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนจากสิ่งที่เขาทำ เพราะเขาคิดว่าการได้เป็นผู้ให้ และรู้จักเสียสละให้กับผู้อื่นนั้นก็ได้รับความสุขใจเป็นผลกำไรตอบแทนที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขาแล้ว

เช้าวันนี้อากาศแจ่มใสวิริยะขับรถไปเรื่อยๆตามทางที่คุ้นเคยเพื่อไปทำงาน เช้าวันนี้เขามีประชุมสำคัญตอนเก้าโมงเช้าและเขาน่าจะไปถึงที่นั่นก่อนการประชุมเริ่มครึ่งชั่วโมงพอดี พอขับไปได้สักพักเขาเริ่มสังเกตุเห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งที่มุงดูอะไรบางอย่างอยู่ข้างทาง เมื่อขับเข้าไปใกล้เขาถึงได้รู้ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น วิริยะจอดรถชิดข้างทางและเข้าไปดูพร้อมพวกไทยมุงที่มาถึงก่อนหน้าเขา สิ่งที่เขาเห็นคือผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพยายามมุดเข้าไปในรถที่คว่ำอยู่ข้างทางนั้น พลางส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่พวกไทยมุงเหล่านั้นได้แต่ยืนดูอยู่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยสักคน

"ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย ลูกชั้นติดอยู่ข้างในค่ะ ใครก็ได้ช่วยฉันทีค่ะ"

เธอพูดพลางร้องไห้ไป คราบเลือดและแผลตามตัวของเธอนั้นคงเจ็บปวดน้อยกว่าใจของคนเป็นแม่ที่เห็นลูกกำลังจะตายไปต่อหน้า วิริยะรีบรุดเข้าไปช่วยโดยไม่รอช้า เขามุดเข้าไปในรถที่ยังพอมีช่องว่างอยู่ เศษกระจกบาดตามตัวเขาแต่เขาก็ไม่สนใจ ในที่สุดเขาสามารถดึงตัวเด็กผู้หญิงอายุราวห้าขวบที่สลบอยู่ในรถออกมาได้สำเร็จ หากรอรถพยาบาลมาอาจไม่ทันกาล วิริยะอุ้มเด็กน้อยไปไว้ที่เบาะหลังรถเขา แม่ของเด็กหญิงกอดลูกไว้แน่นเธอร้องไห้ไปตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล แพทย์และพยาบาลช่วยกันนำตัวเด็กเข้าไปในห้องฉุกเฉิน สักพักคุณหมอก็ออกมาพร้อมกับข่าวดี

" ลูกของคุณไม่เป็นอะไรมากแล้วนะครับ นอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อรอดูอาการอีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้วครับ"
แม่ของเด็กหันไปขอบคุณวิริยะทั้งน้ำตา
"ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้คุณช่วยดิฉันกับลูกก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง ขอบคุณจริงๆค่ะ"
"ไม่เป็นไรครับ"

ไม่มีคำพูดใดๆเพราะเขารู้สึกตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออก ที่ได้ช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้ วิริยะให้นามบัตรเขาไว้กับแม่ของเด็กเผื่อมีอะไรให้เขาช่วยก็สามารถติดต่อเขาได้ กว่าจะทำแผลเสร็จก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เขาพลาดประชุมนัดสำคัญในตอนเช้า ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพรุ่งนี้เจ้านายจะต่อว่าเขาอย่างไรบ้าง แต่ถ้าแลกกับชีวิตของเด็กคนหนึ่งเขาคิดว่ามันคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเขาไปถึงออฟฟิศก็ได้รับแจ้งจากเลขาของประธานบริษัทว่าให้เรียกเขาไปพบด่วน วิริยะถอนหายใจเบาๆ แต่เขาก็มีสติพร้อมที่จะรับได้กับทุกสถานการณ์ ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เจ้านายเขาตรงเข้ามากอดเขาไว้แน่น พลางกล่าวคำขอบคุณไม่หยุดปาก

"ขอบคุณ ขอบคุณ คุณมากนะถ้าไม่ได้คุณเมื่อวานลูกกับภรรยาของผมต้องแย่แน่ๆ นี่ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี"
วิริยะเพิ่งรู้ในนาทีนั้นเองว่าเด็กที่เขาช่วยเมื่อวานเป็นลูกสาวและภรรยาของประธานบริษัท

วันหยุดสุดสัปดาห์วิริยะพาแม่มาทำบุญที่วัดเพราะเป็นวันพระใหญ่ หากมีเวลาเขาก็ชอบมาวัดอยู่เสมอเพราะได้มาสนทนาธรรมกับหลวงปู่ที่เคารพด้วย

" เป็นอย่างไรบ้างล่ะ หลวงปู่ไม่ได้เจอซะนาน ช่วงนี้หายหน้าหายตาไปนะงานยุ่งเหรอ" หลวงปู่เอ่ยทักขึ้นทันทีเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่ม

"ก็งานยุ่งนิดหน่อยครับ พอดีได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายด้วยครับ" แล้ววิริยะก็เล่าให้หลวงปู่ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

" ปลูกมะม่วงก็ต้องได้ผลเป็นมะม่วง ปลูกมะม่วงจะได้ผลเป็นทุเรียนนั้นเป็นไปไม่ได้ ทำความดีแม้ไม่อยากได้ผลตอบแทนยังไงก็ต้องได้วันยังค่ำ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ทำความชั่วแม้จะหลีกหนียังไงก็ต้องได้รับผลชั่วอย่างไม่มีข้อสงสัย การให้ที่แท้จริงนั้นต้องไม่หวังผลตอบแทน เพราะสิ่งที่เราได้รับจากการให้นั้นแท้จริงแล้วคือความสุขใจ การให้ที่หวังผลตอบแทนนั้นไม่ใช่การให้แต่เป็นการลงทุน เช่นใส่ซองผ้าป่ายี่สิบบาท แต่อธิษฐานให้ถูกหวยรวยสักสองล้านบาท" หลวงปู่พูดพลางปรายตาไปทางแม่ของวิริยะ เธอยิ้มอายๆแล้วบอกกับหลวงปู่ว่า

"ก็ขอไปอย่างนั้นแหละเจ้าค่ะ เผื่อฟลุ้คน่ะเจ้าค่ะ"
หลวงปู่กล่าวเสริมว่า
"การให้ที่หวังผลตอบแทนนั้น นำทุกข์มาให้เพราะหากเราไม่ได้อย่างที่ใจเราหวังไว้เราก็เป็นทุกข์ ที่ชาวบ้านบ่นๆ กันว่า "ทำดีไม่ได้ดี" เพราะ "ดี" ที่เขาทำนั้นกับ "ดี" ที่เขาหวังนั้นมันคนละเรื่องกัน การทำความดีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การรักษาความดีไว้นั้นเป็นสิ่งที่ยากกว่า เพราะชีวิตของคนเราต้องเจอเรื่องราวที่มากระทบมากมาย บางสิ่งก็ผลักดันและชักจูงเราไปในทางชั่ว ที่สำคัญเราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง และเชื่อมั่นในการทำความดี"

"รกฺเขยฺย อตฺตโน สาธุํ ลวณํ โลณตํ ยถา พึงรักษาความดีของตนไว้ ดังเกลือรักษาความเค็ม"

และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกของท่านก็จะเป็นความจริงเช่นนี้ตลอดไป