Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๕๕

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor

กิเลสเนี่ยปกครองเราอยู่โดยเราไม่รู้ตัวเลย
เรานึกว่าเราเป็นอิสระ ที่จริงหาอิสระไม่ได้ในโลกนี้เลย
ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยพันธนาการเครื่องผูกมัด
ถ้าใจไม่มีอิสระซะอย่างเดียว ไม่สามารถหาอิสระภาพที่อื่นได้เลย
คนติดคุกนะ ถ้าเค้าภาวนาดีๆ จิตใจก็เป็นอิสระได้
พวกเราอยู่นอกคุก เรามีคุกที่มองไม่เห็นน่ะ มันครอบอยู่ตลอดเวลา คือภพ

จิตของเราวนเวียนอยู่ในภพนั้นเอง เราไม่เคยพบไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักว่าจิตเราติดข้องอยู่ในภพ
เรามีเจ้านายผู้ควบคุมเรา ชื่อว่าตัณหา
ตัณหามันเฝ้าคุกอันนี้อยู่ เราก็อยู่ในคุกนี้นะด้วยความเพลิดเพลินหลงระเริง
คนโง่ก็หลงระเริงอยู่ในภพนี้ ผู้มีสติมีปัญญารู้ตัวว่าทุกวันนี้ยังเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้เลย
ที่ไหนก็ไม่มีที่จะมีความสุขที่จะมีอิสรภาพที่แท้จริง
ตราบใดที่จิตยังถูกตัณหาบีบคั้น จิตยังดิ้นรนอยู่ในภพ
จิตจะหาความเป็นอิสระ จะหาความสุขไม่ได้เลย

งั้นขั้นแรกเลย ต้องรู้ก่อน ว่าจิตมันหลงอยู่ในภพนะ
สังเกตดู ภพคืออะไร? ภพมีสองชนิด
ภพชนิดที่หนึ่ง ชื่ออุปัตติภพ อุปัตติภพหมายถึงภพโดยการเกิด
อย่างพวกเราขณะนี้มีอุปัตติภพเป็นมนุษย์ อุปัตติ อุบัตินั่นเอง เราอุบัติมันเป็นมนุษย์
เพราะว่ากิเลสตัณหาเก่าๆ หรือกุศลเก่าๆนั้น พลักให้มาเป็นมนุษย์นี่แหละ

ภพอีกชนิดหนึ่ง ชื่อกรรมภพ
คือเจตนาที่จะทำกรรม จิตเรามีความจงใจที่จะทำกรรม ทำกรรมชั่วบ้าง ทำกรรมดีบ้าง
เจตนาที่จะพ้นจากการกระทบสัมผัส เข้าไปสู่ความว่างๆบ้าง
เจตนาที่จะทำชั่ว เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร
เจตนาที่จะทำดี ชื่อว่า ปุญญาภิสังขาร
เจตนาที่จะหนีการกระทบสัมผัส เรียกว่า อเนญชาภิสังขาร

ตัวเจตนาจงใจกระทำกรรมเนี่ย เจตนาคือกรรม ตัวกรรมนี่แหละคือตัวภพ
เพราะงั้นในร่างของมนุษย์นี้ จิตเราเดี๋ยวก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน
อย่างเจตนา มันเจตนาเองนะ เราไม่ได้เจตนาจะเป็นเดรัจฉานเลย
แต่จิตเจตนาจะหลง จิตมันจงใจจะหลง มันพอใจที่จะหลง มันเพลิดเพลินไปกับการหลง
เมื่อไหร่จิตเราหลง จิตเรามีโมหะ เมื่อนั้นเรามีกรรมภพเป็นสัตว์เดรัจฉานในร่างมนุษย์
ในอุปัตติภพเป็นมนุษย์ แต่กรรมภพจิตเราขณะนั้นทำกรรมแบบเดรัจฉานคือหลงไป
ถ้าขณะใดจิตของเรามีความโลภ ขณะนั้นเราทำกรรมแบบเปรต ทำไปด้วยโลภะ
ถ้าขณะใดเราเจ้าความคิดเจ้าความเห็น ยึดถือแต่ความคิดความเห็นของตัวเอง
ขณะนั้นเราเป็นสัตว์ชื่อว่าอสุรกาย เจ้าทิฏฐิ เจ้ามานะ
เราเป็นสัตว์ชื่ออสุรกายในร่างของมนุษย์นี้
ขณะใดที่จิตของเรามีโทสะ มีความไม่แช่มชื่นใจ
ขณะนั้นกรรมภพของเรานี้ จิตเวียนอยู่ในกรรมภพของนรก อยู่ในภพของนรก
ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ใจเป็นสัตว์นรก เรียกว่ามนุสสนิรโย
ถ้าเป็นหลง ก็เป็นมนุสสติรัจฉาโน เป็นเดรัจฉาน ตัวเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเดรัจฉาน
ถ้าโลภอยู่ ก็ตัวเป็นมนุษย์ ใจเป็นเปรต เรียกมนุสสเปโต
แต่ถ้าเรามีศีลมีธรรมมีสติอยู่นี่นะ เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
กรรมภพนี้เป็นกรรมภพของมนุษย์ อุปัตติภพก็เป็นมนุษย์
กรรมภพก็เป็นมนุษย์ เรียกว่ามนุษย์มนุษย์ (มนุสสมนุสโส)
บางคนจิตเป็นบุญเป็นกุศลนะ มีความสุขอยู่กับบุญกุศลที่ได้ทำไว้แล้ว ก็เป็นมนุสสเทโว เป็นเทวดา
หรือทำฌานทำอะไรนะ ก็ถือว่าเป็นเทวดาเหมือนกัน ความจริงเป็นพรหม
คำว่าเทวดาเนี่ยถ้าความหมายอย่างกว้าง ครอบคลุมถึงพรหมด้วย เป็นมนุสสเทโว

งั้นจิตเราเนี่ยเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยๆเนี่ยตลอดเวลา
ภพใหญ่ๆนานๆเกิดที ภพใหญ่ของเราเป็นมนุษย์
ภพย่อยภพน้อยๆในจิตในใจของเราเนี่ยเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
จิตเราเวียนจากภพโน้นไปสู่ภพนี้
เวียนจากภพดีไปสู่ภพชั่ว เวียนจากภพชั่วไปสู่ภพที่ดี หมุนไปเรื่อยทั้งวัน
การที่ต้องท่องเที่ยวไปเรื่อย เป็นความทุกข์
เป็นความเหนื่อยยาก ซึ่งผู้มีสติปัญญาเห็นเลยว่าไม่เคยได้หยุดเลย ไม่เคยได้พักเลย
ถูกตัณหาผลักดันให้วิ่งไปสู่ภพโน้นภพนี้อยู่ตลอดเวลา
กระทั่งจะเป็นเทวดานะ ตัณหาก็ผลักดันให้อยากทำดี อยากปฏิบัติธรรม

แต่ภพนั้นมีสองกลุ่ม
ภพอันหนึ่งถ้าเราอยู่แล้วเราเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ
ภพที่เสื่อมทรามลงไปนี้เป็นภพทางอบายนะ ไม่ดี
ยิ่งปฏิบัติไปในทางที่เลวร้าย ทางเสื่อมทราม จิตใจยิ่งตกต่ำ ไม่มีโอกาสดีเลย

อีกทางหนึ่งปฏิบัติแล้วไปสู่สุคติ
คือจิตใจเราเดี๋ยวก็เป็นทุคติ จิตใจเราเดี๋ยวก็เป็นสุคติ เดี๋ยวก็อยู่ในภพที่เป็นทุคติ
เป็นภพที่มีความโลภความโกรธความหลง
เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หมุนเวียนอยู่
บางทีก็เป็นภพที่เป็นสุคติ สุคติภูมิ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม

ภพที่ตกต่ำนั้นทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา ย่ำแย่ไป ไม่ดี
แต่ศีล สมาธิ ปัญญานั้น เกิดขึ้นได้ในภพที่ดี
เพราะงั้นถึงเราจะต้องเวียนว่ายอยู่ในภพนะ ก็ขอให้มาอยู่ในภพที่ดี
เพราะในภพที่ดี ในสุคติเนี่ย เราสามารถพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญาได้
ในทุคติเนี่ย ไม่มีโอกาสพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา

ยกเว้นนะ ยกเว้นอย่างพวกสัตว์เดรัจฉานบางตัวเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อันนี้จิตใจที่คุ้นเคยกับกุศลอย่างมหาศาลเนี่ยจะพลักดันให้สร้างบารมีไปเรื่อย เป็นสัตว์ก็สร้างบารมี
ส่วนสัตว์ทั่วไปไม่สร้างบารมีหรอก กินๆนอนๆ สืบพันธุ์ รังแกตัวอื่นๆ แล้วก็ตายเปล่าๆ
เราถึงจะต้องอยู่ในภพนะ เราอยู่ในภพของมนุษย์ ภพของคนที่มีความรู้สึกตัว
ภพของคนมีศีลมีธรรม ภพของเทวดา ภพที่ฝึกจิตฝึกใจให้สงบเนี่ยภพของพรหม

อยู่ในภพ เวียนอยู่ในภพที่ดีพวกนี้ ไม่ถึงขนาดว่าอยู่ๆจะต้องพ้นจากภพนะ
อาศัยภพที่ดีนั่นแหละ มาพัฒนาศีล สมาธิ ปัญญา
เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราแก่รอบแล้ว จิตจะสลัดตัวออกจากภพ พ้นจากภพได้ สิ้นตัณหา
สิ้นตัณหาได้ก็สิ้นอวิชชา รู้แจ้งเห็นจริงในรูปในนาม ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นอดีตและอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน
รู้รูปนามลงเป็นปัจจุบันนะ รู้อริยสัจ รู้รูปนามในอดีตในอนาคตอะไรอย่างนี้ ก็ล้างความเห็นผิดนานาชนิดไป

งั้นเราพยายามนะ ให้จิตของเราหมุนเวียนอยู่ในภพภูมิที่ดีเนืองๆ
พยายามมีสติไว้ ขาดสติเมื่อไหร่จิตจะตกอบายทันทีเลย
เวลาที่เราขาดสติ ความโลภความโกรธความหลงมันก็เกิดขึ้น
ในทันทีที่เราเกิดสติ ความโลภความโกรธความหลงก็ดับทันที
เพราะงั้นสติเนี่ยเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เป็นของวิเศษ จะต้องพัฒนาขึ้นมาให้ได้
ถึงจะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาในอุปัตติภพที่เป็นมนุษย์

โดยภพของเรา เราเป็นมนุษย์เนี่ยวิเศษมากแล้ว
เป็นภพที่ดี ที่งาม ที่เหมาะสมที่สุดเลยสำหรับการปฏิบัติธรรม
ภพของเทวดา เทวดาเห็นแต่ของสวยงามนะ อายุก็ยืน
ก็รู้สึกว่าชีวิตนี้มันเที่ยง โอกาสที่จะประมาณเนี่ยมีมาก
เทวดาไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ยกเว้นเวลาใกล้จะตาย
ในขณะที่เทวดาใกล้จะตาย รัศมีจะเศร้าหมองลง
แล้วร่างกายจะเริ่มมีปฏิกูลอสุภะเกิดขึ้น มีเหงื่อซึมๆออกมา รัศมีเศร้าหมอง
พวกเทวดาด้วยกันก็จะรู้ว่าองค์นี้ใกล้จะตายแล้ว หมดอายุขัยแล้ว
เทวดาก็จะมาเตือนกัน ว่าเพื่อนเอ๋ย กำลังจะตายแล้ว ขอให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์เถอะ
พวกเราเวลาจะตาย อยากไปเป็นเทวดา
เทวดาจะตายนะ พวกที่มีสติปัญญาเตือนกันบอก ขอให้ได้เป็นมนุษย์นะ
งั้นเราต้องภูมิใจนะ เราเป็นสิ่งที่เทวดาอยากเป็น
ขณะเนี้ยเราเป็นสิ่งที่เทวดาอยากเป็น
พูดอย่างนี้บางคนค่อยตื่นตัวหน่อยนะ รู้สึกเท่ห์

ทำไม เป็นมนุษย์มันดียังไง?
เป็นมนุษย์นี่สุขก็ไม่สุขแท้นะ ทุกข์ก็ไม่ทุกข์แท้
สุขก็แว๊บเดียว ทุกข์ก็แว๊บเดียว
อย่างเทวดานะ สุขก็สุขนาน อยู่กับความสุขนาน ทำให้เผลอเพลิน
ยิ่งเป็นพรหมนะ ยิ่งมีความสุขมีความสงบ ยิ่งนานหนักเข้าไปอีก ก็จะประมาณง่าย
ยกเว้นท่านที่บารมีสูงนะ เทพพรหมที่เป็นพระอริยบุคคลนั้นมีมากกว่ามนุษย์นะ
เพราะแต่เดิมท่านก็เป็นมนุษย์นี่แหละ อย่างพวกเรานี่แหละ ภาวนา
บางคนก็ได้ โสดาฯ สกทาคาฯ อนาคาฯ ไปเกิดในเทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง ท่านเหล่านี้ก็ไปภาวนาต่อ
หรืออย่างพวกเราบางคน ยังไม่ได้ธรรมะแล้วตายซะก่อน
จิตใจมีธรรมะ มันคุ้นเคย พอไปเกิดในเทวโลกก็อยากฟังธรรม
ในเทวโลกมีการแสดงธรรมอยู่เรื่อยๆนะ มีการเทศน์อยู่เรื่อยๆ โดยพระอริยบุคคล หรือพระโพธิสัตว์ใหญ่ๆ ท่านเทศน์ท่านแสดงธรรม
งั้นพวกเทพพรหมที่เป็นสัมมาทิฏฐิเนี่ยจะขยันฟังธรรมขยันปฏิบัติธรรม
แต่น้อยกว่าพวกประมาทนะ พวกประมาทมีมาก ก็เหมือนมนุษย์น่ะสนใจธรรมะมีน้อย ประมาทมีมาก
แต่เทพพรหมนั้นน่ะ การภาวนาเค้าจะลำบากนิดนึง
เป็นมนุษย์เนี่ย ทำกรรมฐานได้ทุกอย่างเลย
เป็นเทพเป็นพรหมนะ จะดูกาย ดูรูป ดูยากนะ มันเที่ยง มันรู้สึกว่าเที่ยง
จริงๆมันไม่เที่ยงหรอกแต่กว่ามันจะแสดงความไม่เที่ยงนะมันนานมาก
เป็นหมื่นกัปก็มีนะ รูปบางรูปอยู่ตั้งแปดหมื่นกัปนะ
จักรวาลเกิดดับตั้งแปดหมื่นครั้งแล้วรูปนี้ถึงเสื่อมโทรมไป
งั้นเทวดา พรหมนี้นะ ถ้าจะภาวนาเอามรรคเอาผลเนี่ย ต้องขยันดูจิต ต้องดูจิตนะ
ที่หลวงพ่อเทศน์เรื่องดูจิตๆเนี่ย เทวดา พรหม ถ้าได้ยินจะชอบมากเลย เพราะเอาไปปฏิบัติได้
จิตของเทวดามีราคะไหม มีโทสะ มีโมหะไหม ก็มีเหมือนกันแต่มันไม่หยาบช้ารุนแรงถึงขั้นทำผิดศีล
เค้าก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของจิต

.งั้นถ้าเทวดาดูจิตดูใจได้ใน เทวดาปฏิบัติธรรมได้
เดี๋ยวมันก็สุขเดี๋ยวมันก็ทุกข์นะ เดี๋ยวมันก็ผิดหวังเดี๋ยวมันก็สมหวัง
ถึงจะไม่รุนแรงนะทุกข์ไม่รุนแรง แต่มันก็ทุกข์
เนี่ยเป็นกรรมฐานที่เทวดาทำได้ พรหมทำได้ ดูจิตดูใจเนี่ย
ดูกายเนี่ยไม่ได้กินหรอกนะ ดูยาก ดูแล้วมันเที่ยง
แต่มนุษย์ได้เปรียบ มนุษย์เนี่ยร่างกายเราก็อยู่ไม่นาน จิตใจเราก็กลับกลอก
พวกพรหมนะ จิตจะค่อนข้างเที่ยง จิตทรงฌานอยู่อย่างงั้นน่ะ ดูจิตยากด้วยซ้ำไป
เทวดายังดูจิตง่าย พรหมดูจิตยากกว่าเทวดาอีก
แต่ถ้าพรหมนั้นเคยชำนาญในการดูจิต ก็สามารถดูจิตต่อได้
อย่างพวกเราเนี่ย ถ้าเกิดว่าไปเกิดในพรหมโลกนะเราจะไปดูจิตต่อเป็น
ในอภิธรรมสอนไว้ถึงขนาดว่า พรหมที่สูงที่สุดนะ ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตน
เป็นพรหมที่เกือบจะไม่มีสัญญาเหลืออยู่ เกือบไม่รู้สึกเลย
จิตสงบแน่วลงไป ในตำราบอกว่าถ้าพรหมนั้นเป็นพระอริยบุคคลที่ชำนาญในการดูจิต
พรหมในเนวสัญญานาสัญญายตน ก็ยังไปดูจิตต่อได้อีก ไปเจริญวิปัสสนาในเนวสัญญา
ซึ่งอัศจรรย์ที่สุดเลยเรื่องนี้

งั้นพวกเราที่หัดดูจิตทุกวันนี้นะ ถ้าเกิดไปต่อในพรหมโลกในเทวโลกเราไปได้นะ ไปไม่ยากแล้ว ก็ไปฝึกต่อเอา แต่ว่าถ้าจบชาตินี้ได้ก็รีบจบเสีย หรืออย่างต่ำเอาให้ได้พระโสดาบัน ล้างความเห็นผิดให้ได้ว่าจริงๆตัวเราไม่มีหรอก

สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๕