Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๖๖

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor

มาเรียนบ่อยๆเห็นความเปลี่ยนแปลงบ้างไหม ดูออกไหม
ดูไปนะ ตัวตนบางคนก็หายไป ...ดี บางคนก็เห็นตัวตนเยอะ self จัด
ถ้าเราภาวนาเป็นนะเห็นกิเลสบ่อยๆ เราจะรู้เลยกิเลสที่น่าอายนะคือ self จัด แต่พวก self จัดไม่อายนะ
แต่พอเราเห็นว่าตัวนี้มันทำอะไรก็มี self ซ่อนอยู่ข้างหลัง รู้สึกเป็นกิเลสน่าอาย ชวนให้อับอายขายหน้า

งั้นภาวนานะ ค่อยๆลอกเปลือกของตัวเองออกมาทีละชั้นๆ ดูตัวจริงของเรา
ความไม่ดีอยู่ตรงไหน เข้าไปเรียนรู้มัน มันซ่อน
เรารักษาหน้า บางทีเราก็ปิดบังกิเลสเอาไว้ ซ่อนเอาไว้
กล้าๆหน่อย มีกิเลสนะไม่ต้องไปบอกคนอื่นหรอก
หมายถึงว่ากล้าๆหน่อยที่จะรู้ความจริง เห็นความไม่ดีของเราเอง เห็นจุดอ่อนของเราเอง
อย่าไปนึกแต่ว่าคนอื่นมองเราไม่ดี คนอื่นว่าเรา คนอื่นไม่ให้โอกาสเรา
เราดูตัวของเรา งานหลักของเราจริงๆก็คืองานล้างกิเลสข้างในนี้แหละ
กิเลสนำความทุกข์มาให้ ทำให้ใจเราบีบคั้น

เวลาเราได้ยินเสียงดังๆ ใครเคยเห็นจิตไหวตัวบ้างไหม
เวลาลมพัด รู้สึกไหมว่าจิตไหว ตัวนี้ละเอียดขึ้นไปอีกนะ
หลวงพ่อตอนเป็นโยมนะ เดินๆอยู่เนี่ยแสงแดดมันกระทบเปลือกตาจิตยังไหวเลย
ไม่ใช่ไหวเปล่าๆนะโมโหด้วย ถามว่าโมโหใคร? ไม่รู้
ไม่รู้จะว่าไปโมโหพระอาทิตย์ก็ไม่ใช่ เนี่ยกิเลสมันยุบยับๆไปหมดเลย
ตาเห็นรูป จิตก็ไหว หูได้ยินเสียง จิตก็ไหว
จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายกระทบสัมผัส ใจคิดนึก จิตก็ไหว จิตไหวทีไรก็เป็นทุกข์ทุกที
ใครเห็นจิตไหวได้บ่อยๆ วันๆหนึ่งเห็นบ่อยๆเลย
เยอะไหม? ทุกข์ไหม? ...ทุกข์ ถ้าเห็นแล้วจะทุกข์

ตาเห็นรูปเนี่ยมีผัสสะนะ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายกระทบสัมผัส นี้คือผัสสะทั้งสิ้นเลย
ถ้าคนปัญญาทั่วๆไปก็ไม่รู้อะไร หัดภาวนาไปช่วงหนึ่งแล้วตาเห็นรูปมีความสุข หูได้ยินเสียง มีความทุกข์อะไรอย่างนี้ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์สลับไปเรื่อย
แต่พอเราภาวนาได้เข้มข้นขึ้น ตาเห็นรูปก็ทุกข์ หูได้ยินเสียงก็ทุกข์ ทุกข์เพราะจิตมันไหว
จิตมันไหว เป็นภาระขึ้นมา เหน็ดเหนื่อยทั้งวันทั้งคืน
สุดท้ายรู้เลย มีผัสสะขึ้นมาก็มีทุกข์ ทุกที
แต่เดิมนึกว่าความสุขเป็นของดี พอเห็นว่ามีความสุขนะจิตก็ไหว โอ้ จิตไม่มีความสุขหรอก
สุดท้ายก็เห็น “นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป” มีแต่ทุกข์ล้วนๆเลย
กระทั่งความสุขเกิดขึ้นนะ จิตก็ไหวขึ้นมา เป็นภาระทางใจ เหนื่อย

เนี่ยะเห็นทุกข์ล้วนๆ ต่อไปสามโลกธาตุนี้จะมีอะไร สามโลกธาตุนี้อย่างมากก็เป็นแค่ผัสสะ
ไปอยู่ในสวรรค์ ก็มีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์อีก
กระทบอารมณ์ในสรวงสวรรค์นะ จิตก็ไหวอีก
ไปอยู่ในพรหมโลก ไปเกิดปีติ จิตก็ไหว มีความสุข จิตก็ไหว มีอุเบกขา จิตยังไหวเลย
สามโลกนี้ไม่มีที่ๆไม่มีทุกข์

เนี่ยเฝ้ารู้นะ เฝ้ารู้ไปเรื่อย ใจจะคลายออกๆ
เวลาจะข้ามภพข้ามชาติ จะเห็นแต่ทุกข์ล้วนๆเลย ทุกข์สุดๆเลย ทุกข์จนใจไม่เอาอะไร
ยิ่งเห็นทุกข์ ใจก็ยิ่งคลายออกๆ มีความสุขมากขึ้นๆ
แต่ไม่หลงในความสุข เพราะรู้ว่าภาระยังไม่สิ้น ใจยังไหวอยู่อีก
ทีนี้บางคนไปเห็นว่าพอจิตมันไหวๆขึ้นมาก็นำความทุกข์มาให้
ก็ไปฝึกไม่ให้จิตไหว ฝึกเพ่ง อันนั้นไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า
ไปฝึกให้จิตนิ่งๆ กระทบแล้วไม่กระเทือน กระทบแล้วไม่กระเทือน ไม่ใช่ทาง
กระทบแล้วมันกระเทือนแล้วก็เห็นทุกข์เป็นโทษของวัฏฏะไปเรื่อย
เห็นทุกข์เห็นโทษของธาตุของขันธ์ไปเรื่อย
จิตเกิดปัญญาอย่างถ่องแท้นะ ไม่ยึดในธาตุในขันธ์นี้อีก
คราวนี้กระทบแล้วไม่กระเทือน ไม่กระเทือนโดยที่ไม่ต้องประคองไม่ต้องรักษา

พวกที่รักษาจิต ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์แล้วไม่ให้กระเทือนเลย
ให้นิ่งคงที่อยู่เรื่อยๆ พวกนี้ยังต้องรักษาอยู่ วันใดหมดแรงรักษานะจะร้ายมากกว่าคนปกติ
โกรธก็โกรธมากนะ อาฆาตก็อาฆาตมาก รุนแรง ฟุ้งซ่านก็ฟุ้งซ่านมาก มันไม่ใช่วิธีที่พระพุทธเจ้าสอน
ตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบอารมณ์ไปแต่จิตกระเทือนให้รู้ว่ามันกระเทือน
มีแต่ของไม่ดี มีแต่ของไม่งามนะ กระทบกระเทือนขึ้นมาเรื่อยๆ มีแต่ทุกข์มีแต่โทษ
เห็นทุกข์ถึงจะเห็นธรรม ไม่ใช่หนีทุกข์

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ทุกข์ ก็ต้องคอยรู้มัน
กระทบอารมณ์ทีไรความทุกข์ก็เกิดทุกที นี้เรียกว่ารู้ทุกข์
ประคองจิตให้นิ่งให้ว่างไม่ให้จิตทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าหนีทุกข์
ต้องรู้ทุกข์ ไม่ใช่หนีทุกข์ หนีทุกข์หนีไม่รอดหรอก
มีจิตนะ มีจิตดวงเดียวเหลือแต่จิตดวงเดียว อย่างเข้าอรูปฌาน เหลือจิตดวงเดียว
ออกจากอรูปฌานนะ จิตดวงเดียวนั้นแหละไปสร้างขันธ์ ๕ ขึ้นมาใหม่หมดเลย
มีจิตดวงเดียวก็เกิดนามรูปขึ้นมาได้ทั้งหมดอีกแหละ
ก็กลับมาอีก ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ อ้อมค้อมเสียเวลาเปล่าๆ
หันหน้ามาเผชิญกับตัวทุกข์นะ เห็นเลยจิตไหวทีไรก็เป็นทุกข์ทุกที
เฝ้ารู้ไปอย่างสบาย ตรงนี้แหละยาก ให้รู้สบายๆ รู้แล้วไปเกลียดมันส่วนมาก

ใครพอจะเคยเห็นบ้าง จิตไหวเนี่ย ใครเคยเห็นบ้างยกมือให้หลวงพ่อดูซิใครเห็นบ้าง
โอ้ มีโอกาสบรรลุพระอรหันต์ละน้อ (เสียงหัวเราะ) เห็นนั่นล่ะเห็นทุกข์ล่ะ
เห็นไหมว่ามีความสุขก็ไหวนะ ไหวขึ้นมาเป็นภาระกับจิตทั้งสิ้นเลย ไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก
เฝ้ารู้เฝ้าดูเรื่อย สุดท้ายมันก็ไม่ยึดไม่ถือเพราะมีปัญญาเห็นจริงว่าเป็นตัวทุกข์

อย่าหนีนะ อย่าหนีทุกข์ พวกหนีทุกข์เค้าเรียกว่าการปรุงแต่ง “อเนญชาภิสังขาร”
หนีเลย ไม่อยากกระทบกระเทือนอะไร
ก็หลบไปปรุงแต่งภาวะที่ไม่กระทบกระเทือนขึ้นมาเรียกว่า อเนญชาภิสังขาร
ความปรุงแต่งมี ๓ อันนะมี “ปุญญาภิสังขาร” ความปรุงแต่งฝ่ายดี
“อปุญญาภิสังขาร” ความปรุงแต่งฝ่ายชั่ว
“อเนญชาภิสังขาร” ความปรุงแต่งที่ไม่ให้มันกระทบกระเทือนอะไร เข้าอรูปฌาน
ใจก็รักษาใจไว้ดวงเดียว สบาย ก็มาจากอวิชชาด้วยกันทั้งสิ้น
มาจากความไม่รู้ทุกข์นั่นแหละ ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งแล้วทำลายความปรุงแต่งได้ทั้ง ๓ แบบ

ทีนี้ธรรมชาติของจิตต้องปรุงแต่ง
ระหว่างปรุงดี ปรุงชั่ว ปรุงไม่ให้กระทบกระเทือน ให้ปรุงดีเอาไว้
ปรุงศีล ปรุงสมาธิ ปรุงปัญญาไป ไม่ใช่ไม่ปรุงเลย
บางคนก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ บอกว่าปฏิบัติเนี่ยอย่าปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น
ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่สำคัญเลย เป็นของแปลกปลอม เป็นของปรุงแต่ง ไม่เอา
พูดง่าย ไม่เอาแล้วจะพ้นทุกข์นะ ไม่พ้นหรอก
ต้องพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา ขึ้นมา ต้องทำอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนะ
ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย
ไม่ทำอะไรเลยมันมิจฉาทิฏฐินะ บอกไม่ต้องทำอะไรเลย จิตนั้นว่างๆ สบาย รักษาไว้เฉยๆ
ไม่ทำที่พระพุทธเจ้าสอนสักอย่าง แต่อ้างว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็มีนะ

สิ่งที่เราต้องทำนะ หนึ่ง ทำอะไร ทำการไม่ทำบาปทั้งปวง
ทำกุศลให้ถึงพร้อมนะ ทำจิตให้ผ่องแผ้ว
ฝึกจิตให้ผ่องแผ้วด้วยปัญญาของเรา ปัญญาอันยิ่งเนี่ยแหละ
ความจริงเรามีศีลนะจิตก็เริ่มผ่องแผ้วแล้ว ผ่องแผ้วระดับศีล
มีสมาธิ มันก็ผ่องแผ้วระดับสมาธิ
มีปัญญา เนี่ยผ่องแผ้วจากกิเลสเลย หมดจดจากกิเลส

งั้นสิ่งที่เราต้องทำนั้นมีอยู่ ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย
ไม่ทำอะไรเลยเป็นมิจฉาทิฏฐิ เรียก “อกิริยทิฏฐิ” ไม่ต้องกระทำอะไร เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ศาสนาพุทธเป็นกรรมวาที “ต้องทำ” ทำกรรม
ทำกรรมอะไร? ทำกรรมไม่ทำกรรมชั่ว
ทำกรรมนะทำกรรมดี
ทำกรรมให้จิตผ่องแผ้ว

งั้นไม่ใช่รักษาจิตให้นิ่งให้ว่าง
ให้กระทบอารมณ์ไป จิตกระเทือนขึ้นมารู้ทัน
ทีแรกมันกระเทือนหยาบๆ เห็นเป็นโลภ เป็นโกรธเป็นหลง
เป็นฟุ้งซ่าน เป็นหดหู่ เป็นดีใจเสียใจ เป็นสุขเป็นทุกข์ มันปรุงขึ้นมาเองนะ
พอเราหัดดูมากๆเหลือแต่ความไหว
สิ่งบางสิ่งไหวตัวขึ้นมาแล้วก็ดับไป สิ่งบางสิ่งไหวตัวขึ้นมาแล้วก็ดับไป
มันยังไม่ทันแปลเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นดีเป็นชั่วอะไรทั้งสิ้นเลย
เห็นความไหวแล้วก็ดับ เห็นความไหวแล้วก็ดับ

งั้นเฝ้ารู้ไปเรื่อยนะ จิตไหวแล้วจิตก็ทุกข์นะ ไม่ห้าม ห้ามไม่ได้
ให้เรียนรู้ทุกข์ รู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็พ้นทุกข์เมื่อนั้นแหละ
ยากไปไหม? วันนี้รู้สึกสอนเรื่องเล็กนิดเดียว เรื่อง“ไหว”
เล็กสุดๆจะเล็กแล้วนะ เรื่องความไหวของจิต กุ๊กกิ๊กๆแค่นี้เองนะ
ไม่ใช่ไหวอย่างนี้นะ อย่างนี้กิ๊กก๊อก
มันไหวกุ๊กกิ๊กๆนะ ไม่ได้ไหวอย่างกิ๊กก๊อก

เห็นไหมแค่หลวงพ่อพูดให้ตลกก็ไหวแล้วดูออกไหม
คนไม่มีปัญญาก็ว่ามีความสุข คนมีปัญญาก็เห็นทุกข์เห็นโทษ
ตอนนี้ก็อยากเห็นทุกข์เห็นโทษ นั่งจ้อง
จ้องก็จิตไหวอีกแหละ ไม่ใช่ไม่ไหวนะ เครียดหนักเข้าไปอีก


สวนสันติธรรม
วันศุกร์ ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕

ฟังเนื้อหา (นาทีที่ ๓)