Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๗๓

พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ถาม : ถ้าเราเอาใจใส่พากเพียรร่ำเรียนศึกษาวิชาความรู้ต่างๆให้มากๆแล้ว
จะเพียงพอสำหรับการมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขหรือยังครับ

คนมีความรู้ดีอย่างเดียวไม่พอ ยิ่งมีความรู้ดี แต่ความประพฤติไม่ดีนะ มันก็เป็นโจรที่เก่ง อันตรายที่สุดเลย

บ้านเมืองเราตอนนี้น่ากลัว บ้านเมืองเราน่ากลัว คนมีความรู้ความสามารถมีมาก อัตราคนรู้หนังสือ อัตราอะไรพวกนี้ของเราสูง แต่ว่ามันเป็นสังคมที่ corrupted สังคมที่ค่อนข้างทุจริต นักการเมืองก็ไม่ซื่อกับประชาชน แต่ละคนๆ ก็มีปัญหาทั้งนั้นเลย แล้วทำเป็นยิ้มๆ นะ ในบ้านเรามีปัญหามั้ย มีเหมือนกัน ลูกศิษย์กับอาจารย์ก็มีปัญหา หรือนายจ้างลูกจ้างก็มีปัญหา ปัญหามันสารพัดปัญหาเลย

จุดใหญ่ใจความคือ คนเรามีความรู้นะ มีความสามารถ แต่ขาดจริยธรรม ขาดคุณธรรม เพราะฉะนั้น การที่อาจารย์ซุปพยายามส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมให้พวกเราด้วย แทนที่เราจะเป็นคนเก่ง อย่างเก่งคณิตศาสตร์อย่างเดียว ไม่พอนะ คนเก่งอย่างเดียว ไม่มีคุณธรรม เป็นคนเก่งที่ชั่ว เป็นคนชั่วที่น่ากลัวที่สุดเลย น่ากลัวกว่าพวกโง่ๆ ที่ชั่วอีก

เพราะฉะนั้น พวกเราต้องฝึกฝนตัวเอง วิชาความรู้ทางวิชาการ เราต้องพัฒนาให้ทันโลก แต่ทางจิตใจเราต้องทันใจตัวเอง ไม่ใช่ทันโลกข้างนอกนะ

วิชาการเราต้องทันโลก แต่ด้านจิตใจเราต้องรู้ทันใจตัวเองให้มาก


คนไหนไม่รู้ทันใจตนเองจะตกเป็นเหยื่อ จำไว้นะพวกเด็กๆ เราจะกลายเป็นเหยื่อ อย่างคนเขาผลิตสินค้าอะไรขึ้นมา แล้วเขามายั่วเราให้เราอยากได้นะ เราอยากได้ก็หาเงินมา ขอพ่อขอแม่นะ พ่อแม่ก็ลำบากจะแย่อยู่แล้วยุคนี้ เราก็อยากได้ เรามีความอยากเยอะ บางคนก็หาเงินด้วยวิธีที่ไม่สุจริต เพราะฉะนั้น เราต้องพยายามพัฒนาตัวเองให้ได้ จิตใจของเรานี่ การพัฒนาความรู้ความสามารถทางโลกๆ ก็เรียนกับอาจารย์ซุปไปนะ แต่อาจารย์ซุปก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน ไปเรียนพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม และก็มีฝีมือด้วยนะ หลวงพ่อเห็นไปทำหนังสือมาเล่มนึง ไปหาอ่านเอานะ ทำขายหรือทำแจก ...ทำแจกนะ โอ้ ลงทุนไม่ใช่น้อยๆ นะ เล่มหนึ่ง ๆ อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจทำ (หนังสือที่กล่าวถึงในที่นี้ คือ หนังสือ "ข้างในนั้น") พยายามเอาเนื้อหาธรรมะที่หลวงพ่อสอน เอามาแปลให้ง่ายๆ ความจริงถึงไม่แปลเด็กรุ่นนี้ก็ค่อนข้างรู้เรื่องนะ เด็กรุ่นนี้ไม่โง่หรอก มันแกล้งโง่ แกล้งโง่ตามใจกิเลสเท่านั้นเอง

นี่ขั้นแรกเลยนะ ถ้าเราอยากพัฒนาจิตใจของเราให้มันสูงขึ้นไป

ขั้นแรกเลยเราต้องมีศีล พยายามถือศีลห้า

ศีลห้าเป็นเรื่องของคนฉลาดนะ ศีลห้าไม่ใช่ถือไปให้ลำบาก คนที่มีศีลคือคนที่มีความสุข อย่างคนที่คิดจะไปฆ่าเขา คิดจะไปต่อยเขา ลำบากกว่าคนที่ไม่ฆ่าใช่ไหม คนที่คิดจะไปขโมยเขา มันลำบากกว่าคนที่คิดจะไม่ขโมย คนที่จะไปเป็นชู้กับเขาอะไรอย่างนี้นะ มันลำบากกว่าคนที่ซื่อสัตย์กับคู่ของตัวเอง คนโกหกก็ลำบากนะ ต้องใช้ความจำมาก มีใครจะโกหกหลวงพ่อว่าไม่เคยโกหกมีไหมในห้องนี้ มันก็เคยกันทุกคนล่ะนะ แต่ว่าเราไปเห็นว่ามันเป็นความผิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ความผิดใหญ่ๆ นี่ก็มาจากความผิดเล็กๆ ทั้งนั้น เริ่มต้นเด็กๆ ก็โกหกเล่นๆ ต่อไปก็โกหกจริงจัง เวลาคนที่จะโกหกนะ ต้องใช้ความจำเยอะใช่ไหม เราไปพูดกับคนนี้ไว้อย่างนี้ เราต้องจำนะ เดี๋ยวเราไปพูดทีหลังไม่เหมือนกันเขาจับได้ ส่วนคนพูดความจริงไม่ต้องจำมาก ความจริงมันไม่ต้องจำ เพราะฉะนั้น อย่างคนมีศีลนะสบาย อย่าไปนึกนะว่าเราถือศีลแล้วลำบาก คนบางคนเข้าใจผิดว่าถือศีลแล้วจะลำบาก จริงๆ ศีลทำไว้ให้เรามีความสุขเรามีความสบาย

มีศีลอย่างเดียวเท่านี้ไม่พอนะ แค่นี้ยังไม่พอที่จะสู้กับสิ่งยั่วยวน ซึ่งสารพัดจริงๆ เลยทุกวันนี้ สิ่งยั่วยวนนี้สารพัดไปหมด มันจะหลอกให้เราเป็นเหยื่อลูกเดียว คนที่ตกเป็นเหยื่อคนอื่นได้นี่ ขั้นแรกเลย ต้องเป็นเหยื่อกิเลสภายในใจของเราก่อน ถ้าเราไม่เป็นเหยื่อกิเลสในใจของเรา เราจะไม่เป็นเหยื่อของคนอื่น เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ทัน

ขั้นแรกเราถือศีลไว้นะ ไม่ทำชั่วไม่ทำอะไร เสร็จแล้วเรามาคอยรู้ทันใจของเราไว้ ใจของเรามีความอยากเกิดขึ้น เราคอยรู้

ศาสตร์ของศาสนาพุทธเป็นศาสตร์ที่อัศจรรย์มากเลย วิชาความรู้ทั้งหลายที่เราเคยเรียน กระบวนการศึกษาหาความรู้นะ เราคุ้นเคยกับการอ่านใช่ไหม การอ่านการฟัง อ่านตำรา หรือฟังอาจารย์ซุป ฟังพี่ชายอาจารย์ซุป อันนี้คือความรู้ที่ถ่ายทอดมาจากคนอื่นนะ ดีเหมือนกัน เราคุ้นเคยกับการหาความรู้ด้วยการอ่าน ด้วยการฟัง หรือด้วยการคิด

มันมีวิธีหาความรู้อีกอย่างหนึ่ง เป็นวิธีหาความรู้ของคนที่ฉลาดมากเลย คือ การสังเกตการณ์ ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์นะ เป็น observer เป็นคนคอยสังเกตการณ์

การที่เราคอยสังเกตการณ์การทำงานในใจเรา คอยรู้ทันตัวเองเรื่อยๆ การรู้ทันตัวเองเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลย รู้ทันคนอื่นนะเรื่องธรรมดาๆ นะ แต่รู้ทันใจตัวเองนะยากที่สุดเลย

เพราะฉะนั้น เราต้องคอยดูให้รู้ทัน ใจเราเกิดความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้น มันอยากโน้นอยากนี้ขึ้นมา เรารู้ มันโมโหขึ้นมา เรารู้ มันเหม่อๆ มันใจลอย รู้จักใจลอยมั้ย รู้จักเหม่อมั้ย ไปสังเกตนะ วันหนึ่งเหม่อบ่อยๆ เหม่อทั้งวันเลย เดี๋ยวก็เหม่อแวบ เดี๋ยวก็เหม่อแวบ ให้เราคอยรู้ทันใจตัวเองนะ หัดรู้ทันใจตัวเอง

แต่ละคนก็อยากมีคนรู้ใจ แต่ไม่มีใครยอมรู้ใจตัวเอง ใจของตัวเองยังไม่รู้เลย จะให้คนอื่นเขามารู้ใจ เพราะฉะนั้น เราต้องคอยรู้ใจตัวเองนะ ใจเรามีความอยากอะไรเกิดขึ้นนะ คอยรู้ทันมัน ใจเรามีความโกรธ ความหงุดหงิด ความกลัว ความกังวล อย่างนักศึกษานักเรียนนี่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย กังวล ถ้าเราภาวนาเป็นนะ เรารู้ทันใจที่กังวลเลย ความกังวลจะกระเด็นหายไปต่อหน้าต่อตาเราเลย

ศาสนาพุทธไม่ใช่เรื่องกิ๊กๆ ก๊อกๆ นะ ไม่ใช่ปรัชญาเลื่อนๆ ลอยๆ ศาสนาพุทธเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งเลย เป็นศาสตร์ที่จะสอนเราว่า ทำยังไงเราจะสามารถมีชีวิตแบบไม่มีความทุกข์ได้ หรือทุกข์ก็ทุกข์น้อยๆ

คนที่เรียนกับหลวงพ่อนี่ซักเดือนหนึ่ง เขาจะพบความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ไม่นานนะ ใช้เวลาซักเดือนเท่านั้นเอง ถ้าไม่ดื้อนะ ถ้าดื้อมากๆ หลายปีก็ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ถ้าไม่ดื้อนะ คอยรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วดูกายมันเคลื่อนไหว ดูใจมันเคลื่อนไหว คอยรู้สึกตัวเองไว้ คอยศึกษาตัวเอง นี่ ทำตัวเป็นคนสังเกตการณ์ เห็นร่างกายมันทำงาน เห็นจิตใจมันทำงาน ทำตัวเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ถ้าเราสังเกตไปเรื่อย เราจะค่อยๆ เห็น กายนี้ใจนี้มันทำงานไปเรื่อย เสร็จแล้วเราจะเห็นด้วยว่า กระบวนการที่ให้เกิดความทุกข์ในใจเรานี่ มันมาได้ยังไง ใจมันจะมีความอยาก ทีแรกมันไปคิดก่อนนะ คิดๆ คิดโน่น คิดนี่ แล้วมันก็จะมีความอยากขึ้นมา อยากอย่างโน้นอยากอย่างนี้ พอใจมีความอยาก ใจจะเริ่มดิ้น เห็นมั้ย มีกระบวนการนะ มีกระบวนการ พอใจมันดิ้นๆ ขึ้นมา ความทุกข์ในใจมันจะเกิดขึ้น แต่ถ้าใจมันรู้ ใจมันตื่น ใจมันเบิกบานขึ้นมา ใจไม่ดิ้นรนนะ ใจไม่มีความหิว ใจก็ไม่มีความทุกข์ ใจมันหิวได้ เหมือนท้องเราหิวได้นะ ใจเราก็หิวได้ แถมใจนี่หิวบ่อยกว่าท้องอีก ท้องเรานะ ถ้าไม่ตะกละใช่ไหม วันละมื้อสองมื้อมันก็พออิ่มแล้ว แต่ใจเราหิวตลอดเวลาเลย ถ้าเรารู้ทันนะ ความหิวนั้นจะหายไป ความอยากจะหายไป แล้วความดิ้นรนจะหายไป พอจิตใจหมดความอยากหมดความดิ้นรน จิตใจจะมีแต่ความสุขล้วนๆ เลย

เพราะฉะนั้น ต้องฝึกนะ ต้องฝึก มันเป็นศาสตร์ของความพ้นทุกข์ ศาสตร์อันนี้ต้องเรียน นึกเอาเองไม่ได้ พวกเราบางคนอยากปฏิบัติ อยากพ้นทุกข์ ก็ไปนั่งสมาธิให้ใจนิ่งๆ เคลิ้มๆ นะ นั่งแล้วเห็นโน่นเห็นนี่ อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธแท้ๆ หรอก เป็นผิวๆ เป็นเปลือกๆ เท่านั้นเอง

๗ มกราคม ๒๕๕๒ (ตอนแรก)
สถาบันกวดวิชา ซุปเค เซ็นเตอร์