Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๓๒

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

luangporดินน้ำลมไฟทำลายได้แต่รูปนะ
คำว่ารูป รูปแปลว่าสิ่งที่แตกสลายได้ด้วยความร้อนความเย็นเป็นต้น ด้วยดินน้ำลมไฟ
ตัวนามธรรมไม่แตก ไม่ได้แตกเพราะว่าการทำลายจากภายนอก
เพราะจิตของเรานั้นเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
สิ่งภายนอกมาทำให้แตกสลายไม่ได้ แต่ตัวจิตนั้นแตกสลายเอง
เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับ เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับอยู่ตลอดเวลา

ร่างกายเรายืมโลกมาใช้ ยืมมาจากธาตุ ธาตุดินธาตุน้ำนั่นเอง ยืมของเค้ามาใช้
ถึงเวลาเค้าเอาคืน ถึงจะหวงยังไงก็ต้านทานเค้าไม่อยู่หรอก เค้าจะเอาคืน
ก็อย่าไปกังวลมาก การที่เรามีชีวิตอยู่ในขณะนี้ก็ดีถมไปแล้ว
ชีวิตของพวกเราไม่ขาดทุน ชีวิตของพวกเราได้มาศึกษาธรรมะ
เรามีรูปมีนาม มีกายมีใจ ก็ไม่เอาไปก่อกรรมทำชั่ว
เรามาพัฒนาคุณธรรมในใจของเรา
ร่างกายนี้ไม่นานก็แตกสลายไป คุณธรรมนั้นแหละจะฝังอยู่ในใจเรา

..ฝึก รู้ทันจิตให้ชำนิชำนาญนะ
แล้วก็ดูไป ใครฝึกลมหายใจ ก็หายใจไป
แบบหนึ่งคือหายใจแล้วไม่ได้เข้าไปทางฌาน อันนี้หายใจสำหรับคนที่ไม่เข้าฌาน
หายใจไปแล้วเห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู
เรื่องลมหายใจนี่พลิกแพลงไปได้เยอะแยะ
หายใจอยู่นะพลิกแพลงออกไปเที่ยวนรกเที่ยวสวรรค์ก็ได้ มีดวงสว่างขึ้นมา แล้วตามแสงไป
หายใจไป แล้วเข้าฌานจนถึงอรูปฌานก็ยังได้

ตามตำราก็สอนว่า อานาปานสตินะเข้าไปได้ถึงฌาน ๔ เพราะมันมีรูป ต้องอาศัยรูป
แต่ในความเป็นจริงนะ มันพลิกนิดเดียว
พอเราหายใจไปแล้ว เราเปลี่ยนจากลมหายใจมาเป็นแสงสว่าง
เราก็พลิกเข้าอรูปไปได้เลย ต่อไปอรูปได้
ไปดูองค์ธรรมของฌานนั่นแหละ เห็นปีติเกิดเห็นปีติดับ
เห็นความสุขเกิดเห็นความสุขดับ เห็นอุเบกขา
จิตจดจ่ออยู่ในอุเบกขา ไม่ออกไปรู้รูปเสียงกลิ่นรสอะไรภายนอก ก็เข้าอรูปไป

เพราะงั้นลมหายใจเป็นกรรมฐานที่กว้างนะ
ทำสมาธิออกนอกก็ได้ ทำฌานจนถึงรูปฌาน ๔ ก็ได้
ต่อยอดขึ้นไปอรูปฌานอีก ๔ เป็นฌาน ๘ ก็ได้

ถ้าเราเข้าไปทางนี้ไม่ได้ก็ไม่มีปัญหา
หายใจไปแล้วเห็นว่าร่างกายกำลังหายใจอยู่ ใจเป็นคนดู
ฝึกอย่างนี้ก็ได้ ทำได้หลายแบบ
เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู ดูสบายๆ
ใจเป็นแค่คนดู ไม่ใช่คนเพ่ง ถ้าคนเพ่งใจจะแน่นๆนะ
ทำได้ไหม หายใจไป เห็นร่างกายหายใจไป เราเป็นคนดู
อย่าถลำไปดูนะ ใจเราจะอยู่ห่างๆ
เห็นร่างกายอยู่ส่วนหนึ่งใจแยกออกมา ใจกับกายแยกออกจากกัน
ค่อยๆฝึกนะ ตัวนี้สำคัญ เป็นการฝึกแยกธาตุแยกขันธ์

แยกธาตุแยกขันธ์ได้ถึงจะไปเดินวิปัสสนาได้จริงๆ
เห็นร่างกายมันหายใจอยู่ ใจเราเป็นคนดู
เราจะรู้สึกเลย ตัวที่หายใจอยู่นี้ไม่ใช่ตัวเรา
เหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง เหมือนอะไรตัวหนึ่ง ไม่มีเราหรอก
ค่อยๆรู้สึก ค่อยๆรู้สึกไป เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดู

นี่ฝึกอย่างนี้มากๆนะ ถ้าฝึกมากเข้าต่อไป ขันธ์จะแยกออกมาอีก
นั่งไปนานๆ นั่งหายใจไปนานๆ มันปวดมันเมื่อยขึ้นมา
เราจะเห็นเลย ความปวดความเมื่อยไม่ใช่ร่างกายที่หายใจอยู่
ร่างกายหายใจอยู่ก่อน ความปวดความเมื่อยมันมาทีหลัง คนละตัวกัน
จะเห็นเลยความปวด กับร่างกาย คนละอันกัน จิตก็เป็นคนดู คนละอันกับความปวด

ถ้าหายใจไปเห็นพอมันปวดมากๆเข้า ปวดที่ร่างกายมากเข้าๆนะ
จิตใจกระสับกระส่าย ร่างกายปวดนะแต่ความกระสับกระส่ายมาเกิดขึ้นที่จิต
เพราะฉะนั้นความกระสับกระส่ายที่จิตเนี่ย กับความเจ็บปวดทางร่างกายก็เป็นคนละอันกัน แยกออกจากกัน
นี่หัดแยกไปเรื่อยนะ หัดแยกกัน
จิตก็อยู่ต่างหาก ความกระสับกระส่ายของจิตก็เป็นคนละอันกัน

การที่เราหัดอย่างนี้นะ เป็นทางเดินที่จะไปสู่มรรคผลนิพพาน
ไม่ใช่ทางไปสู่สมถะ ไม่ใช่ทางไปเล่นอะไรข้างนอก
อย่างถ้าหายใจแล้วตามแสงออกไปเที่ยว นี่จิตส่งออกนอกไป
หายใจแล้วจิตสงบลงไป รวมลงไป ได้สมถะ
หายใจไปแล้ว เห็นร่างกายหายใจ ใจเป็นคนดูอยู่
ก็จะมาแยกธาตุแยกขันธ์ เข้ามาเดินวิปัสสนา

จะเห็นร่างกายที่หายใจอยู่ไม่ใช่ตัวเรา
ความสุขความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในกาย ไม่ใช่ตัวเรา
ความสุขความทุกข์ความเฉยๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ใช่ตัวเรา
ความกระวนกระวาย หรือความเบิกบาน
ความปรุงดีปรุงร้าย โลภ โกรธ หลง อะไรต่ออะไร
ก็เป็นอีกขันธ์หนึ่งเรียกว่าสังขารขันธ์ ไม่ใช่ตัวเรา

จิตก็เป็นคนรู้คนดูนะ ทำหน้าที่รู้ไป
รู้บ้าง เผลอบ้าง รู้บ้าง เผลอบ้าง
ไม่ต้องรู้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องรู้ตลอดเวลา
ถึงจำเป็นก็รู้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ภูมิธรรมที่เราจะรู้ได้ตลอด
จิตที่พวกเรามี เป็นจิตที่เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวหลง เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวหลง
ส่วนมาก เดี๋ยวหลงเดี๋ยวรู้ใช่ไหม

..รู้บ่อยๆ รู้บ่อยๆ จะเห็นจิตมีสองแบบ จิตหลง กับจิตรู้
ถ้าสติเราเร็วนะ จิตจะเหลือสองอย่างเอง เหลือจิตหลงกับจิตรู้
แต่ถ้าภาวนาไม่เป็นนะ จะมีแต่จิตเพ่ง  จิตเพ่ง  จิตเพ่งไปเรื่อยๆ
มีแต่จิตเพ่ง  จิตเพ่ง  เหมือนจิตเที่ยง เที่ยงอยู่งั้นแหละ เพ่งอยู่งั้นแหละ งั้นอย่าไปเพ่งจิตไว้
หลงแล้วรู้ หลงแล้วรู้นะ ดีกว่าไปเพ่งจิตให้นิ่ง เพ่งจิตให้นิ่งนะไม่มีไตรลักษณ์ให้ดู
แต่ถ้าเดี๋ยวหลงไปแล้วก็รู้สึก หลงไปแล้วก็รู้สึก
จะเห็นเลยจิตนี้กลับกลอก เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็รู้
จิตนี้ไม่เที่ยง จิตนี้บังคับไม่ได้ ไม่ได้สั่งให้หลงเลย หลงเอง
จงใจสั่งให้รู้ มันก็ไม่ยอมรู้ มันไม่ใช่ตัวเราหรอก นี่เดินปัญญาเค้าเดินกันอย่างนี้นะ
ดูลงในร่างกาย ร่างกายเป็นของถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเรา
ดูลงไปในเวทนา ความรู้สึกสุข ความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกเฉยๆ ฯลฯ

..เราคอยมาฝึกนะ ฝึกไป
ไม่มีอะไรก็นั่งหายใจไป อย่าหยุดหายใจนะ หายใจไปเรื่อย
บ้านน้ำท่วมแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง ก็หายใจไป
ยังดี ยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจอยู่ได้ภาวนา
เดี๋ยวน้ำขึ้นมาทับจมูกแล้วหายใจไม่ได้แล้ว ตอนนี้ยังหายใจได้ รีบภาวนาไปก่อน

สมมุตินั่งอยู่บนหลังคาบ้านนะ น้ำก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ว่ายน้ำก็ไม่เป็น คนจะช่วยก็ไม่มีเพราะเรามันคนโนเนม ไม่มีคนมาช่วย
หายใจไว้ หายใจแล้วก็ดูร่างกาย น้ำมันมาแล้ว หายใจไป
ทรัพย์สมบัติไปก่อนแล้ว ร่างกายกำลังจะตามทรัพย์สมบัติไปแล้ว
นั่งดูไป ไม่ขาดทุนหรอก ไม่ขาดทุน
ดีกว่าพวกตะเกียกตะกายทุรนทุราย น้ำท่วมบ้านก็โอย ร้องห่มร้องไห้นะ
ช่วยไม่ได้ มันท่วมแล้ว ร้องไห้ยังไงก็ท่วม รักษาจิตเอาไว้

ตัวรูปยังไงก็แตกสลาย บ้านมันก็ต้องแตกสลาย ร่างกายนี้ก็ต้องแตกสลาย
ก่อนที่มันจะแตกสลาย เรามีบุญวาสนา เรามาสะสมคุณงามความดีใส่ตัวไป
จะตายขึ้นมาจริงๆนะ สะสมความดีใส่จิตใส่ใจของเราไว้ จนนาทีสุดท้ายของชีวิตเลย
ไม่ไปทุรนทุรายกับใครเขาหรอก หายใจไปนะ น้ำยังไม่ปิดจมูกก็หายใจไว้ก่อน
ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน แยกธาตุแยกขันธ์ไปเรื่อย
ดีไม่ดี ตอนที่น้ำมาถึงจมูกนะ บรรลุพระอรหันต์นะ
เอาแน่ไม่ได้หรอกอย่างนี้ เพราะว่ามันยอมนะ ยอมปล่อย
ถ้ายังไม่ยอมปล่อยไม่ได้กินหรอก ถ้ายอมปล่อยขันธ์ซะได้ถึงจะได้ธรรมะ
แต่ยังมีขันธ์อยู่ก็อย่าไปรีบปล่อยนะ เดี๋ยวได้ยินอย่างนี้นะรีบไปนั่งในตุ่มเนาะ
น้ำไม่ท่วมบ้าน ไปนั่งลงในตุ่มเปิดก๊อก ให้น้ำขึ้นมาแล้วเดี๋ยวคงเป็นพระอรหันต์
เดี๋ยวพอน้ำขึ้นมาถึงตรงนี้ แล้วก็โผล่หัวขึ้นอีกหน่อย ...ไม่ได้กินหรอก ไม่ต้องไปแกล้งทำนะ

คอยรู้สึกตัวไปนะ ดูกายเค้าทำงานไป
เค้ายังหายใจได้ก็ดีแล้ว ยังมีลมหายใจ เราก็รู้ลมหายใจไป
ลมหายใจหมดแล้ว จิตยังไม่ดับทีเดียว ดูจิตใจไป แยกไป ความกังวลใจ แยกออกไป

ถ้าเราแยกธาตุแยกขันธ์ไปเรื่อย น้ำมาแล้ว น้ำกว่าจะถึงจมูกใช้เวลาเท่าไหร่
?
ไม่แน่หรอก เดี๋ยวนี้เมตรหนึ่งนะใช้เวลาแป๊บเดียว งั้นพวกเรานะ เตรียมตัวนะ
พ้นจากเรื่องน้ำท่วมไป สิ่งที่ตามมาก็คือความอดอยาก แล้วก็โรคระบาดนะ ตามมาแน่นอน
เราเตรียมตัวของเราไว้นะ มาแน่นอน

งั้นหายใจได้ ยังหายใจได้อยู่ ภาวนา
อย่าทิ้งเปล่าๆ ตอนนี้แหละเป็นเวลารีบทำแต้ม
เวลาฉุกเฉินถ้ามันมาถึงวันข้างหน้า มาเมื่อไหร่เราไม่รู้ เราพร้อมแล้ว
จะอยู่หรือจะตายไม่สำคัญหรอก
อยู่เราก็อยู่อย่างคนมีสติมีปัญญา อยู่อย่างลูกพระพุทธเจ้า
ตายก็ตายอย่างสง่างามอย่างลูกพระพุทธเจ้านะ

สวนสันติธรรม
วันศุกร์ ที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๔