Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๕๔

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor สิ่งที่เป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตาถาวร
คำว่าเป็นตัวเป็นตนคือมีตัวจริงถาวร เป็นอมตะ เนี่ยคำว่าตัวตน
แต่อย่างที่เรารู้สึกแว๊บนึงว่ามีเราๆ รู้สึกทีระแว๊บอะไรเนี่ย อันนั้นไม่ใช่เรียกตัวอัตตาหรอก
มันสำคัญมั่นหมายขึ้นมานะ มันไม่ได้มีจริง ตัวอัตตา

เราเป็นมนุษย์เนี่ย ร่างกายเราก็แปรปรวนให้ดู
เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของกายไป
จิตใจเราก็กลับกลอก แปรปรวน
เทวดามีแต่ความสุขนาน พรหมมีแต่ความสงบนาน
ของเราสุขก็แป๊บเดียว สงบก็แป๊บเดียว มีแต่ของเกิดดับ

งั้นภพภูมิของมนุษย์เนี่ยเราต้องภูมิใจนะ
เราอยู่ในภพภูมิที่เทวดาที่ดีน่ะเค้าอยากมาเป็นอย่างพวกเรา ส่วนพวกเราอยากไปเป็นเทวดา
เพราะว่าร่างกายของเราก็ไม่คงทน จิตใจของเราก็กลับกลอก
ฟังแล้วไม่ดี แต่ความจริงดี ไม่ดีสำหรับคนเขลา ดีสำหรับคนที่มีสติมีปัญญา

คอยรู้สึกอยู่ในกายเนืองๆ
จะเห็นว่ากายนี้เต็มไปด้วยของไม่เที่ยง
เต็มไปด้วยความทุกข์บีบคั้น
เต็มไปด้วยวัตถุธาตุ มีธาตุไหลเข้าธาตุไหลออก
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา
มาดูอยู่ในจิตใจ เห็นแต่ความกลับกลอกเปลี่ยนแปลง มีแต่ของไม่เที่ยง
สุขเกิดแล้วก็ดับ ทุกข์เกิดแล้วก็ดับ กุศลเกิดแล้วก็ดับ อกุศลเกิดแล้วก็ดับ
ตัวจิตเองเกิดที่ตาแล้วก็ดับ เกิดที่หูแล้วก็ดับ เกิดที่ใจแล้วก็ดับ

การที่เราคอยรู้อยู่ที่กายที่ใจเนืองๆนะ
คนไหนถนัดที่จะเอากายเป็นฐาน เอากายเป็นฐานไว้
ถ้าดูกายเป็นจะเห็นจิต เพราะจิตเป็นคนดูกาย
คนไหนถนัดดูจิต ดูจิตเป็นฐานไว้ แล้วก็จะเห็นกายด้วย
เพราะจิตนี้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปนะ
เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กายเนี่ยมันกระทบอารมณ์ จิตก็เปลี่ยนได้
เพราะกายกับจิตนั้นเป็นของเนื่องกัน
ถ้าเราถนัดเอากายเป็นฐาน เราก็เอากายเป็นฐาน มีจิตเป็นคนดู
สุดท้ายก็เห็นทั้งกายทั้งจิต

ถนัดดูจิต
ก็ดูความเปลี่ยนแปลงของจิต เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์
ก็จะรู้ทั้งกายทั้งจิต สุดท้ายก็จะแจ้งเลย ทั้งกายทั้งจิตหรือทั้งขันธ์ ๕ นี้
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ เกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งสิ้น
มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของเป็นทุกข์ มีแต่ของเป็นอนัตตา
อนัตตาก็คือว่ามันมีเหตุมันก็เกิด หมดเหตุมันก็ดับ
บังคับมันไม่ได้ ไม่ได้เป็นไปตามใจอยาก

เมื่อเราได้รู้ความจริง ได้เห็นความจริงของกายของใจแจ่มแจ้งอย่างนี้ ก็ล้างความเห็นผิด
เรารู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดแหละดับเป็นธรรมดา
ร่างกายที่หายใจออก เกิดแล้วก็ดับ
ร่างกายที่หายใจเข้า เกิดแล้วก็ดับ
ร่างกายที่ยืนเดินนั่งนอน เกิดแล้วก็ดับ
ร่างกายที่เคลื่อนไหว ร่างกายที่หยุดนิ่ง เกิดแล้วก็ดับไป
ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นในกาย เกิดแล้วก็ดับ
ความสุขความทุกข์ความเฉยๆที่เกิดขึ้นในจิต เกิดแล้วก็ดับ
กุศลอกุศลที่เกิดขึ้นในจิต เกิดแล้วก็ดับ
จิตที่ไปเกิดทางตา จิตที่ไปเกิดทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดแล้วก็ดับ

การที่เห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
อันนี้เป็นภูมิธรรมของพระโสดาบัน
คือท่านรู้ความจริงแล้วว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอัตตาตัวตนถาวร
อย่างคำว่าอัตตาเนี่ยเราจะเข้าในได้ดี ถ้าเรารู้จักศาสนาบางอัน
อย่างของฮินดู ฮินดูเนี่ยถือว่าจิตเที่ยง
จิตเที่ยงพอร่างกายนี้ตายนะ จิตก็เวียนว่ายตายเกิดไป
จนถึงขีดสุดนะ จิตซึ่งเที่ยงเนี่ยก็รวมเข้ากับพรหม ว่าจิตนี้เที่ยง
งั้นชาวพุทธบางคนนะมาสอนว่าจิตเที่ยง ต้องรู้เลยนะว่าเค้าเป็นฮินดู
เค้าไม่ใช่พุทธหรอก ถึงจะห่มผ้าเหลืองอยู่เค้าก็เป็นฮินดูนะ ต้องรู้อย่างนี้นะ

ถ้าเราเข้าใจคำว่าอัตตาของฮินดูแล้ว
เราจะเข้าใจคำว่าอนัตตาที่พระพุทธเจ้าพูดง่าย
อนัตตาคือไม่มีสิ่งที่เที่ยงถาวรแบบนั้น
มีแต่สิ่งซึ่งมีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้
ถ้าเราเห็นอย่างนี้ได้ก็เป็นพระโสดาบัน

แล้วก็ภาวนาต่อไปนะ จนวันหนึ่งเราเห็นทุกข์เห็นโทษของกายของใจ
เห็นธาตุเห็นขันธ์นี้ ธาตุขันธ์นี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ เอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้
มันเป็นทุกข์เพราะเป็นอนิจจัง
เป็นทุกข์เพราะถูกบีบคั้นนี่เป็นทุกขัง
เป็นทุกข์เพราะว่าไม่อยู่ในอำนาจ เอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ เป็นอนัตตา
คือเห็นความไร้สาระแก่นสารของธาตุขันธ์กายใจนี้
ถ้าวันใดปัญญาเห็นความไร้สาระแก่นสารของธาตุขันธ์ ของกายของใจ ของรูปของนาม
มันจะหมดความยึดถือในกายในใจในรูปในนาม ความพ้นทุกข์ก็จะเกิดขึ้นในขณะนั้น

พระอรหันต์นั้นน่ะ จิตท่านหมดความยึดถือในรูปนาม ในกายในใจ
มันพรากออกไปจากกายจากใจ ไม่เข้าไปเกาะเกี่ยวอีก
กายกับใจก็เป็นทุกข์ไปตามธรรมชาติของมัน
แต่ว่าจิตซึ่งมันพ้นไปจากขันธ์แล้ว ไม่ยึดถือขันธ์แล้ว มันไม่พลอยทุกข์ไปด้วยนะ

อยู่วันหนึ่ง อยู่ไปเรื่อย จนวันที่ขันธ์แตกขันธ์ดับ
จิตนี้จะมีสภาพเหมือนไฟที่ดับไป
จิตที่เข้าถึงความบริสุทธิ์เนี่ยจะมีสภาพเหมือนไฟที่ดับไป
ไฟที่ดับนั้นไม่ได้สูญไป แต่ไฟที่ดับนั้นไม่ได้มีอยู่
มันกระจายเต็มโลกธาตุออกไปเลย เต็มพระนิพพาน ...เต็ม

ฝึกนะ ไหนๆก็ได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว
ไหนๆก็ได้ฟังธรรมซึ่งหาฟังได้ยากแล้ว
ก็เหลือแต่ลงมือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติตั้งแต่ตื่นจนหลับนั่นแหละ เรียกว่าสมควรแก่ธรรมนะ
ยกเว้นเวลาที่ทำงานที่ต้องคิด อันนั้นจำเป็นเพื่อการอยู่กับโลก
การอาศัยโลกอยู่นี้ เราอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง
เราก็ต้องรู้ว่าการทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวอะไรนี้เป็นงานชั่วครั้งชั่วคราว เฉพาะในชีวิตนี้
แต่งานปฏิบัติธรรมนี้ เป็นงานประจำจิตใจของเราในสังสารวัฏนี้นะ

ก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยนะ วันหนึ่งเราจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นยังไง
เราจะอัศจรรย์ที่สุด พระพุทธเจ้าไม่ได้สูญ
แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้มีอยู่ในลักษณะที่เรานึกนะ
เหมือนไฟที่ดับ จิตก็เป็นอันเดียวกันหมด กลมกลืนเข้าสู่สภาวะ
ไม่มีตัวมีตนนะ ไม่ใช่เป็นภพๆหนึ่งอีก

สวนสันติธรรม
วันศุกร์ ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕