Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๒๘

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช



ถาม: นักปฏิบัติที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้างคะหลวงพ่อ


นักปฏิบัตินะ จะภาวนาให้ดี ต้องฟอร์มน้อย
ถ้าเราฟอร์มมาก พอคิดถึงการปฏิบัติ เรารวบจิตเข้ามาเลย
จิตจะนิ่ง ผิดความเป็นจริง ภาวนายากแล้ว
ถัดจากนั้นจะนิ่งๆ ทื่อๆ ไปตลอด เป็นของปลอมไปหมดเลย
มีองค์ธรรม ๕ ประการของคนภาวนานะ
ถ้ามีครบ ๕ ประการ จะสำเร็จง่าย...

อันแรกมี ศรัทธา
ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระธรรม ในพระสงฆ์
ไม่ใช่ศรัทธาในพระองค์นั้นองค์นี้นะ
เวลาศรัทธา ต้องศรัทธาพระพุทธเจ้าเป็นหลักไว้
นอกจากมีศรัทธา เชื่อมั่นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะพาให้พ้นทุกข์ได้

สุขภาพต้องดีพอ
ถ้าจะมาเริ่มภาวนาตอนอัลไซเมอร์กินแล้วเนี่ยนะ ไม่ได้ผลแล้ว
สุขภาพต้องพอแข็งแรงพอประมาณ
ไม่ใช่ฟิตเปรี๊ยะ! วิ่ง ๑๐๐ เมตร ใน ๙ วินาที ไม่จำเป็น
ถ้าสุขภาพไม่ดี ภาวนายาก ใจมันกังวล ไม่มีแรง
ยิ่งโรคบางอย่างนั่งแล้วเบลอ
เบลอๆ ทั้งวัน ภาวนาลำบาก
นี่พวกเรารีบภาวนาตั้งแต่ยังแข็งแรงอยู่
แต่ถ้าภาวนาจนชำนาญตั้งแต่แข็งแรงแล้วต่อไปเป็นโรคเบลอๆ ยังภาวนาได้นะ
เป็นโรคอะไรก็ยังภาวนาของเราอยู่ได้ ไม่ลำบาก

นอกจากนี้ก็ต้องซื่อๆ
ต้องซื่อ

แต่ละคนชอบปั้นหน้า ใส่หน้ากาก
หลอกตัวเองก่อน แล้วหลอกคนอื่นทีหลัง
อย่างนี้ภาวนายาก เพราะเรามองไม่เห็นกิเลส
กิเลสซ่อนหมดเลย นึกว่าเราเป็นคนดี
นั้นอย่างเวลาที่หลวงพ่อถาม เวลาส่งการบ้าน
"
เห็นกิเลสอย่างโน้น เห็นกิเลสอย่างนี้"
เออ! อย่างนี้หลวงพ่อว่าอย่างนี้ดีนะ
ถ้าเห็นกิเลสได้ วันหนึ่งก็สู้กิเลสได้
ไม่เห็นก็สู้ไม่ไหวหรอก กิเลสเอาไปกินหมด
ซื่อๆ ภาวนาไม่ดีก็รู้ว่าไม่ดี
จะถามครูบาอาจารย์ก็อย่าใส่หน้ากากมาถาม
บางวันก็มีนะ บางครั้งบางคราว นานๆที
แต่ก่อนเยอะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยกล้าหรอก
พวกที่โนเนมมาจากที่อื่น ไม่มีใครรู้จักนะ
บางทีมาถาม มาหลอกน่ะ หลอกมาถามเล่าให้ดูดี
ฟังแล้วเบื่อ จืด จืดชืด
ถ้าถามซื่อๆนะ "เรามีกิเลสอย่างนี้ เราจะสู้อย่างไง?
จนมุมแล้ว! ไม่รู้จะช่วยตัวเองได้อย่างไง?"
อย่างนี้ครูบาอาจารย์เต็มใจช่วยเลย
กิเลสท่วมหัวเลย บอก"หนูภาวนาดี ไม่เคยมีกิเลสเลย"
แล้วหนูไปภาวนาทำไม!? ไม่มีกิเลสแล้ว หนูไปที่ไหนก็ไปเถอะ
ซื่อๆ นะ ต้องเรียนกันด้วยใจจริงๆ
เรียนด้วยจิตใจที่แสแสร้ง ใส่หน้ากาก ไม่ได้ผลหรอก
ต้องซื่อๆ

ถัดจากนั้นต้องขยัน ปรารภความเพียร
พูดภาษาสมัยใหม่ก็คือ ทำในรูปแบบด้วย
ไม่ทำในรูปแบบเลย จิตใจก็จะย่อหย่อน สมาธิก็จะตก
ถึงจุดหนึ่งภาวนาไม่ได้จริง

ฉะนั้นแบ่งเวลาทำในรูปแบบทุกวัน
๑๐ นาทีก็ยังดีกว่าไม่ทำเลย
เบื้องต้นหลวงพ่อขอแค่ ๑๐ นาที เท่านั้นแหละ
พอ ๑๐ นาที เราทำได้ชำนิชำนาญ
มีความสุขที่ได้ทำ มันเพิ่มเองนะ
เดี๋ยวนี้ใครเคยนั่งภาวนาหรือเดินจงกรม
รวมๆวันหนึ่งได้ชั่วโมงหนึ่งบ้าง ยกมือซิ!
ชักเยอะแล้วนะ ถูกหลอกมาตั้งแต่ ๑๐ นาทีนั่นแหละ
ถ้าหลวงพ่อสตาร์ทที่ ๑ ชั่วโมง พวกเราถอยไปหมดแหละ
พวกเราไม่มีแรง วันๆก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
ยังจะไปเกณฑ์ให้ภาวนาอีก แค่นี้ก็แย่อยู่แล้วอะไรอย่างนี้

แต่พอเราหัดวันละเล็กละน้อยนะ
ชำนิชำนาญขึ้นมา ภาวนาแล้วมีความสุข
ขยันนะ ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ เรื่อยๆ นะ
นอกจากปรารภความเพียร ทำในรูปแบบนะ

เจริญปัญญา นี่ข้อ ๕
ข้อ มีศรัทธา
ข้อ ๒ มีสุขภาพที่พร้อม ไม่ถึงกับขนาดต้องแข็งแรงเต็มที่หรอก
แล้วก็(๓) ซื่อๆ ไม่แสแสร้ง ไม่โอ้อวด
(๔) ขยันภาวนาทำในรูปแบบทุกวัน เด็ดเดี่ยว
จะปวดจะเมื่อยอย่างไง ก็ต้องทำ

หลวงพ่อพุธท่านเคยเล่าว่า มีพระนะ

ท่านตั้งใจเดินจงกรมทุกวัน ท่านเดินๆ ไป
ท่านเดินไม่ไหว เท้าท่านแตกหมดแล้ว
ท่านคลาน คลานจงกรม คลานไป คลานมา
มือก็แตก หัวเข่าก็แตก กระดุกกระดิกไม่ได้เลย
ท่านนั่งขยับไปขยับมา ลงนอนก็นอนพลิกไปพลิกมา
คนก็รู้สึกว่าพระองค์นี้อาการหนักแล้ว นอนกระสับกระส่าย
ความจริงท่านนอกพลิกไปพลิกมานะ
ท่านพยายามรู้สึกตัว เนี่ยเด็ดเดี่ยวจริงๆ
นี่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง ให้เอาเป็นแบบอย่าง
มีความเพียรนะ

ข้อ ๕ ก็คือ ต้องเจริญปัญญา
มีความเพียรแบบวัวแบบควายไม่ได้
ต้องเจริญปัญญา
พอเราพากเพียรไปแล้ว จิตเราสงบ จิตเราตั้งมั่นแล้วนะ
ต้องเจริญปัญญา ด้วยการแยกธาตุแยกขันธ์นะ
เห็นร่างกายเคลื่อนไหว จิตเป็นคนรู้
จิตใจเคลื่อนไหวก็คอยรู้เอา
อะไรเกิดขึ้น สุข ทุกข์ ดี ชั่วเกิดขึ้น คอยรู้เอา
มันรู้ได้ทุกคนแหละ แต่ละเลยที่จะรู้
ไม่ใช่รู้ไม่ได้ ความโกรธเป็นอย่างไง ทุกคนก็รู้
เพียงแต่ตอนโกรธ มัวแต่ดูคนที่ทำให้เราโกรธ
ไม่ดูใจที่กำลังโกรธ แค่นั้นเอง
เวลารักขึ้นมา ทุกคนก็รู้ว่า "ความรัก" เป็นอย่างไง?
"
ความโลภ" เป็นอย่างไง? เราก็รู้
แต่เวลาเรารัก เราโลภขึ้นมา
เรามัวไปคิดถึง "คน" ที่เรารัก เราไม่รู้ว่า "ใจ" กำลังรักอยู่
ถ้ารู้ว่า "จิต" กำลังรักอยู่ อย่างนี้ก็ภาวนาแล้ว
มันต่างนิดเดียวเอง

คนที่ไม่ภาวนาเขาดูออกนอก ไปดูคนอื่น ไปดูสิ่งอื่น
ผู้ภาวนานะ รู้ทันจิต รู้ทันใจของตัวเอง ก็แค่นั้นเอง
ไม่ได้วิเศษวิโสลึกลับซับซ้อนอะไรหรอก ไม่ยาก!
ทุกคนรู้จิตใจตัวเองได้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ ไม่ยอมรู้เท่านั้นเอง
ฉะนั้นดูบ่อยๆนะ นี้เรียกว่าเจริญปัญญา
แยกธาตุ แยกขันธ์ แยกรูป แยกนาม เรื่อยไป
ถึงวันหนึ่งมันก็แจ้งขึ้นมา ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา
ความสุข ความทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา
กุศล อกุศล ไม่ใช่ตัวเรา
จิตที่เป็นผู้รู้ ผู้ดู ก็ไม่ใช่ตัวเรา
นี่! ถ้าทำได้ ๕ อย่างนะ ๕ อย่างนี้ก็ไปรอด.

สวนสันติธรรม
วันเสาร์ ที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๔