Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๖๙

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor เราปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
สิ่งที่เรียกว่าตัวทุกข์ก็คือตัวขันธ์ คือกายกับใจเรานี้แหละ
จะพ้นจากขันธ์ได้พ้นจากทุกข์ได้ ก็ต้องเห็นความจริงของกายของใจของธาตุของขันธ์
ว่าไม่ใช่ของดีของวิเศษ แต่มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา

จะเห็นความไม่ดีของธาตุของขันธ์ได้
เห็นความบกพร่องของธาตุของขันธ์จนหมดความยึดถือได้ ก็ต้องเจริญปัญญา
วิธีเจริญปัญญานะ มีสติรู้กายรู้ใจอย่างที่มันเป็นน่ะ
มันเป็นยังไงรู้ไป ตัวมันเป็นทุกข์อยู่แล้ว รู้อย่างที่มันเป็นเพื่อจะเห็นตัวทุกข์นั่นแหละ
คำว่าทุกข์นี่คลุมถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานะ
หมายถึงเป็นของไม่ดี ของไม่สำคัญ ของไม่วิเศษวิโสอะไร

ให้มีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง ทีนี้มันก็มีเงื่อนไข
เราจะรู้กายตามความเป็นจริง รู้ใจตามความเป็นจริงได้ ต้องรู้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลาง
จิตที่ไม่อินเข้าไปในปรากฏการณ์ จิตที่ถอนตัวออกมาเป็นคนดู
เหมือนอย่างเราดูมวยนะ สังเกตไหมว่านักมวยเวลาชกกันนะ บางทีแก้ทางของคู่ต่อสู้ไม่ได้
ไอ่คนดูมวยเนี่ยมันสอนอยู่ข้างเวทีมวยนี่เต็มไปหมดเลย รู้สึกไหมแต่ละคนเก่งมากเลย
ทำไมเอ็งไม่ทำอย่างนั้น ทำไมเอ็งไม่ชกอย่างนี้ เอ้าเตะมันตรงนั้นเตะมันตรงนี้
ให้มันไปชกเอง ตายเปล่าๆนะ
แต่มันดู มันเป็นคนวงนอก มันดูง่าย นึกออกไหม มันเป็นคนวงนอก

เรามาฝึกจิตจนกระทั่งเป็นคนวงนอกของกายของใจตัวเอง
เราก็จะเห็นความจริงของกายของใจได้ชัด
ถ้าจิตเราเข้าไปคลุกวงใจละก็ เหมือนกำลังชกกับเค้าอยู่นะ
ดูกายดูใจได้ไม่ชัดหรอก ดูไม่ตรงความจริงหรอก มันมั่ว
งั้นต้องถอยตัวออกมาเป็นคนดู
ตรงที่จิตถอยตัวออกมาเป็นคนดูได้นี่แหละ คือจิตที่ทรงสมาธิที่ถูกต้อง จิตจะเป็นผู้รู้ขึ้นมา

เมื่อสามสิบปีก่อนหลวงพ่อเข้าหาครูบาอาจารย์นะ
แต่ละองค์ๆนะ เข้าไปเยอะนะหลายสิบองค์เลย
เข้าไปศึกษากับท่านน่ะ ตั้งแต่หลวงปู่ดูลย์เป็นต้นไปเนี่ย
เข้าไปที่ไหนท่านสอนแต่เรื่องคำว่าจิต จิตผู้รู้นั่นเอง เราต้องมีจิตที่เป็นผู้รู้
ท่านไม่มานั่งสอนหรอก นั่งสมาธิแล้วให้เห็นโน่นเห็นนี่ ไม่มีใครสอนเลยนะ
รุ่นโน้นไม่เอาเลยนิมิต ครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่เนี่ยสอนแต่ให้เข้ามาที่จิต
ให้ถอดถอนออกมาจนเป็นผู้รู้ได้นะ แล้วก็มาเดินปัญญา

เนี่ยถ้าจิตเราไม่เป็นผู้รู้ เป็นผู้คิดผู้นึกผู้ปรุงผู้แต่ง มันคือจิตที่คลุกวงในอยู่กับธาตุกับขันธ์
ถ้าจิตมันถอนตัวออกมาเป็นคนดู มันจะเห็นร่างกายเคลื่อนไหวไปจิตเป็นคนดู
มันจะรู้สึกเลย ร่างกายมันเหมือนคนอื่นแล้ว เหมือนเราไปเห็นร่างกายคนอื่นเคลื่อนไหว
ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นนะ จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่
มันจะรู้สึกว่าความสุขความทุกข์มันเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามา
ไม่ใช่ความสุขความทุกข์ของเรานะ
มันเป็นความสุขความทุกข์ผ่านมาผ่านไป เหมือนเห็นคนเดินผ่านหน้าบ้านเท่านั้นเอง

หรือเห็นกุศลอกุศลเกิดขึ้น
ความโกรธเกิดขึ้น มันจะไม่รู้สึกเลยว่าเราโกรธนะ
แต่จะเห็นว่าความโกรธมีอยู่ จิตมีอยู่ ต่างคนต่างอยู่นะ
จะเห็นอยู่อย่างนั้นเลย ขันธ์มันแยกออกไป จิตเป็นคนดูขึ้นมา
ตัวนี้ตัวแตกหักเลยว่าเราจะเจริญปัญญาได้ไหม

ถ้าเราไม่มีสมาธิ คือไม่มีความตั้งมั่นของจิตที่จิตถอนตัวออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูนะ ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง
งั้นในตำราจะสอนเลยบอกว่า สัมมาสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา
ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิคือความตั้งมั่นของจิตเนี่ย จะไปเจริญปัญญาทำวิปัสสนาไม่ได้จริง
จิตต้องถอนตัวออกมาให้ได้ จิตของเราปกติไม่ถอนตัวออกมาเป็นผู้รู้หรอก
จิตมันจะไหลไปรวมเข้ากับความคิดนึกปรุงแต่งตลอดเวลา ต้องฝึก

วิธีฝึกนะ ทำสมาธิขึ้นมา หรือทำกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาซะก่อน
จะหัดพุทโธก็ได้ หัดรู้ลมหายใจก็ได้ จะดูท้องพองยุบก็ได้ จะไปเดินจงกรมก็ได้
จะดูร่างกายยืนเดินนั่งนอนก็ได้ จะดูร่างกายเคลื่อนไหวดูร่างกายหยุดนิ่งก็ได้
อะไรก็ได้ ทำกรรมฐานอย่างหนึ่งขึ้นมาซะก่อนแล้วคอยรู้ทันจิต
พุทโธๆจิตหนึไปคิด รู้ทัน พุทโธจิตไปเพ่งนิ่งๆว่างๆอยู่ รู้ทัน
หายใจอยู่จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งลมหายใจ รู้ทัน
ดูท้องพองยุบอยู่จิตหนีไปคิด รู้ทัน จิตไปเพ่งท้อง รู้ทัน
เดินจงกรมอยู่นะ จิตไปเพ่งเท้าก็รู้ จิตหนีไปคิด ก็รู้
รู้อิริยาบทสี่นะ จิตมาเพ่งร่างกายทั้งร่างกายก็รู้ จิตหนีไปคิดก็รู้
เนี่ยฝึกอย่างนี้เรื่อยๆนะ คอยฝึกไปเรื่อย
ต่อไปมันจะเห็นเลยว่าจิตมันอยู่ต่างหาก
จิตมันอยู่ต่างหาก ค่อยๆสังเกต ค่อยๆสังเกตไป

แต่ถ้าอย่างนี้ยังยากไปก็ย่อลงมาอีก เอานิดเดียวก็พอ วิธีฝึก
ธรรมชาติของจิตเนี่ยชอบหนีไปคิดมากที่สุดเลย วันๆหนึ่งหนีคิดนับไม่ถ้วน
งั้นก็ให้เราคอยทำกรรมฐานอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้ทันจิตที่หนีไปคิดแค่นี้ก็พอนะ
หรือว่าถ้าเก่งกว่านั้นก็คือเห็นจิตที่มันไหลไปเพ่งด้วยก็ดี
ถ้าได้สองอย่างก็ได้ครบแล้ว เพราะจิตที่หนีไปมันหนีไปสองแบบเอง
หนีไปคิดนะ สะเปะสะปะไป ไปเสพอารมณ์ข้างนอก
กับหนีไปเพ่ง บังคับตัวเองนิ่งๆอยู่ ถ้ารู้ได้ทั้งสองอย่างก็ดี

ถ้ารู้ไม่ได้นะ รู้ทันจิตที่ไหลไปคิดเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็รู้ขึ้นมาเอง เดี๋ยวมันก็ตั้งขึ้นมาเอง
ค่อยๆฝึกไป แค่นี้แหละฝึกอยู่ที่จิตอันเดียวนะแล้วจะได้สมาธิขึ้นมา
ทำไปพุทโธ จิตหนีไปก็รู้ จิตไปเพ่งก็รู้
หายใจ จิตหนีไปคิดก็รู้ จิตไปเพ่งลมหายใจก็รู้

ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ ทำทุกวันนะ วันหนึ่งสิบนาทีทุกวัน
ขอสิบนาทีเองไม่ขอมาก ขอมากกว่านี้ไม่ให้หลวงพ่อหรอก
ขอแค่สิบนาทีให้ได้ไหม แล้วต่อไปนะถ้าทำตรงนี้เป็นนะ ต่อไปมันจะเพิ่มขึ้นเองนะ

แต่ละวัน ในแต่ละวันเนี่ย ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็ทำห้านาทีแล้วก็ไปทำงานนะ
กลางวันกินข้าวเราทำสักครึ่งชั่วโมง มีเวลาเยอะหน่อย
ตอนเย็นก็ทำได้สิบนาที สิบห้านาที เดี๋ยวก็จะหลับแล้ว
ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆนะ สมาธิมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู

สมาธิที่จิตเป็นผู้รู้ผู้ดูนี้เป็นสมาธิที่วิเศษที่สุดเลยนะ เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า
คนไม่รู้จักหรอก คนที่ฝึกสมาธิส่วนมากมันฝึกสมาธิฤาษี ไม่ใช่สมาธิพระพุทธเจ้า
ฝึกสมาธิที่จิตไปแนบนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว
ไปดูท้องพองยุบก็จิตไปอยู่ที่ท้อง ไปรู้ลมหายใจจิตก็ไปอยู่ที่ลมหรือไปอยู่ที่แสงสว่าง
เนี่ยฝึกอะไรเข้านะจิตมันไหลออกไปหมดเลย แล้วไปนิ่งอยู่ในอารมณ์อันเดียว
นั้นมันสมาธิที่สาธารณะนะ สมาธิแบบนั้นศาสนาอื่นก็มี พวกฤาษีชีไพรเค้าก็สอนกันได้
แต่สมาธิที่จิตถอนตัวออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
มีแต่ในคำสอนของพระพุทธเจ้านะ คนอื่นไม่มีหรอก

งั้นเราต้องฝึกนะ รู้ทันจิตที่ไหลไปคิดบ่อยๆน่ะ เสร็จแล้วเราจะได้ตัวรู้ขึ้นมา
ได้ตัวรู้แล้วก็ไม่รู้อยู่เฉยๆ มีสติรู้กายรู้ใจอย่างที่มันเป็นไป แต่รู้ด้วยใจที่เป็นคนดู
เนี่ยฝึกอย่างนี้ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ถ้าทำให้ได้นะ
แต่ว่าไม่ใช่ว่าฝึกวันที่หนึ่งแล้วก็ทิ้งไปหกวัน วันที่เจ็ดไปฝึก
แล้วบอกว่าครบเจ็ดวันแล้วทำไมไม่ได้พระโสดาฯซักที อันนั้นมันขี้โกงไปแล้วนะ
หรือฝึกวันที่หนึ่งแล้วก็ครบเจ็ดปีแล้วมาทำอีกหนหนึ่งแล้วบอกฝึกมาเจ็ดปี
ใช้ไม่ได้นะ โกหกหลอกลวงแล้วอย่างนั้น

ต้องทำทุกวันๆไป ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี มันต้องมีอะไรบ้างแหละ
ถ้าไม่ดีเกินไป กับเลวเกินไป
ดีเกินไปก็คือพวกหวังพุทธภูมิ ภาวนาไปแล้วใจมันจะไปพุทธภูมิ
พอจวนจะรวมเข้าไปตัดนะก็ถอยออกมาอีกแล้ว สงสารสัตว์โลก ถอยออกมาไม่ยอมตัด
ภาวนาจนใจเข้าสู่ความเป็นกลางนะ เห็นสุขเห็นทุกข์ เห็นดีเห็นชั่วนี่เสมอกันหมดเลย
ไม่ได้ตื่นเต้นกับความสุข ไม่ได้เกลียดความทุกข์
ไม่ได้ตื่นเต้นกับดี ไม่ได้เกลียดความชั่วเลยนะ เป็นกลางเลย เข้าถึงตัวนี้แล้ว
เสร็จแล้วใจก็ไม่เกิดอริยมรรค อริยผล
พอจวนจะเกิดแล้วถอยออกมาทุกที นั่นพวกดีเกินไป

พวกชั่วเกินไป ก็พวกด่าพระอริยะ พวกฆ่าพ่อฆ่าแม่ พวกอะไรพวกนี้
พอจิตจะรวมเข้าไปตัดกิเลสถึงขั้นอริยมรรคนี้ จิตจะดีดตัวออกมา กรรมมันขวางไว้

เราไม่รู้ว่าใครเป็นพระอริยะนะ
งั้นทางที่ดีอย่าไปด่าใครสักคนปลอดภัยที่สุดน่ะ

สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2555

ฟังเนื้อหา (นาทีที่ ๑๘:๒๓)