Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๗๐

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor

การภาวนานะ เรียน ทั้งที่มาที่นี่แล้วพวกที่ฟังซีดีอยู่ที่บ้าน
หลวงพ่อออกไปต่างจังหวัดเนี่ยไปเจอคนเยอะแยะ
บางคนก็ไม่เคยเจอหลวงพ่อหรอก เค้าเห็นรูปอะไรอย่างนี้
เค้าเจอนะเข้ามาทักทาย มาขอบคุณ ชีวิตเค้าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เค้ารู้สึกได้

คนภาวนาเนี่ยเรารู้ด้วยตัวเองว่าเราเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าภาวนาตั้งหลายปีแล้วเหมือนเดิม ทำผิดแน่นอนเลย
หรือปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม ทำๆหยุดๆ
ถ้าปฏิบัติถูกแล้วก็ทำต่อเนื่อง เราจะเห็นผลในเวลาที่ไม่นานเกินไป
ไม่ใช่ต้องรอไปชาติหน้าหรือชาติโน้นๆต่อไปอีกแสนชาติอะไรอย่างงั้น ไม่ต้อง
ต้องเป็นปัจจุบันเดี๋ยวนี้เลย เปลี่ยนตัวเองได้ในขณะนี้เลย
อาศัยว่าภาวนา ว่าเดินจงกรมเดินอะไรนะก็รู้สึกตัวไป
ทำอะไรก็คอยรู้สึก เห็นกายเห็นใจเค้าทำงานเรื่อยไป
ไม่นานเราก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง รู้ด้วยตัวเองได้
จะรู้เลยว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นอัศจรรย์
เปลี่ยนคนสกปรกโสมม ให้สะอาดได้
เปลี่ยนคนที่จมในความทุกข์ ให้พ้นจากความทุกข์ได้
เปลี่ยนคนฟุ้งซ่าน คนดูออกนอกอะไรอย่างนี้ เปลี่ยนกลับมารู้เนื้อรู้ตัว
เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ อัศจรรย์มาก เป็นคำสอนซึ่งแปลกประหลาด
ถ้าเราลงมือปฏิบัตินะ เราเข้าใจธรรมพอสมควรแล้วเราจะรักพระพุทธเจ้ามากเลย
ว่าอัศจรรย์จริง คำสอนของท่านก็อัศจรรย์ ปฏิบัติแล้วเรายังอัศจรรย์ตัวเองเลยว่าเราภาวนามาได้ยังไง

ไม่ยากเกินนะ ไม่ยากเกินไปหรอก อยู่ที่พากเพียรทำเอาเอง
“การปฏิบัติไม่ใช่เรื่องยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ” หลวงปูดูลย์สอนไว้อย่างนี้
ไปหาท่านนะไปบอกท่านว่าผมอยากปฏิบัติ
ท่านนั่งหลับตาไปเกือบชั่วโมง ลืมตามาท่านก็สอนหลวงพ่อ
“การปฏิบัตินั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ
อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง” ให้อ่านจิต
อ่านหมายถึงอะไร อ่านหมายถึงว่าจิตใจเราเป็นยังไงเราก็รู้ไปอย่างที่เขาเป็น
เหมือนเราอ่านหนังสือ ท่านไม่ได้ให้เราเป็นนักประพันธ์ ไม่ได้ให้เราแต่งหนังสือ
ถ้าไปอ่านหนังสือคือหนังสือมันเป็นยังไงเราก็อ่านไปตามนั้นแหละ
หนังสือมีบทรัก มีบทโกรธ มีบทดีใจ มีบทเสียใจ
บทสมหวัง บทผิดหวังอะไรอย่างนี้ในหนังสือนิยายสักเรื่องหนึ่ง
ในใจเราก็แสดงนิยายเหมือนหนังสือนั่นแหละ
เดี๋ยวก็ถึงบทรัก เดี๋ยวก็ถึงบทโกรธ
บทดีใจ บทเสียใจ บทสุข บททุกข์
ในใจเราก็แสดงละครให้เราดูอยู่เหมือนหนังสือเรื่องหนึ่งเหมือนนวนิยายเล่มหนึ่ง
ค่อนข้างน้ำเน่าด้วย พล๊อตซ้ำๆ พล๊อตเรื่องเนี่ยซ้ำกันมากเลยในใจเราแต่ละคน
เห็นไหมวันๆหนึ่งมีแต่โลภโกรธหลงเวียนอยู่อย่างนี้ น่าเบื่อนะ คล้ายๆนิยายน้ำเน่า
ลงท้ายนะ พระเอกนางเอกตายทุกทีเลย
ใครเป็นพระเอก ก็เราเป็นพระเอก
ใครเป็นนางเอก ก็เราเป็นนางเอก
มีใครรู้สึกเราเป็นนางร้ายไหม เรานี่แหละนางอิจฉา ไม่ค่อยมีน่ะ
เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้นะ เราจะเป็นพระเอกนางเอกทุกที

เนี่ยเรามาดูของจริงนะ มาอ่าน อ่านหมายถึงว่า
ตอนนี้ถึงบทรักก็รู้ ตอนนี้ถึงบทโกรธก็รู้ บทสุขก็รู้ บททุกข์ก็รู้
เนี่ยดูไปเรื่อย ดูเหมือนดูนิยายเรื่องหนึ่ง ธาตุขันธ์นี้แสดงละครให้ดูเราก็ดูไป
สุดท้ายเราก็รู้ความจริง นิยายก็คือนิยาย
รู้ความจริงเลยว่าความปรุงทั้งหลายในกายในใจเราก็เหมือนนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง
มีจุดตั้งต้นแล้วก็มีจุดสิ้นสุด
บางเรื่องก็ดี บางเรื่องแฮปปี้เอ็นดิ้ง บางเรื่องแซ๊ดเอ็นดิ้ง บางเรื่องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
แต่สุดท้ายพระเอกนางเอกตายทุกคนเลย ทุกตัวเลย

เนี่ยเฝ้าดูลงไปนะ คำว่าดูจิตดูใจไม่ใช่ไปดูอะไรพิลึกๆ
จิตเป็นดวงๆ ไปดูเห็นดวงแล้ว นี่เป็นดวงแล้วๆ ดวงนี้โตแล้วอะไรอย่างนี้
นั่นไม่ใช่จิตหรอก นั่นเป็นนิมิต
ดูจิตดูใจก็ดูความรู้สึกที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป
ว่าตอนนี้ถึงบทรัก ตอนนี้ถึงบทโกรธ ตอนนี้บทสุข ตอนนี้บททุกข์
บางทีก็หนัก บางทีก็เบา เนี่ยดูเค้าหมุนไป
สุดท้ายเราก็รู้ว่านี่มันนิยายหลอกๆทั้งหมดเลย ไม่ใช่ของจริงของจังอะไรหรอกนะ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏขึ้นมาเหมือนภาพลวงตา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่เดิมโง่เขลาก็คิดว่ามีจริงมีจัง ใช้ชีวิตหมดเปลืองไปแต่ละวันๆ
เดี๋ยวก็วันหนึ่ง เดี๋ยวก็เดือนหนึ่ง เดี๋ยวก็ปีหนึ่ง
ตอนนี้มีสติมีปัญญา มาเรียนรู้มันไปเรื่อย ก็เห็นเหมือนละครมันเปลี่ยนฉากไป
ฉากก่อนพระเอกนางเอกยังเป็นเด็ก ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้แก่แล้ว
ดูไปเรื่อย ก็รู้เลยไม่มีสาระไม่มีแก่นสาร
ดูใจของเราเหมือนอ่านนิยายสักเรื่องหนึ่ง
นิยายน้ำเน่าด้วย ไม่มีอะไรหรอก วันๆมีแต่โลภโกรธหลง
พอไหวไหมอย่างนี้ ไม่ยากนะการปฏิบัติไม่ยากหรอก
แล้วถ้าลงมือทำอย่างที่หลวงพ่อบอกนะไม่นานก็เปลี่ยน

คือหลวงพ่อมองไม่เห็นนะ ว่าเราจะฝากพระพุทธศาสนาไว้กับใครได้
เราต้องสร้างชาวพุทธขึ้นมา คนจะเป็นชาวพุทธเนี่ยต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า
จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องเรียน เรียนปริยัติ กับเรียนปฏิบัติ
เรียนปริยัติอย่างเดียวยังไม่เข้าใจ
เรียนปฏิบัติอย่างเดียวอาจจะเข้าใจนะแต่จะเข้าใจผิดก็ได้
ปริยัติกับปฏิบัติเนี่ยมันเสริมกัน ถ้าเรียนได้ทั้งคู่ก็ดี
ต้องรู้ว่าเราเรียนปริยัติเพื่อรู้วิธีปฏิบัติ
เมื่อปฏิบัติแล้วเนี่ย ผลของการปฏิบัติมันจะตรงกับปริยัติ
แต่ต้องระวังปริยัติรุ่นหลังๆมันเฝือไปก็มีเหมือนกัน
ถ้าดูพระไตรปิฏกอย่างนี้ดี ใช้ได้เลย ไม่พลาดหรอก

ไปประเทศอินเดีย ไปอะไรนะ
เห็นศาสนสถานของชาวพุทธเราถล่มทลายเต็มไปหมดเลย
ใหญ่โตมโหราฬ รักษากันไม่ได้ เพราะมันไม่เหลือชาวพุทธ
บ้านเมืองเรานี้ก็เหมือนกันนะ เรามีวัดตั้งสามหมื่นแห่ง
วัดร้างไปเยอะแยะเลย ไม่มีพระ
พระน้อยลงเรื่อยๆนะ ทุกวันนี้พระเหลือไม่มากแล้วนะ พระน้อยลง
เณรก็เกือบหมด เณรจะเหลือแต่เณรฤดูร้อน เณรฤดูฝนไม่ค่อยมี
เณรเหมือนกับต้นไม้อะไรสักอย่าง ออกดอกออกผลฤดูเดียวตอนปิดเทอม
พระนะร่อยหรอเต็มทีแล้ว งั้นเราจะหวังพึ่งพระพึ่งอะไรนั้นพึ่งยากนะ พระก็เหลือน้อย

พวกเราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้จริงให้ได้ แล้วเราถึงจะรักษาสืบทอดศาสนาได้
อย่างพอเรารู้วิธีปฏิบัตินะ เราเริ่มเห็นผลของการปฏิบัติ เจอคนอื่นเราก็บอกต่อได้
เนี่ยศาสนาก็ถ่ายทอดไป ไปๆแบบซึมลึก ลึก
เนี่ยเราต้องพยายามสร้างชาวพุทธนะ แล้วไม่มีใครมาปราบได้
เพราะความเป็นพุทธอยู่ในใจใครมันจะรู้ ถ้าหุบปากไว้ไม่มีใครรู้หรอก

พวกเราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้ให้ได้นะ
บทเรียนในอดีตเนี่ยสอนเรามาเยอะแล้ว
สมัยนาลันทาถูกทำลาย ชาวพุทธมีอยู่แต่ในนาลันทา
ข้างนอกไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ชาวพุทธแท้ๆไม่ค่อยมี
ในนาลันทาก็เป็นนักปรัชญาซะเป็นส่วนใหญ่ เรียนลัทธิศาสนาต่างๆเยอะแยะเลย
เป็นมหาวิทยาลัยมากกว่า ไม่ใช่ที่รวมของชาวพุทธอย่างเดียวหรอก
มีเครื่องแบบ พระมีเครื่องแบบ พอเค้าทำลายล้างก็หมดไปเลย
ชาวบ้านคนไหนถ้าไม่เปลี่ยนศาสนาเค้าก็ฆ่าเอาทำร้ายเอา ก็หมด

พวกเราเป็นชาวพุทธไว้ในใจนะ
ไม่ต้องแขวนป้ายก็ได้ ไม่มีใครทำร้ายได้ มันไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ต้องสู้นะ ตั้งใจไว้อย่างหนึ่งว่าอย่าให้ธรรมะมาขาดรุ่นลงในช่วงของเราได้
อย่าให้ดวงประทีปที่พระพุทธเจ้าประทานมาเนี่ย มาดับลงในมือของเรานะ
อย่างน้อยต้องส่งต่อไปให้ได้สักรุ่นหนึ่ง ตั้งใจไว้อย่างนี้นะ


สวนสันติธรรม
วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2555

ฟังเนื้อหา http://02.learndhamma.com/pramote/cd/048/mp3/551229B.mp3