Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๖๕

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor

พวกเรารีบภาวนานะ ดูธาตุดูขันธ์ให้มากๆ ให้ใจมันปล่อย
ถ้าปล่อยแล้วปล่อยเลยไปเลยได้ยิ่งดีนะ
ปล่อยไม่ได้ก็ไปสู้เอานาทีสุดท้ายอีกทีหนึ่ง อยู่ที่จิตดวงเดียว
จิตเป็นคนสร้างโลก จิตนั้นแหละไปสร้างภพขึ้นมา
จิตมีคุณภาพขนาดไหนก็สร้างภพขนาดนั้น เราต้องพัฒนาคุณภาพจิตของเราขึ้นไปเรื่อยๆ

ที่อยู่ของจิต ภูมิของจิต มีอยู่ ๔ ภูมิ
อันแรกเรียก “กามาวจรภูมิ” จิตอย่างพวกเรานี้ จิตอยู่ในกาม
เพลิดเพลินอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส
จิตที่มีคุณภาพสูงขึ้นไปก็ไปอยู่ใน “รูปภูมิ”
ไปเพ่งรูป สงบ จิตใจสงบอยู่กับรูป มีความสุขความสงบ
ประณีตขึ้นไปก็เป็น “อรูปภูมิ” เพ่งอรูป เช่นเพ่งความว่าง

อยู่ในกามาวจรภูมิอย่างพวกเรานี้แหละภาวนาดี
ร่างกายของเราก็ไม่คงทนเท่าไหร่ อย่างไปเป็นเทวดานะ
หรือเป็นพรหม รูปพรหมเนี่ย โอ้ อยู่กันนาน ร่างกายคงทนมากเลย
เทวดาอยู่ในกามาวจรภูมิแบบเรานะ แต่ว่ารูปของเค้าละเอียด ดูรูปยาก ต้องดูจิตเอา
พวกรูปภูมิก็ต้องไปดูจิตเอาถึงจะดี ดูรูปเนี่ยปล่อยยากแล้ว รูปมันเที่ยง มันไม่ค่อยแปรปรวนให้ดู
พวกเทวดา พวกพรหม เค้าจะรู้สึกถึงความแก่ของร่างกายในตอนที่จะตายเท่านั้น
ร่างกายจะแก่ให้ดูตอนนั้น นิดเดียวเอง ส่วนมากดูไม่ทัน ตกกระไดพลอยโจนไม่ทันแล้ว
โจนลงมาข้างล่างเลย ไม่โจนไปนิพพาน

จิตใจอย่างพวกเรานี้นะ ในอัตภาพของมนุษย์ ในภูมิกามาวจรภูมิ ในภพมนุษย์
ภพมนุษย์นี้อยู่ในกามาวจรภูมิ เป็นภพที่เหมาะที่สุดเลยสำหรับการภาวนา
ร่างกายของเราก็ไม่คงทนมาก มีความแปรปรวนให้ดูได้
ความรู้สึกภายในก็แปรปรวนรวดเร็วมาก
อย่างเป็นเทวดา เป็นกามาวจรภูมิจริงนะ แต่ว่าอยู่ในภพของเทวดา
ความสุขมันเยอะ ร่างกายก็ไม่แปรปรวนให้ดู ภาวนาลำบากหน่อย
กรรมฐานที่เหมาะกับเทวดานะ คือการดูจิตดูใจของตัวเอง เป็นกรรมฐานที่ละเอียดเข้าไปอีก
งั้นเวลาพระพุทธเจ้าไปสอนเทวดา ท่านสอนอภิธรรมเลย
สอนเรื่องจิตที่ละเอียด เรื่องเจตสิกอะไรอย่างนี้
เรื่องรูปท่านคงสอนนิดหน่อย รูปของเค้าไม่ได้ประกอบขึ้นมาด้วยวัตถุแบบพวกเรา

ภพมนุษย์นี้เป็นภพที่เหมาะกับการปฏิบัติ
ร่างกายก็แปรปรวนรวดเร็ว จิตใจแปรปรวนรวดเร็ว
อย่างเทวดาเนี่ยมีความสุข ความสุขนาน
พวกพรหมมีความสุขมากๆเลย มีอุเบกขา ตามลำดับไป
มันเหมือนคงที่ ยิ่งพวกพรหมนะ ร่างกายก็เหมือนคงที่ จิตใจก็เหมือนคงที่ ดูไตรลักษณ์ยาก
ของเราร่างกายก็ไม่คงที่ จิตใจก็ไม่คงที่
จริงๆของเค้าก็ไม่คงที่นะ แต่ว่ามันแปรปรวนช้า
กว่าจะได้เห็นเกิดดับสักครั้งหนึ่งเนี่ย นานมากเลย
ร่างกายกว่าจะได้เห็นว่าร่างกายเกิดดับเนี่ย จะตายแล้วถึงจะเห็น

พระพุทธเจ้าเลือกตรัสรู้ในภูมิมนุษย์
ไม่ไปตรัสรู้ในภูมิของเทวดา ของพรหม รูปพรหม อรูปพรหมอะไร
ภูมิมนุษย์นี้เป็นภูมิที่เรียนธรรมะง่าย
แล้วถ้าตรัสรู้ตรงนี้นะพวกเทวดาก็มาเรียนได้ พวกพรหม พวกเทพอะไรมาเรียนได้
ไปตรัสรู้ในเทวโลก พวกเราไม่มีปัญญาไปเรียน

เราต้องภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของเรา
พระพุทธเจ้าบอกการเป็นมนุษย์เป็นของยาก
ยากที่จะเป็นมนุษย์ได้ เป็นมนุษย์เนี่ยถือว่ามีลาภมาก
พวกเทวดาเวลาจะตาย พวกเพื่อนเทวดาก็จะมาอวยพร “ขอให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์นะ”
พวกเราถ้าจะตาย “ขอไปขึ้นสวรรค์”
เทวดานะ “ขอให้ได้เป็นมนุษย์” เพราะจะได้มาพัฒนาคุณงามความดี
เค้าเริ่มเห็นแล้ว ความสุขของเค้าก็ไม่เที่ยงแล้ว
เค้าจะตายแล้ว ของสวยๆงามๆก็เสื่อม
ร่างกายเนี่ยเทวดาเนี่ยไม่มีเหงื่อออกเลยนะ จะมีเหงื่อซึมออกมาตอนจะตาย
เริ่มแสดงปฏิกูลอสุภะให้เห็นได้นิดหน่อยเท่านั้น

พวกเราคือภพที่เทวดาอยากมาเกิด
เทวดาสัมมาทิฏฐินะ เทวดามิจฉาทิฏฐิไม่อยากมา
งั้นต้องภูมิใจ ได้เป็นมนุษย์แล้ว กว่าจะเป็นมนุษย์นี้ยากนะ
สังเกตไหมว่าสัตว์มีเยอะ มนุษย์มีน้อย ไปเกิดเป็นสัตว์นี้ง่ายมากเลย
ดูมดฝูงหนึ่งตั้งเท่าไหร่ล่ะเนาะ พวกเราในศาลานี้ยังไม่เท่ามดรังเดียวเลย
หรือปลวกรังหนึ่ง มันเยอะกว่าเราเยอะ

งั้นโอกาสจะเป็นมนุษย์เนี่ยยาก
ตัวที่ส่งผลให้เราเป็นมนุษย์นั้นคือความมีศีล ศีลเนี่ยเป็นมาตรฐานของมนุษย์
ต้องมีศีล ถ้าเราไม่รักษาศีลให้ดี เราก็จะพลาดจากความเป็นมนุษย์
พลาดลงข้างล่าง ไม่พลาดขึ้นข้างบนหรอก
ถัดจากนั้นเราต้องใช้โอกาสที่เรามี มาพัฒนาจิตใจของเราให้สูงขึ้นไปอีก
การเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก แล้วยากยิ่งขึ้นไปอีกคือการได้ฟังธรรม ยากยิ่งกว่าเป็นมนุษย์อีก
เพราะไม่ใช่มนุษย์ทุกคนได้ฟังธรรม มนุษย์บางคนเท่านั้นได้ฟังธรรม

นานๆพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้สักครั้งหนึ่ง
ถ้าคนไหนภาวนาแล้วระลึกชาติได้ยาวๆ มันจะมีความรู้สึก
ชาติใดที่ไม่พบพระพุทธศาสนา จะรู้สึกวังเวง ใช้คำว่าวังเวง
ไม่ได้ชั่วร้ายเลยนะ ดีแต่มันวังเวงใจนะ มันไม่มีทิศทาง ไม่รู้จะไปอย่างไร
ก็ทำทาน ถือศีล ทำสมาธิไป แต่ว่าไม่รู้จุดหมายปลายทางว่าจะไปอย่างไร จะไปที่ไหนอย่างไร
ชีวิตไม่มีเป้าหมาย เหมือนหลงอยู่ในทะเลกว้างขวาง ไม่เห็นฝั่ง
ไม่มีคลื่นลมรุนแรงอะไร แต่ใจมันเวิ้งว้างวังเวง ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย
ชาติใดที่พบพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ต้องรีบศึกษา
ถ้าไม่รีบศึกษา ไม่นานพระพุทธศาสนาก็จะหายไป
เพราะไม่มีใครรักษาพระพุทธศาสนาให้พวกเราหรอก พวกเราต้องรักษากันเอง

หลวงพ่อไปอินเดียมานะ เห็นเลยศาสนาสถานเนี่ยมหาศาลเลย เยอะแยะมากเลย
สถานที่สำคัญของชาวพุทธ เหลือแต่กองอิฐกองหิน ไม่มีคนรักษา เพราะมันไม่มีชาวพุทธ
งั้นถ้าเราจะรักษาศาสนาพุทธนะ เราต้องเป็นชาวพุทธ
พัฒนาตัวของเราขึ้นมาเป็นชาวพุทธที่แท้จริงให้ได้ ต้องศึกษาธรรมะ

อะไรคือเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
“สัมมาทิฏฐิ” คือเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
ถ้าปราศสัมมาทิฏฐิ คือศาสนาพุทธสูญไปแล้ว
ถึงจะมีคนทำทาน มีคนรักษาศีล มีคนนั่งสมาธิ ก็เป็นคุณงามความดีทั่วๆไป
เนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา คือตัวสัมมาทิฏฐิ เป็นสิ่งที่พวกเราต้องศึกษา
นี่พวกเรามีโอกาสได้ฟังธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ต้องรีบปฏิบัติ

เวลาเราฟังธรรม ธรรมะเข้าไปอยู่สมอง
เข้าหูก็เข้าสมองไป ผ่านสมองนิดหน่อยแล้วออกอีกหูหนึ่ง แป๊บเดียวก็หมดแล้ว
เราต้องเอาธรรมะเข้ามาสู่ใจให้ได้ ไม่มีที่ไหนจะเก็บธรรมะได้เหมือนที่ใจของเรา
ใจที่พัฒนาขึ้นมานะ อบรมมันด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา สะสมไปเรื่อย
ให้บทเรียนกับใจของเราเอง ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา อบรมมันไปเรื่อยนะ


สวนสันติธรรม

วันเสาร์ ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

ฟังเนื้อหา (นาทีที่ ๓:๒๐)