Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๔๙

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
luangpor_pramote

luangpor วันนี้หลวงพ่อจะพูดเรื่องดูจิตให้ฟัง

การดูจิตจริงๆนะ ทำได้สารพัด
ดูจิตเพื่อให้เกิดสติก็ได้
ดูจิตเพื่อให้มีศีลก็ได้
ดูจิตเพื่อให้เกิดสมาธิก็ได้
ดูจิตเพื่อให้เกิดปัญญาก็ได้

ไม่เหมือนกัน การดูจิตแต่ละอย่างๆนั้นดูไม่เหมือนกัน
อย่างพวกเราได้ยินคำว่าดูจิตกันแล้ว ไม่รู้ ฟังเอา ไม่เข้าใจ แต่ละอย่างแตกต่าง


ดูจิตให้มีสตินะ เบื้องต้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งก็ได้
จะพุทโธ จะหายใจ อะไรก็ได้นะ
พุทโธไปแล้ว จิตมันไหลไปเรารู้สึก จิตมันหนีไปเรารู้สึก อย่างนี้ก็ได้
หรือว่าเราดูที่ตัวจิตตรงๆเลยก็ได้
จิตเป็นสุขขึ้นมาคอยรู้ จิตเป็นทุกข์ขึ้นมาคอยรู้
จิตดีขึ้นมาคอยรู้ จิตชั่วขึ้นมาคอยรู้ คอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตเรื่อย
ใช้จิตเป็นฐาน ใช้จิตเป็นวิหารธรรมโดยตรงเลยอันนี้

เราดูความเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่เปลี่ยน
ต่อไปความรู้สึกมันเปลี่ยนนิดเดียวนะ เราไม่ได้เจตนาจะรู้เลย มันรู้ขึ้นเอง
ตรงที่ไม่ได้เจตนาจะรู้แล้วรู้ขึ้นได้เองนี่แหละ เรียกว่ามีสติล่ะ
แต่ถ้าจงใจจะรู้ ไปจ้องอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีอะไรให้ดูเลย จะว่างๆ

งั้นการดูจิตดูใจนั้น อย่าไปจ้องอยู่ที่จิตนะ อย่าไปจ้องอยู่ที่จิต
ให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจ กระทบอารมณ์ไปก่อน
แล้วเกิดความรู้สึกแปลกปลอมขึ้นในใจแล้วค่อยรู้เอา ค่อยรู้สึกเอา อย่าไปรอดู

การดูจิตดูใจไม่เหมือนดูกาย
ดูกายเราดูลงปัจจุบันได้เลย มันมีอยู่แล้ว
มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่แล้ว
ถึงเราจ้องอยู่มันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

การดูจิตเนี่ยอย่าจ้องจิต
ถ้าไปจ้องจิต ไปดักดูจิต ไปรอดูจิต มันจะไม่มีอะไรเลย
ให้แค่ดูจิตเนี่ยเป็นกรรมฐานที่เป็นธรรมชาติธรรมดาที่สุดเลย ในการดำรงชีวิตธรรมดานี้แหละ

ขับรถอยู่คนปาดหน้าปุ๊บ จิตมันโกรธนะ เรารู้ทันจิตที่โกรธ จิตโกรธเกิดขึ้น
แต่ถ้าไปรอดู ขับรถออกไป ...แต่เมืองนี้ไม่ค่อยดี ขับรถไม่ค่อยมีใครปาด ทำกรรมฐานยาก (เสียงหัวเราะ)
อยู่เมืองไทยทำกรรมฐานง่าย มันปาดซ้ายทีปาดขวาทีนะ
ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไร หาดูยาก ที่นี่มันเรียบๆ

หรือเดินผ่านไปนะ เห็นดอกไม้สวย ใจมันชอบรู้ว่าชอบ
ลมหนาวมา หนาวไม่มาก สบายใจรู้ว่าสบายใจ
หนาวจัด ไม่สบายใจรู้ว่าไม่สบายใจ
เนี่ยคอยรู้ทันความรู้สึกของตัวเองเรื่อยๆ

การที่เราคอยรู้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรานะ
จะสุขเกิดขึ้นก็รู้ ทุกข์เกิดขึ้นก็รู้
กุศลเกิดขึ้นก็รู้ โลภโกรธหลงเกิดขึ้นก็รู้
ต่อไปเราจะรู้โดยที่ไม่ต้องเจตนารู้
เกิดอะไรขึ้นนิดเดียว เปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนปั๊บเราจะรู้เอง
เนี่ยฝึกอย่างนี้นะ สติจะเร็วขึ้นเร็วขึ้น

สติเป็นเรื่องสำคัญมาก
ถ้าเราหัดรู้ทันความเปลี่ยนแปลงของจิตเรื่อยๆเนี่ย
ศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุตติ จะเกิดขึ้น


ดูจิตอย่างไรให้เกิดศีล
เวลาคนทำผิดศีลเนี่ยเพราะว่ากิเลสครอบงำจิต
อย่างความโกรธครอบงำจิตนะ
ก็ไปด่าเค้าไปตีเค้า ไปทำลายทรัพย์สินเค้า ทำได้ทุกอย่าง
ความโลภเกิดขึ้นครอบงำจิต ก็ไปขโมยเค้า เป็นชู้เค้าอะไรอย่างนี้
ไปเอาทรัพย์สินเค้า หรือไปฆ่าเค้าเพื่อจะเอาทรัพย์สิน ทำผิดศีล
ที่ทำผิดศีลได้ เพราะว่ากิเลสครอบงำจิตได้

ถ้าเราคอยเท่าทันจิตเรื่อยๆ
อะไรแปลกปลอมเข้าในจิต รู้สึก
อะไรแปลกปลอมเข้าในจิต รู้สึก
พอกิเลสแปลกปลอมเข้ามาสู่จิต เรารู้สึก
ทันทีที่รู้สึกนั้นกิเลสจะกระเด็นออกไปเลยนะ
ไม่ต้องทำอะไรเลย มันจะหนีไปเอง

กิเลสนี้มันร้ายจริงนะ แต่มันขี้อาย
ถ้าเราเห็นมัน รู้ทันมันเท่านั้น มันหนีเลย
แต่มันดื้อนะ ถ้าเราไปต่อต้านมันเมื่อไหร่มันจะซัดเราเละเลย

งั้นเวลาสู้กิเลสนะ อย่าไปต่อต้านมันตรงๆ แค่รู้สึกเท่านั้น
กิเลสเหมือนน้ำนะ ถ้าเราไปกั้นเขื่อน น้ำเกิดพลังต่อต้านรุนแรงเลย
ถ้าปล่อยให้มันไหลไปตามธรรมชาติก็ไม่รุนแรง
กิเลสไหลไปตามธรรมชาติ เราแค่รู้อยู่นะ ไม่ตามมันไป ไม่รุนแรงหรอก
เราคอยรู้ทันนะ ให้กิเลสไหลมาเรารู้ ไหลมาเรารู้
มันก็ไหลผ่านไปเรื่อย อย่างนี้ใจจะเกิดศีลขึ้นโดยอัตโนมัติ


แล้วถ้าจิตของเราไหลออกนอก จิตเราไหลออกไป
อย่างเดี๋ยวก็วิ่งมาดูหลวงพ่อหน่อยหนึ่ง
เดี๋ยวก็วิ่งมาฟัง เดี๋ยวก็วิ่งไปคิด สลับไปสลับมานะ
ถ้าเรารู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา สมาธิจะเกิดขึ้น

งั้นถ้าเราหัดดูจิตนะ ถ้าเราเห็นกิเลสมาแล้วเรารู้ทันนะ เราจะเกิดศีลขึ้น
ถ้าเราเห็นจิตนี้ฟุ้งซ่านออกไป ไหลออกไปทางตา
ไหลไปทางหู ไหลไปทางใจอะไรอย่างนี้ จะได้สมาธิ ได้ความตั้งมั่นขึ้น


ถ้าดูจิตให้เกิดปัญญา เราก็คอยรู้ลงไป
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น กระทั่งตัวจิตเอง เกิดแล้วก็ดับไป
ตัวจิตเองเช่น เดี๋ยวก็เป็นจิตผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นจิตผู้คิด
จิตผู้รู้อยู่ชั่วคราวก็หาย จิตผู้คิดอยู่ชั่วคราวแล้วก็หาย นี่เรียกว่าเจริญปัญญาอยู่
จะเห็นไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยง เห็นการบังคับไม่ได้

หรือความสุขความทุกข์เกิดขึ้นกับจิต เรารู้ทัน
ก็เห็นเลยความสุขความทุกข์อยู่ชั่วคราวแล้วก็หายไป เรียกว่าเดินปัญญาอยู่

หรือเห็นว่ากุศลทั้งหลายนะ
ศรัทธา วิริยะ สติ อะไรอย่างนี้ เกิดขึ้นแล้วก็หายไป
บางวันก็ศรัทธา บางวันก็ไม่ศรัทธา ใช่ไหม
ศรัทธาของปุถุชนเป็นอย่างนั้น
บางวันก็ศรัทธา บางวันก็ไม่ศรัทธา ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เป็นสำคัญ
ถ้าพระพุทธเจ้าสอนอะไรขัดผลประโยชน์เรา เราก็ไม่ศรัทธาอะไรอย่างนี้

วันนี้ศรัทธา วันนี้ไม่ศรัทธา
วันนี้มีความเพียร วันนี้ขี้เกียจ
วันเดียวกันบางทีก็มีหลายอย่างใช่ไหม
ตั้งใจว่าตอนนี้มีศรัทธาแล้วจะมีความเพียร อยากเดินจงกรม
ตั้งใจว่าจะเดินหนึ่งชั่วโมง เดินไปห้านาที วิริยะหายแล้ว นอนดีกว่า
เนี่ยก็ไม่เที่ยงนะ ให้รู้ทันลงไป
รู้ทันลงไป อกุศลก็ไม่เที่ยง โลภ โกรธ หลง มาแล้วก็ดับ
เห็นทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับไป นี่เรียกว่าเราเจริญปัญญาอยู่

งั้นการเจริญปัญญาด้วยการดูจิตดูใจเนี่ย เราดูได้สองอย่าง
อันหนึ่ง ดูความรู้สึกต่างๆที่เกิดร่วมกับจิตใจของเรา
อันหนึ่ง ดูตัวจิตเอง ตัวจิตเองเดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้คิด เกิดดับไปเรื่อย
การที่เห็นว่าทุกอย่างเกิดแล้วดับนั่นแหละ เรียกว่าการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

งั้นดูจิตนะ ดูทีแรกคอยรู้ทันอะไรแปลกปลอมรู้ทันไปเรื่อย จะได้สติ
พอมีสติแล้ว ต่อไปถ้าเห็นกิเลสมานะ รู้ทันนะ กิเลสผ่านไปเลย เราจะมีศีลขึ้นมา
แล้วถ้าเรามีสติรู้ทันจิตที่ไหลไปคิด ไหลไปดู ไหลไปฟัง เราจะได้สมาธิ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา


อย่างหลวงพ่อเนี่ยฝึกมาด้วยการดูจิต
การดูจิตนะมันไม่ใช่ของดีวิเศษที่สุดหรอก
ไม่ใช่
solution สำหรับการปฏิบัติของทุกๆคน
แต่มันกรรมฐานที่เหมาะกับคนรุ่นในเมือง
คือพวกคิดมากน่ะ เป็นกรรมฐานที่เหมาะกับพวกคิดมาก
เวลาเราคิดแต่ละครั้ง ความรู้สึกเราจะเปลี่ยน
กิเลสก็เกิด กุศลก็เกิด สุขก็เกิด ทุกข์ก็เกิด ดีก็เกิด ชั่วก็เกิด
อะไรอย่างนี้ หมุนอยู่ในใจเราทั้งวัน
เราคอยรู้ เราจะเห็นแต่ความเปลี่ยนแปลง

สุดท้ายมันจะเห็นเลยว่าทุกอย่างชั่วคราวนะ
สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว ดีก็ชั่วคราว ชั่วก็ชั่วคราว
จิตที่เป็นผู้รู้ก็ชั่วคราว จิตที่เป็นผู้คิดผู้หลงก็ชั่วคราว
เนี่ยเฝ้าดูไปจนเห็นว่าทุกอย่างชั่วคราว
ถ้าดูไปมากพอนะ ในที่สุดมันจะเกิดมรรคเกิดผลขึ้น

งั้นอยู่ที่เราทำให้พอนะ หัดดู
หัดดู อะไรแปลกปลอมขึ้นในใจคอยรู้ ก็ได้สติ
กิเลสมาเรารู้ทัน เราจะมีศีล
จิตส่งออกไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรารู้ทัน เราจะได้สมาธิ
แล้วเราเห็นความเกิดดับเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเรา
ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งดี ทั้งชั่ว ทั้งตัวจิตที่เป็นผู้รู้ ทั้งจิตที่เป็นผู้คิด เกิดแล้วก็ดับทั้งสิ้น
นี่เราจะได้ปัญญา ถ้าปัญญามากพอจะเกิดมรรคเกิดผลขึ้น
มรรคผลนั้นไม่มีใครสั่งให้เกิดได้นะ


วัดพุทธานุสรณ์
Fremont California, USA
วันอาทิตย์ ที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๕