Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๕๓

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor ความจริงธรรมะนั้นง่าย พูดเรื่องง่ายนะ พูดตรงไปตรงมาเลย
แต่ใจของเรามันไม่คุ้นเคยกับธรรมะมันเลยฟังแล้วรู้สึกยาก
เราคุ้นเคยกับอธรรม คุ้นเคยกับกิเลส
เราไม่คุ้นเคยกับเรื่องการทำทาน รักษาศึล ฝึกสติ ฝึกสมาธิ ฝึกปัญญา ก็เลยรู้สึกยาก

ถ้าฟังหลวงพ่อนะ อดทน ช่วงแรกต้องทน
เพราะเวลาเทศน์หลวงพ่อเทศน์ธรรมะล้วนๆเลย ตรงไปตรงมาที่สุด
แต่หลวงพ่อเห็นว่าฆราวาสก็เรียนได้
ทำไมรู้สึกว่าฆราวาสเรียนได้ เพราะหลวงพ่อเรียนมาตั้งแต่เป็นฆราวาส
เวลาเข้าไปหาครูบาอาจารย์นะ บางทีไม่ต้องถามเลย
เราทำกรรมฐานผิดๆอยู่ ท่านบอกให้เลย
เจออย่างนี้อยู่เรื่อยๆ จนรู้สึกเป็นเรื่องปกติ
เป็นเรื่องความเมตตาของครูบาอาจารย์ ระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์
รัก รักนะ ผูกพันจริงใจต่อกันมากเลย

อย่างบางทีภาวนาผิด ไปเห็นกิเลสผุดขึ้นกลางหน้าอกนะ
อยากจะรู้ว่าต้นตอมันอยู่ที่ไหน จะเข้าไปทำลายต้นตอมันให้ได้
พอมันผุดขึ้นมาที่หน้าอกนะ ก็เอาสติกำหนดลงไป
ดูลงไปมันก็หดตัว หดหนีเข้าไปข้างใน ส่งจิตตามเข้าไป
คิดว่าถึงมันทะลุโลกบาดาลลงนรกอเวจีอะไรก็จะตามมันไป ไม่ยอมถอยแล้ววันนี้
ไล่ๆๆลงไปมันหายแว๊บไป เอ๊ะ
!หายไปแล้ว
มันหายเราก็กลับขึ้นมาใหม่ เดี๋ยวพอมันผุดขึ้นมาดูอีกนะ
ไล่ลงไปอีก จะไปหาต้นตอว่ามาจากไหน
คิดว่าทำลายต้นตอได้จะได้ไม่ต้องมีกิเลสอีกแล้ว

วันหนึ่งไปสัมนาเชียงใหม่ ก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่สิม
ขึ้นไปถึงถ้ำ ท่านเดินออกมาจากหลังถ้ำ พอท่านเห็นนะกวักมือเรียกเลย
“ผู้รู้ ผู้รู้” เรียกเข้าไปใกล้ๆ “ผู้รู้ออกมาข้างนอกนี่ กิเลสไม่ได้อยู่ข้างในนั่นหรอก”
รู้นะว่าเราเข้าไปหากิเลสข้างใน ไม่ได้พูดสักคำเลยนะ
เนี่ยครูบาอาจารย์สอน เราอู้ย ซาบซึ้งบุญคุณท่าน
หลายองค์ที่เจอแบบนี้ แล้วการเรียนกรรมฐานก็เรียนกันตรงไปตรงมา
เหมือนที่หลวงพ่อสอนพวกเราทุกวันนี้แหละ มีอะไรก็พูดกันตรงๆ
ไม่ใช่ไปพุทโธไปเรื่อยๆ หายใจไปเรื่อยๆ แล้วอีกหน่อยก็รู้เองแหละ
อันนั้นรู้ได้เหมือนกันนะแต่อีกหลายภพหลายชาติ

งั้นธรรมะชั้นสูงเนี่ยไม่ใช่ฆราวาสเรียนไม่ได้ แต่ฆราวาสไม่มีโอกาสเรียนต่างหาก
สมัยพุทธกาล อนาถบิณฑิกเศรษฐี ทั้งๆที่เป็นพระโสดาบัน มีศรัทธากับพระพุทธเจ้ามาก
ได้พระโสดาบันแต่แยกรูปแยกนามนั้นไม่ถนัดหรอก ไม่เคยได้ยินคำว่าขันธ์ ๕ ด้วยซ้ำไป
ตอนอนาถบิณฑิกจะตาย ใกล้จะตาย นิมนต์พระสารีบุตรไปเทศน์ให้ฟัง
พระสารีบุตรก็เห็นว่าอนาถบิณฑิกจะตายแล้ว
ก็เทศน์ธรรมะชั้นสูง เรื่องรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ก็คือเรื่องขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เหมือนที่หลวงพ่อสอนพวกเราตอนนี้แหละ สอนเรื่องนี้แหละ

อนาถบิณฑิกฟังนะ ร้องไห้เลย แล้วตัดพ้อต่อว่าพระสารีบุตร
บอกสมัยที่ผมยังแข็งแรงทำไมท่านไม่เทศน์ธรรมะอย่างนี้ให้ผมฟังบ้าง
ถ้าผมได้ยินธรรมะอย่างนี้นะ ก็จะพัฒนาจิตใจสูงกว่านี้อีก
ไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้หรอก ไม่ใช่ว่าต้องอีก ๗ ชาติหรอกนะ คงสั้นกว่านั้น
แต่ว่าเรื่องมันก็ล่วงเลยมาแล้ว ตอนนี้เจ็บหนักใกล้ตาย ผมฟังนะผมปฏิบัติไม่ทันแล้ว
จะให้แยกรูปนามให้ชำนิชำนาญ ดูธาตุดูขันธ์แสดงไตรลักษณ์อะไรอย่างนี้ ทำไม่ทันแล้ว
ขออาราธนาพระสารีบุตร ต่อไปข้างหน้าขอโอกาสเถอะ
ขอพระคุณเจ้านะแสดงธรรมชั้นสูงอย่างนี้ให้ฆราวาสฟังบ้าง
ฆราวาสที่มีธุลีในดวงตาน้อย มีกิเลสเบาบางยังมีอยู่ ถ้าเขาฟังแล้วเขาจะได้ประโยชน์
นี่อนาถบิณฑิกขอพระสารีบุตรมานะ พระสารีบุตรก็รับ
หลวงพ่อก็สืบทอดปณิธานพระสารีบุตรนะ มาเทศน์เรื่องขันธ์ ๕ ให้พวกเราฟัง
ส่วนเราจะเหมือนอนาถบิณฑิกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ตัวใครตัวมันแล้ว
ให้โอกาสแล้วที่จะได้ยินธรรมะซึ่งเค้าไม่ค่อยสอนกันหรอก

ธรรมะใกล้จะสูญอยู่แล้ว ใกล้จะสูญใกล้จะหายอยู่แล้วนะ
ถ้าไม่ช่วยกันประกาศไว้มันก็หายแน่นอน
ศาสนาพุทธเกือบจะหมดไปแล้ว อย่านึกว่าวิเศษวิโสนักเลย อย่านึกว่าจะเข้มแข็งนักเลย
ชาวพุทธจริงๆเหลือนิดเดียวแล้ว ของเมืองไทยใช่ไหม ชาวพุทธแบบเถรวาทเหลืออยู่กี่ประเทศ
มีไทย พม่า มีลังกาอะไรอย่างนี้ นอกนั้นก็กระเส็นกระสายนิดๆหน่อยๆ
อย่างจีน อย่างญวน ธิเบต ก็เป็นมหายานไป ไปอีกแบบหนึ่ง
เค้าพัฒนาเปลือก เปลี่ยนเปลือกไป หวังว่าเปลี่ยนเปลือกแล้วจะรักษาเนื้อเอาไว้ได้
ไปๆมาๆไม่รู้เนื้ออยู่หรือเปล่า อาจจะอยู่ก็ได้นะ เพราะไม่เคยไปเยี่ยมพระธิเบต

ส่วนเรื่องสมาธิเรื่องอะไรนี่เค้าก็ชำนาญ เพราะทางมหายานนี่มุ่งไปที่กรุณา
เถรวาทเรามุ่งมาที่ปัญญา ความรู้แจ้งอริยสัจ จุดมุ่งไม่เหมือนกัน
ธรรมะดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าสอนมุ่งมาให้พวกเราแจ้งอริยสัจ
นี่เหลืออยู่ไม่กี่ประเทศหรอก แล้วล้วนแต่ประเทศเล็กๆทั้งนั้นเลย
ประเทศที่ง่อนแง่นคลอนแคลนทั้งนั้นเลย ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร

ในเมืองไทยว่าชาวพุทธมาก ถามจริงๆเหลือชาวพุทธกี่คน
เปอร์เซนต์หนึ่งถึงหรือเปล่า อย่ามาอวดว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์เลย
สักเปอร์เซนต์หนึ่งจะถึงหรือเปล่า นอกนั้นก็เป็นพุทธแต่ชื่อหรอก
ถามว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
? ตอบไม่ได้หรอก ตอบมาก็ตอบกันคนละทิศละทาง
ถามว่าอะไรคือพระพุทธศาสนา
? ตอบไม่ถูกหรอก
พวกเราตอบได้ไหมอะไรคือพุทธศาสนา
? อะไรเป็นตัวจริงของพุทธศาสนา?
“สัมมาทิฏฐิ” เป็นตัวจริงของพุทธศาสนา
สัมมาทิฏฐิเป็นอย่างไร ที่จะว่ารู้ตัวจริงของพระพุทธศาสนา
สัมมาทิฏฐิก็คือความรู้แจ้งอริยสัจ
รู้ทุกข์ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรค
รู้กิจต่อทุกข์ รู้กิจต่อสมุทัย รู้กิจต่อนิโรธ รู้กิจต่อมรรค
รู้วิธีปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติ
จนกระทั่งรู้แจ้งทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธ เกิดอริยมรรค
สิ่งเหล่านี้นะ จริงๆถ้าไม่สอนนะมันไม่มีทางเข้าใจ ไม่มีทางรู้เลย

งั้นที่หลวงพ่อสอนนะ พวกเราอดทนนิดนึง
แรกๆฟังยากถ้าไม่เคยฟัง แต่ถ้าฟังแล้วนะเข้าใจสิ่งที่หลวงพ่อสอนแล้วนะ
เราไปอ่านพระไตรปิฏกเราจะเข้าใจ
ไปฟังธรรมะของครูบาอาจารย์อื่นนะ ฟังนิดเดียวก็รู้เรื่องแล้วว่าท่านต้องการสื่ออะไร
ธรรมะที่แต่ละท่านสอนๆ อยู่ในจุดไหน อยู่ในระดับไหน มันจะรู้ด้วยตัวเองเลย

งั้นอดทน ฟัง
!
ฟังเที่ยวเดียวไม่รู้เรื่องก็ฟังซีดี
มีซีดีแจกเยอะแยะไป พยายามไปฟังเข้า
ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกอะไรอย่างนี้ ไม่โง่เกินไปหรอกถ้าสนใจ
สติปัญญาระดับพวกเรานี้ถ้าใส่ใจเสียอย่างเดียวนะ อย่างไรก็เรียนได้
เพราะว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ยพอดีๆกับมนุษย์ ไม่ง่ายไป ไม่ยากไป
ไม่ง่ายถึงขนาดว่านอนกระดิกเท้าแล้วบรรลุพระอรหันต์หรอก
แต่ก็ไม่ได้ยากประเภทเดินจงกรมจนกระอักเลือดไปเจ็ดครั้งแล้วบรรลุถึงขนาดนั้นหรอก
ไม่ได้ยากไป ไม่ได้ง่ายไป มันพอดีๆ
ธรรมะที่ท่านกลั่นกรองออกมา แจกแจงออกมาสั่งสอนพวกเรา
เป็นของพอดีที่มนุษย์คนหนึ่งจะขวนขวายได้
แต่นั่งๆนอนๆไม่บรรลุอะไรหรอก ต้องขวนขวายเหมือนกัน
แต่ไม่ใช่ขวนขวายจนเลือดตากระเด็น ไม่ใช่ลำบากยากแค้นขนาดนั้น

อยู่ที่ความใส่ใจของเรานะ ความสำนึกของเราเองแหละ
ว่าเราเกิดมาชาตินี้ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้แล้ว
มีโอกาสได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแท้ๆแล้ว
เราจะปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมหรือเปล่า

หรือเราจะหลงระเริงอยู่กับโลกไม่มีที่สิ้นสุด
เพลิดเพลินอยู่กับโลก แป๊บนึงก็ปีนึง แป๊บนึงก็ปีนึง
ฉลองปีใหม่นะ กลิ่นเหล้ายังไม่จางก็ปีใหม่อีกแล้ว สนุกสนานเฮฮาอยู่อย่างนั้นอยู่เรื่อยๆไป
ชีวิตต้องการแค่นั้นหรือ
? ต้องการแค่นั้นก็ได้ ไม่มีใครบังคับหรอก

แต่ถ้ามีสติ มีปัญญา
เห็นว่าควรจะหาอะไรที่เป็นแก่นสารสาระให้กับชีวิตบ้าง ก็มาศึกษาธรรมะ
ธรรมะที่ต้องศึกษานั้น ธรรมะไม่ใช่เรียนเอาไว้จำ ไม่ใช่เรียนเอาไว้แค่สอบ
แต่เรียนแล้วต้องเอาลงมือปฏิบัติให้ได้จริงๆ
ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมจริงๆ แล้วจะไม่เนิ่นช้าเลยในการพ้นทุกข์
ถ้าเราปฏิบัติธรรมได้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน เราจะพ้นทุกข์ในเวลาที่ไม่ช้าเกินไป
เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เนิ่นช้า
มันอยู่ที่ตัวเราเองนะ ว่าจะช้าหรือไม่ช้า

สวนสันติธรรม
วันอาทิตย์ ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๕