Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๗๑

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor มาวัดแล้วมาเรียนให้รู้หลักของการปฏิบัตินะ
มาวัดมาทำบุญทำทานอะไรก็ดีเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่พอ
มันไม่พอสำหรับการพ้นทุกข์ในปัจจุบัน
อย่างเราไปทำบุญทำทาน ทำแล้วดีไหม? ก็สบายใจดีแต่มันไม่พ้นจากทุกข์
ไปสร้างเจดีย์ สร้างโน้นสร้างนี้ ถามว่าดีไหม?
ก็ดีเหมือนกันแต่มันไม่พ้นจากทุกข์ ศาสนาพุทธไม่ได้มีแค่นั้น
หรือไปวัดก็ไปนั่งสมาธิ ดีไหม? ก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่พ้นทุกข์อีก
นั่งสมาธิก็สบายใจชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนเราไปทำบุญต่างๆ
ถ้าสบายใจชั่วครั้งชั่วคราวเดี๋ยวก็ทุกข์ใหม่
งั้นตราบใดที่เรายังเข้าไม่ถึงแก่นของพระพุทธศาสนานะ เราได้แต่ผิวๆเปลือกๆ
ก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าไม่มีเลย แต่ไม่พ้นทุกข์หรอก
 
พวกเราชาวพุทธนะ เราต้องมีเป้าหมายในชีวิตเรา
ชีวิตเราเรื่องอะไรเราจะต้องจมอยู่ในความทุกข์ตลอดไป
หรือหลอกตัวเอง ไปทำอะไรต่ออะไรขึ้นมา
มีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวก็ทุกข์อีก ทำไมจะต้องวนเวียนอยู่แค่นั้น
 
พระพุทธเจ้าประทานธรรมะที่จะทำให้เราสามารถถอดถอนความทุกข์ออกจากใจเราที่นี่เดี๋ยวนี้นะ
ที่นี่คือในชาตินี้แหละ ในเดี๋ยวนี้เลย ในปัจจุบัน
ถ้าเรารู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เราลงมือปฏิบัติตามที่ท่านสอนให้สมควรแก่ธรรม
อย่างแรกก็รู้ว่าการปฏิบัติจริงๆทำอย่างไร
จะทำเพื่ออะไร จะทำอย่างไร ต้องรู้
แล้วก็ลงมือปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม คือทำเต็มความสามารถของเรา
เราก็จะได้รับผลของธรรมะเต็มเม็ดเต็มหน่วย สมกับที่พระพุทธเจ้าอุตส่าห์ตรัสรู้มา
 
ลำพังถ้าศาสนาพุทธมีแต่การทำทาน การถือศีล การนั่งสมาธิ
อะไรอย่างนี้ศาสนาอื่นก็มี ไม่จำเป็นต้องอาศัยพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าหรอก
อย่างมุสลิมนะถึงปีก็มีงานที่เค้าเรียกว่า ซะกาต
คนที่มีฐานะดีอะไรอย่างนี้ต้องแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับสังคม แล้วก็เอาไปทำประโยชน์กับส่วนรวม
เนี่ยเค้าก็มีเหมือนกัน เค้าก็มีการทำสมาธิ เค้าทำละมาด คิดถึงพระเจ้าของเค้าวันละห้ารอบ
ก็คือทำสมาธิห้าครั้ง ถ้าเทียบกับของเราก็คือเทวตานุสติ
ถามว่าดีไหม? ก็ดีเหมือนกัน ได้อะไร? ได้สมาธิ
ทานเค้าก็มี สมาธิเค้าก็มี ศีลเค้าก็มีแบบของเค้า
ศาสนาอื่นก็มีเหมือนกัน ทำทาน ถือศีล ทำสมาธิก็มี
พวกคริสต์ไปร้องเพลงนะ สรรเสริญพระเจ้า สบายใจ ได้สมาธิขึ้นมา
ศาสนาต่างๆเห็นไหม มีลูกประคำมีอะไรเค้าก็บริกรรม เค้ามีสมาธิพื้นๆเหมือนกันหมดน่ะ
 
งั้นสิ่งที่เป็นปัญญาตรัสรู้แท้ๆของพระพุทธเจ้า ถ้าพวกเราเข้าไม่ถึงนะ น่าเสียดายมากเลย
โอกาสที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้สักพระองค์หนึ่งเนี่ยไม่ใช่ง่ายๆ
ยากมากเลยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ขึ้นมาพระองค์หนึ่ง
ถ้าเราไม่ภาวนา เรานึกไม่ออกว่ามันยากยังไง
ถ้าเราภาวนาแล้ว เรารู้ว่ามันยากจริงๆ
ขนาดเรารู้ทางแล้วนะ พระพุทธเจ้าบอกทางให้เราแล้วนะ ยังทำไม่ค่อยได้เลย
ร้อยคน พันคน จะได้ธรรมะไม่กี่คน
งั้นโอกาสที่ว่าจะค้นพบด้วยตัวเอง มีน้อย น้อย
 
พระพุทธเจ้านี่นานๆจะเกิดสักองค์หนึ่ง
เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วเนี่ย การดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาก็เป็นของยากอีก
พระพุทธเจ้าจำนวนมากเลยที่ท่านออกมาประกาศธรรมะ
พอท่านปรินิพานแล้ว สาวกรุ่นที่ท่านสอนไว้นิพพานไปหรือตายไปหรือมรณภาพไปแล้วเนี่ย
ไม่มีใครสืบต่อศาสนาแล้ว ศาสนาก็สูญไป อยู่ได้เจนเนอเรชั่นเดียว
สาวกมีอยู่หนึ่งเจนเนอเรชั่น คือเจนเนอเรชั่นที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้
อย่างพระพุทธเจ้าชื่อพระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู
พระวิปัสสีเมื่อ ๙๑ กัปก่อน แล้วก็เว้นช่วงมาตั้งนานนะ
มาถึงพระสิขี พระเวสสภู เมื่อ ๓๑ กัปก่อน
สามพระองค์นี้พอปรินิพพาน สาวกที่ท่านสอนไว้นิพพานไป
มรณภาพไป ตายไป หมด ศาสนาหมดแล้วไม่มีการสืบต่อ
เนี่ยศาสนาของพระพุทธเจ้าเราเนี่ยสืบต่อมาได้สองพันกว่าปี สองพันหกร้อยปีสืบทอดมา
 
เทียบกับเวลาที่ไม่มีศาสนาพุทธนะ เทียบกันไม่ได้เลย
เวลาที่มี กับเวลาที่ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย เทียบกันไม่ติดเลย
เวลาส่วนใหญ่ในโลกนี้ในวัฏฏะนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้า
งั้นยากมากนะที่เราจะได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า
เวลาเราคิดถึงการปฏิบัติธรรมทีไรนะ สิ่งที่พวกเราคิดก็คือนั่งสมาธิ
ทำไมเราไม่คิดเรื่องเจริญปัญญา? เพราะเราไม่คุ้นเคยกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
เราคุ้นเคยกับคำสอนทั่วๆไป นั่งสมาธิ ทำทาน ถือศีล มันมีทั่วๆไปไม่เคยขาดสายเลย
แต่การเจริญปัญญานี่ พอไม่มีพระพุทธเจ้า
หรือว่าสาวกที่สืบทอดไม่มีแล้ว ก็ขาดสูญไปในเวลาอันสั้นนิดเดียว
 
พวกเราจะต้องมาเรียนให้มากนะถึงวิธีการของการเจริญปัญญา
ถ้าไม่ได้สิ่งนี้ ก็คือเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้าตัวจริง ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
เราก็ได้แต่เปลือกๆ ทำทาน ถือศีล สร้างโน้นสร้างนี้นะ
แข่งกันสร้าง สร้างแล้ววันหนึ่งก็รกร้างไป
อย่างทุกวันนี้เรามีวัดตั้งสามหมื่นแห่ง ร้างไปเยอะแล้วนะ หาพระอยู่ไม่ได้แล้ว
บางแห่งบางหมู่บ้านนะถึงขนาดต้องจ้างคนเฒ่าคนแก่
เกษียณแล้วไม่มีอะไรทำนะ ไม่มีลูกหลานเลี้ยงน่ะ
ให้ไปบวชไปเฝ้าวัดไว้ อย่างน้อยยังมีพระเดินไปเดินมาให้เค้าเห็นชื่นใจ
บางที่นะจ่ายเงินเดือนด้วยซ้ำไปก็มีนะ
พระก็ทำอะไรไม่เป็นหรอกเพราะว่าเค้าจ้างมาบวชก็มี
แต่พระที่ตั้งอกตั้งใจก็มีไม่ใช่ไม่มี ไม่มีคงหมดไปนานแล้วล่ะ
 
พระก็เหลือน้อยลงๆ เณรก็แทบจะไม่มีแล้ว เณรมีแต่เณรฤดูร้อน
เณรฤดูฝน เณรฤดูหนาวไม่ค่อยมี บวชแต่ฤดูร้อนแล้วก็สึกไป
สมัยก่อนบวชแต่เณรนะ ครูบาอาจารย์ฝึกฝนมาภาวนามาตั้งแต่เป็นเณร
พอเป็นพระก็บวชต่อมาอีก จนเป็นครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่
อยู่ในวัดเนี่ยหลายสิบปี เดี๋ยวนี้ไม่มีหรอก น้อยลงๆ
 
ถ้าไปเห็น อย่างไปอินเดียนะจะเห็นเลย ศาสนสถานเนี่ยรกร้างมากมายเหลือเกิน
ไม่มีใครดูแล คนอื่นเขาเหยียบย่ำ เพราะมันไม่มีชาวพุทธที่จะสืบทอด
งั้นพวกเราเนี่ยจะต้องรักษานะ ต้องศึกษาก่อน
ศึกษาธรรมะให้เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน แล้วลงมือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
ถัดจากนั้นเราก็จะมีหน้าที่รักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง
ไม่ใช่เอาไว้เพื่อตัวเราเองแล้ว เอาไว้ให้คนรุ่นหลังต่อๆไป
ที่เค้าจะได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะที่บริสุทธิ์หมดจดของพระพุทธเจ้า
 
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมากมายนะ
ในตำราบอก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็นับกันครึ่งหนึ่งเป็นอภิธรรม
แล้วอีกอย่างละครึ่งก็เป็นพระวินัยกับพระสูตรอะไรอย่างนี้แยกๆกันไป
แต่จริงๆแล้วไม่มีใครนับหรอกว่ามันเท่าไหร่แน่นะ
๘๔,๐๐๐ แปลว่าเยอะ มีเยอะ
๕๐๐ แปลว่าเยอะเหมือนกัน
ถ้าเกิน ๕๐๐ ก็ ๘๔,๐๐๐ นี่เป็นมาตราวัดของคนโบราณเวลาพูดถึงอะไรที่เยอะๆ
๕๐๐, โจร ๕๐๐, โจรอะไรมันจะ ๕๐๐ คนเป๊ะๆ
พอมากขึ้นไปก็ ๘๔,๐๐๐ มากขึ้นไปกว่านั้นก็แสนโกฏิ อัตราก้าวกระโดด ก้าวหน้า
ถ้าเล็กน้อยก็บอก ๓ ไม่เกิน ๓ ไม่เกิน ๗ อะไรอย่างนี้ น้อย
 
ธรรมะของพระพุทธเจ้ามากมายมหาศาล
ที่ว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เนี่ย เยอะแยะไปหมดนะ
แต่ว่าธรรมะทั้งหมดนี้ใครจะเข้าใจได้? ทำยังไงถึงจะเข้าใจได้?
ถ้าเราเข้าใจอริยสัจเราจะเข้าใจธรรมะทั้งหลายทั้งปวง
เพราะธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น รวมลงในอริยสัจ ๔ เท่านั้นเอง
 
เรื่องอริยสัจ ๔ นี่คือปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเลย
อริยสัจ ๔ การที่เข้าใจอริยสัจ ๔ ก็คือตัวสัมมาทิฏฐิ
เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาก็คือสัมมาทิฏฐิ
ตราบใดที่ยังมีคนเข้าใจอริยสัจ ๔ อยู่ พระศาสนายังดำรงอยู่
ถ้าแค่ว่าคนรักษาศีล ๕ ได้ อริยสัจ ๔ หายไป อันนี้ศาสนาอื่นเค้าก็ทำได้ไม่แปลกอะไร
บางคนเค้าเข้มงวดกว่าเราอีก อย่างพวกฮินดูเนื้อสัตว์ก็ไม่กินนะ ทำอะไรเนี่ยเข้มงวดกว่าเราเยอะเลย
 
งั้นเราต้องเรียนนะ แล้วก็ทำความเข้าใจกับอริยสัจ ๔ ให้ได้
ถ้าเข้าใจอริยสัจ ๔ ก็จะเข้าใจธรรมะทั้งหมดเลย
แต่อาจจะไม่ละเอียดลึกซึ้งเท่าพระสาวกที่ท่านได้ปฏิสัมภิธาฯ
แต่ว่าธรรมะสำหรับความพ้นทุกข์นั้นน่ะพอเหลือเฟือเลย
ถ้าแจ้งอริยสัจก็จะพ้นจากวัฏฏะอันนี้ได้
ถ้าไม่รู้แจ้งอริยสัจจะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดนะ
 

สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2555
ฟังเนื้อหา