Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๖๘

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor

คนชอบทอดกฐินเนาะ
ทอดกฐินนะทอดที่ไหนก็ได้ ก่อนทอดกฐินนะมาฟังธรรมก่อน
หลวงพ่อเน้น งานหลักของหลวงพ่อเลยนะ ในชีวิตนี้ที่ตั้งใจ
คือจะรักษาสืบทอดคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้
สิ่งที่ต้องการมากที่สุดเลยก็คือถ่ายทอดธรรมะเข้ามาสู่ใจของพวกเราให้ได้
ไม่มีที่ไหนที่จะเก็บรักษาธรรมะไว้ได้เหมือนที่ในใจของพวกเรา
ถ้าใจของพวกเรามีธรรมะแล้วเรื่องอื่นๆมันตามมาเอง

อย่างบางที่เขาแข่งกันสร้างวัตถุ
สร้างโบสถ์หรูหราอะไรอย่างนี้เป็นร้อยล้านพันล้าน
สร้างโน่นสร้างนี่ ก็ดีเหมือนกันมันเป็นศาสนวัตถุ
แต่ถ้าวันที่แผ่นดินไม่มีชาวพุทธ มันเป็นวัตถุที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
ไม่มีคนเหลียวแล มีคนเหยียบย่ำซะอีก

หลวงพ่อไปอินเดียมานะเห็นแผ่นดินที่เคยมีพระพุทธศาสนา
ร่มเย็นยั่งยืนกว้างใหญ่ไพศาล มีสิ่งก่อสร้างมากมายเลย พอหมดชาวพุทธก็ไม่มีคนรักษา
คนศาสนาอื่นเค้าก็มารื้อเจดีย์รื้ออะไร เอาก้อนอิฐไปใช้
ไปเจอพระบรมสารีริกธาตุ เค้าก็เอาไปลอยน้ำ
เค้าไม่ได้เหยียบย่ำนะ เค้าเชื่อว่าคนตายต้องเอากระดูกไปทิ้งน้ำ
งั้นถ้าเรามุ่งไปที่ตัววัตถุ ถึงวันที่แผ่นดินไม่มีชาวพุทธ วัตถุก็ถูกย่ำยี

สิ่งที่หลวงพ่อใฝ่ฝันนะ ปรารถนาที่สุดก็คือพวกเราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้จริง
ชาวพุทธที่แท้จริงไม่ใช่แค่ว่าถึงเทศกาลก็มาทำบุญ
ถึงเวลาทอดกฐินก็มาทอดกฐิน ต้องทอดให้ได้ ๙ วัดจะได้เฮงๆ
คำว่าเฮงๆนะไม่มีในสารบบที่พระพุทธเจ้าสอน คำว่าเฮงคำว่าซวยนี้ไม่มีนะ มันมีแต่คำว่ากรรม

งั้นพวกเราต้องมาเรียนธรรมะนะ แต่ละคนน่ะไม่รู้ตัวหรอกว่ามีความสำคัญ
เวลานี้ศาสนาพุทธนั้นแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
หลวงพ่อไปที่คยา เห็นชาวพุทธนานาชาติเลยเค้ามาไหว้พระ
มาสวดมนต์นะเสียงดังๆเจื้อยแจ้วกันนะ ไม่มีสติหรอก
หาคนที่จะเจริญสติปัฏฐานจริงๆ หาไม่ได้
มันเป็นพุทธด้วยชื่อเท่านั้นเอง ด้วยความเชื่อว่าเป็นพุทธ
แต่เนื้อหาสาระของความเป็นพุทธนั้นไม่ค่อยจะมีหรอก หายากมากเลย
ทั้งคนไทย ทั้งชาวพุทธต่างชาตินะ เหมือนๆกันก็ไปทำบุญ ไปสวดมนต์ ทำทาน อะไรอย่างนั้น
เนื้อแท้ของคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย ไม่มีคนเหลียวแลเท่าไหร่หรอก

พวกเราทุกคนเลยมีความสำคัญ
ในวันที่ชาวพุทธขาดแคลนแล้วเนี่ย พวกเราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้จริงให้ได้
อย่าเป็นชาวพุทธคนสุดท้ายนะ เราต้องเป็นชาวพุทธที่แท้จริงขึ้นมา
แล้วเราก็ต้องถ่ายทอดความรู้ถูก ความเข้าใจถูก คือตัวสัมมาทิฏฐิออกไปสู่คนอื่น
เราอย่ายอมเป็นชาวพุทธคนสุดท้ายนะ อย่างน้อยต้องถ่ายทอดธรรมะออกไปให้ได้
ถ้าคนเค้าถามเราว่าอะไรคือพระพุทธศาสนา อะไรเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
ต้องตอบเค้าให้ถูก ว่าสัมมาทิฏฐิ คือเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
ปราศจากสัมมาทิฏฐิอย่างเดียวเท่านั้น พระพุทธศาสนาไม่มีแล้ว
ถึงจะมีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตนะ แต่ว่าพระพุทธศาสนาไม่มี
เหลือแต่ก้อนอิฐก้อนหิน คนอื่นเค้าก็มาเหยียบย่ำทำลายเอา

งั้นการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิเป็นงานใหญ่
คนแรกที่พวกเราต้องปลูกฝังสัมมาทิฏฐิให้เค้านะก็คือตัวเราเอง
เมื่อตัวเรามีสัมมาทิฏฐิแล้วก็พยายามถ่ายทอดสัมมาทิฏฐินี้ออกไปตามความรู้ความสามารถของแต่ละคน

เมื่อวันสองวันนี้ก็มีพระมาถามว่าจะสอนได้ไหม หรือโยมถาม จำไม่ได้แล้ว
บอกสอนได้ แต่สอนตามที่เราเข้าใจจริงๆนะ สอนตามที่เราแม่นจริงๆ สอนมั่วๆไม่ได้
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีเหตุมีผลรองรับนะ ฟิตเปรี๊ยะเลย
ไม่มีที่กระดิกเลย ไม่มีที่โต้แย้งได้เลย ไม่ใช่เรื่องนึกๆเอาเอง
ต้องเรียนให้แม่นๆนะ อย่างบอกว่าถ้าเรารักษาศีลเป็น
เราก็สอนคนอื่นให้รักษาศีล คนรอบๆตัวเรา
ต้องรู้จักรักษาศีลนะ การรักษาศีลที่ดีเบื้องต้นต้องตั้งใจงดเว้นการทำบาปอกุศล ๕ อย่างทางกายทางวาจา
ศีลนี่เป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมทางกายทางวาจาให้เรียบร้อย
เบื้องต้นตั้งใจไว้ก่อนว่าเราจะไม่ทำผิดทางกายทางวาจา ๕ อย่างนั้นแหละ
ศีล ๕ นั้นแหละพอแล้วล่ะ

แล้วถ้าตรงนี้ยังรู้สึกยากนะ ก็พัฒนาการรักษาศีลขึ้นไป
รักษาที่กายที่วาจายาก มารักษาที่ใจ ให้มีสตินี้แหละ คอยรู้ทัน
เวลากิเลสอะไรเกิดขึ้นที่ใจ คอยรู้ทัน
ราคะเกิดขึ้นที่ใจ คอยรู้ทัน
โทสะเกิดที่จิตใจ คอยรู้ทัน
ถ้าเรารู้ทันกิเลสที่เกิดขึ้นที่ใจนี้ กิเลสจะครอบงำจิตใจไม่ได้
อย่างทันทีที่รู้ว่าโทสะเกิดขึ้น โทสะจะดับอัตโนมัติ
เพราะเมื่อไรไม่มีสติ เมื่อนั้นจะไม่มีกิเลส
เมื่อไรมีกิเลส เมื่อนั้นไม่มีสติ งั้นพัฒนาสติขึ้นมา เป็นเครื่องมือในการรักษาศีล

บางคนหัวเราะนะ บอกสอนเรื่องสติ ทำไมไม่สอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา
เนี่ยหลวงพ่อคำเขียนเคยพูดให้หลวงพ่อฟังว่าท่านไปเทศน์ที่แห่งหนึ่งนะ
เทศน์เสร็จท่านสอนให้มีสตินี้แหละ
พอเทศน์เสร็จนะคนก็มาว่าท่าน ว่าทำไมท่านไม่สอนตามลำดับ
ทำไมไม่สอนเรื่องการรักษาศีล การนั่งสมาธิ การเจริญปัญญา
ท่านหัวเราะนะ ตอนนั้นท่านเป็นมะเร็งนะ นอนอยู่ลุกไม่ขึ้นน่ะ
ท่านเล่าตรงนี้ให้หลวงพ่อฟังแล้วท่านหัวเราะ
บอกว่าเค้าก็ถูกของเค้าน้ออาจารย์ปราโมทย์ เราก็ถูกอย่างของพวกเรา
ถ้ามีสติก็มีศีล มีสติก็มีสมาธิ มีสติก็มีปัญญาได้
ขาดสติซะอย่างเดียวนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีหรอก

งั้นสติถือเป็นธรรมมีอุปการะมาก จำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
สติที่วิเศษที่สุดนั้นคือสติปัฏฐาน เป็นสติที่ระลึกรู้อยู่ในกายในใจของเรานี้
ถ้าสติอื่นๆเนี่ย สติกระจอกงอกง่อย สติโลกๆ
สติที่วิเศษมากเลยคือสติปัฏฐาน ร่างกายเคลื่อนไหวรู้สึก จิตใจเคลื่อนไหวรู้สึก
อย่างกิเลสเกิดขึ้นในใจเรา รู้สึกอยู่
กิเลสจะครอบงำจิตไม่ได้ เมื่อกิเลสครอบงำจิตไม่ได้ ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น

คนทำผิดศีลก็เพราะกิเลสครอบงำจิต
อย่างโทสะครอบงำจิตนะก็ไปฆ่าเค้าไปตีเค้า
ไปแกล้งลักทรัพย์เค้า ทำลายทรัพย์สินเค้า ไปแกล้งผิดลูกผิดเมียเค้า
ไปกล่าวร้ายโจมตีเค้า หรือไปแกล้งยกย่องสรรเสริญให้เค้าเสียผู้เสียคน
นี่ทำด้วยโทสะก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องไปด่าเค้านะ
แต่ว่ามันเป็นมุสาวาทเหมือนกัน มันพูดโดยเจตนาร้าย
หรือโทสะครอบงำจิต มีความเศร้าโศกขึ้นมาแล้วไปกินเหล้าเมายา

ราคะครอบงำจิตก็ทำผิดศีล ๕ ได้ทุกข้ออีกแหละ
ราคะครอบงำจิตก็ไปประทุษร้ายเค้าเพื่อจะชิงทรัพย์เค้าอะไรอย่างนี้
ไปยักยอก ไปขโมยเค้า ปลิ้นปล้อนหลอกลวงเค้า
ไปผิดลูกผิดเมียเค้า โกหกหลอกลวงนะ
หรือเวลาราคะเกิดขึ้น จิตใจมีความสุขกระดี๊กระด๊า
มีความสุขแล้วชวนกันไปกินเหล้าเมายา
มีความทุกข์ก็กินเหล้านะ มีความสุขก็กินเหล้า
มีความทุกข์ก็มีโทสะ มีความสุขก็มีราคะ แทรกเข้ามาเสมอเลย

คนทำผิดศีล ๕ ได้ เพราะกิเลสครอบงำจิต ตัวเดียวเท่านี้เอง
ถ้าเรามีสติ เรารู้ทันกิเลสใดๆเกิดขึ้นที่ใจเรา
ทำไม่จะรู้ไม่ได้
? ทุกคนรู้ได้หมดแล้ว ทุกคนรู้จักอยู่แล้ว
ความโกรธเป็นยังไง ทุกคนรู้จัก
ความโลภเป็นยังไง ทุกคนรู้จัก
ความฟุ้งซ่านเป็นยังไง ทุกคนก็รู้จัก
ความหดหู่ ดีใจเสียใจ สารพัดความรู้สึก เรารู้จักอยู่แล้วแต่เราละเลยที่จะคอยรู้เท่านั้นเอง

งั้นการที่จะเจริญสติปัฏฐานเนี่ย จะมาเรียนรู้กายรู้ใจของตัวเองไม่ใช่เรื่องยากเลย
จะมีสติไปในกาย มีสติไปในใจ ไม่ใช่เรื่องยาก
ทุกคนทำได้แต่ละเลยที่จะทำเพราะไม่เห็นคุณค่า
ไม่รู้ว่าทางรอดจากวัฏฏะสงสารที่เป็นบรมทุกข์ เป็นกองทุกข์อันใหญ่นี้
อยู่ตรงที่เราเจริญสติปัฏฐานให้ได้นี้แหละ
ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้นะเราก็ไปไม่รอดหรอก ก็จมอยู่ในความทุกข์เรื่อยไป
งั้นพวกเราพยายามมามีสตินะ มีสติระลึกรู้ กิเลสอะไรเกิดขึ้นที่จิตใจเราคอยรู้


สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2555

ฟังเนื้อหา