Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๒๓

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช

luangporธรรมะจริงๆไม่ยากอะไร
ถ้าเราจับหลักให้แม่นนะการภาวนาไม่เหลือวิสัยที่มนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งจะทำได้
แต่ต้องอดทน เก่งฉาบฉวยวูบๆวาบๆไม่ได้กินหรอก
จับหลักให้แม่นแล้วต้องทนมากๆ ภาวนาซ้ำแล้วซ้ำอีก
ต้องนึกถึงเวลาที่พวกเราสะสมกิเลส สะสมความเห็นผิด
เราสะสมข้ามภพข้ามชาติ สะสมมาตลอดเวลา
ลองมาหัดภาวนาก็จะเห็น วันๆนะจิตมีสติไม่กี่ทีหรอก จิตหลงนะเยอะมากเลย
หลงคิด หลงนึก หลงปรุง หลงแต่ง อุตลุตตลอดวันตลอดคืน
เราคุ้นเคยที่จะสร้างอกุศล จิตคุ้นเคยที่จะปรุงอกุศลอยู่ตลอดเวลา ไม่คุ้นเคยกับกุศลเท่าไหร่
หัดภาวนา หัดใหม่ๆนะนานๆสติจะเกิดสักแว๊บนึง
รู้สึกขึ้นมาแล้วอยู่สั้นนิดเดียว เหมือนฟ้าแลบเท่านั้น แว๊บเดียวอ้าวหายไปแล้ว
เวลาอกุศลเกิดล่ะเกิดยาว เกิดนาน เกิดแทบทั้งวันเลย แทบไม่เหลือพื้นที่ให้กุศลเกิด
เวลาคิดก็คิดเรื่องไม่ดี คิดเรื่องดีๆไม่ค่อยคิดเท่าไหร่
หรือคิดไปอดีต คิดไปอนาคต ไม่ค่อยอยู่กับปัจจุบัน

เนี่ยจริงๆแล้วใจเราไม่คุ้นเคยกับการปฏิบัติธรรมจริงหรอก
ใจเราคุ้นเคยกับอธรรม หลง
หลงไปแล้วก็ไปปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง
ปรุงดีก็ยังดีนะ เวียนว่ายตายเกิดเรื่อยๆไปในภพภูมิที่ดี
แต่ถ้าภาวนาเป็นเนี่ยรู้เลย เกิดทีไรก็เป็นทุกข์ทุกทีแหละ
ไม่ว่าจะเป็นภพดีภพวิเศษแค่ไหน ทุกคราวที่เกิดก็ทุกข์
ความเกิดคือการที่จิตมันเข้าไปหยิบฉวยเอารูปนามขึ้นมา หยิบฉวยอายตนะขึ้นมา

พวกเราเห็นความเกิดบ้างหรือยัง เห็นไหมจิตเข้าไปหยิบ จิตไปหยิบอารมณ์ขึ้นมาได้
ตื่นนอนขึ้นมา สิ่งแรกเลยที่จิตเข้าไปหยิบฉวยขึ้นมานะก็คือตัวจิตเอง
ถ้าเราชำนาญพอนะ ตอนตื่นนอนเราคอยสังเกตนะ
ทันทีที่เราคิดเรื่องการปฏิบัติ สิ่งแรกที่เราหยิบฉวยขึ้นมา หยิบฉวยเอาจิตขึ้นมาก่อน นี่สเต็ปที่หนึ่ง
พอหยิบฉวยจิตขึ้นมาได้แล้ว ต่อไปก็จะไปหยิบฉวยเอาอารมณ์ขึ้นมา
บางทีจิตก็เข้าไปรวมกับอารมณ์ พวกเราเห็นไหม บางทีจิตแยกออกจากอารมณ์
ใครเคยเห็นจิตรวมกับอารมณ์แล้วแยกออกจากอารมณ์บ้าง มีไหม
?
ใครเคยเห็นการหยิบฉวยจิตขึ้นมาบ้างไหม มีไหม
?
มีเยอะเหมือนกันนะ เยอะกว่าที่หลวงพ่อคิดนะ
ยากนะ ยาก การที่เห็นการหยิบฉวยจิตขึ้นมานะ ยาก
เคยเห็นจิตปล่อยวางอารมณ์ไหม จิตวาง หลุดออกไป แยกออกไป
ใครเคยเห็นจิตวางจิตบ้าง มีไหม
? มีแต่มีน้อยแล้วอันนี้
จิตวางจิตนะดูยาก ส่วนใหญ่แล้วจิตวางอารมณ์
เราภาวนาแล้วจิตกับอารมณ์ไปรวมกันนะ จิตวางอารมณ์แล้วแยกมา ไม่ได้เจตนาแยก
ส่วนจิตวางจิตนี้ดูยาก ต้องฝึกกันนาน

วางแล้วก็หยิบฉวยขึ้นมาอีก วางแล้วไม่วางเลย วางแล้วแป๊บๆเดี๋ยวหยิบขึ้นมาอีกแล้ว กลัวโง่ กลัวว่าไม่รู้พอ ไม่มีความรู้พอ ก็ไปหยิบฉวยเอาขึ้นมาอีก

งั้นภาวนาจะให้ถึงขึ้นจิตปล่อยวางจิตนี้ยากที่สุดเลย
สุดๆของการภาวนาก็อยู่ตรงที่จิตปล่อยวางจิตนั้นแหละ
จิตปล่อยวางอารมณ์ไม่ยากอะไร พวกเราฝึกกันไม่กี่เดือน เดือนสองเดือนบางคนก็เห็นแล้ว
บางทีจิตเข้าไปจับอารมณ์บางทีจิตก็วางอารมณ์
จิตเข้าไปจับอารมณ์หรือจิตวางอารมณ์สั่งได้ไหม สั่งไม่ได้ สั่งไม่ได้
จิตวางจิตก็สั่งไม่ได้ จิตวางจิตแล้วจิตจะหยิบจิตขึ้นมาอีกก็สั่งไม่ได้นะ ห้ามไม่ได้อีก
มีแต่ห้ามไม่ได้ทั้งหมดเลย ภาวนาแทบตายทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
มันเป็นกระบวนการที่จิตเรียนรู้ความจริง พอจิตเรียนรู้ความจริงแล้วมันค่อยวางของมันเอง
อย่างมาเรียนรู้ความจริงนะว่าอารมณ์ทั้งหลายเนี่ย ถ้าจิตเข้าไปอยากจิตเข้าไปยึดจิตก็ทุกข์
จิตไม่อยากจิตไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์ ค่อยๆวางอารมณ์ไป

แต่ถ้าความรู้ไม่พอนะ เห็นว่าจิตเข้าไปอยากไปยึดแล้วทุกข์ จิตไม่อยากไม่ยึดไม่ทุกข์
ถ้าสติ สมาธิ ปัญญา ยังไม่พอ มันจะเกิดความจงใจที่จะแยก
จงใจที่จะประคอง ดันอารมณ์ออกไปบ้าง ดึงจิตออกมาจากอารมณ์บ้าง
บางทีดันอารมณ์ออกจากจิตบ้าง ดึงจิตออกจากอารมณ์บ้าง ทำได้ทั้งสองข้างเลย
ดันมันออกไปก็ได้ ดึงอันนี้เข้ามาก็ได้ ใครเคยทำบ้าง
? ดันๆ ดึงๆ

ตรงที่จะจิตวางจิตนี่นะ ยาก ยากที่สุดเลย
ต้องจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จิตถึงจะปล่อยวางจิต
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เห็นอะไร เห็นทุกข์นั่นแหละ ไม่เห็นทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม

อะไรเป็นทุกข์ที่สุดในโลก
?
บางคนบอกอกหักเป็นทุกข์ที่สุดในโลก เป็นมะเร็งเป็นทุกข์ที่สุดในโลก
ไม่ใช่หรอก สิ่งที่ทุกข์ที่สุดในโลกคือจิตนั่นแหละ แต่ตัวนี้พวกเรายังไม่เห็น
ต้องภาวนา วันหนึ่งเห็นนะ ใจกลางของความทุกข์
แก่นแกนของความทุกข์เลย ตัวจิตนั่นแหละ
ถ้าภาวนาจนเห็นถึงตัวนี้ก็วางจิต วางจิต ไม่เจตนาวาง ถ้าเจตนาวางก็ผิดนะ จะหลงไปอรูปพรหมเลย
งั้นนิพพานกับอรูปพรหมนะคล้ายกันมาก ดูเผินๆนะถ้าไม่ดูเจาะลึกดูไม่ออก คล้ายกัน
คล้ายๆไม่จับอะไรสักอย่าง แต่นิพพานนะไม่จับอะไรเลย
อรูปนั้นจับความไม่มีอะไร จับอยู่ไม่ใช่ไม่จับ
นี้จะวางจิตได้ก็ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษแท้ๆ
ถ้าไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ อยู่ๆก็ไปจงใจวางก็จะไปอรูป เข้าอรูปพรหม

งั้นเราก็เรียนไปตามลำดับนะ เรียนให้เห็นทุกข์เห็นโทษ
ทีแรกก็เรียนให้เห็นทุกข์เห็นโทษของขันธ์ทั้งหลาย
ใจค่อยคลายออกจากขันธ์นะ เด่นดวงขึ้นมา เป็นภูมิของพระอนาคา ใจไม่ไหลไปทางตาหูจมูกลิ้นกาย เด่นดวง
ต่อมาเห็นทุกข์เห็นโทษของตัวจิต ปล่อยวางจิต
ปล่อยจิตตัวเดียว ปล่อยขันธ์ทั้งหมด
ยึดจิตตัวเดียว ยึดขันธ์ทั้งหมด
มีจิตตัวเดียวนะ มีขันธ์ทั้งหมดเลย
ใครเคยเห็นเค้าทอดแหไหม เค้าจับตรงกลางนึกออกไหม
จับอยู่ที่เดียวนะ เอาแหไว้ได้ทั้งอันเลย
ใครเคยเห็นเค้าขายลูกโป่งสวรรค์ ยังมีไหม ยุคนี้ยังมีไหม
สังเกตไหมคนขายถือเชือกไว้ที่เดียวนะ คุมลูกโป่งได้หมดเลย

เราจับจิตไว้อันเดียวนะ รวบขันธ์ไว้ทั้งหมดเลย
มีจิตดวงเดียวนั่นแหละ มีขันธ์ได้ทั้งหมดเลย
ขันธ์ทั้งหลายงอกออกไปจากจิต เป้นกิริยาอาการของจิตที่ปรุงออกไปเท่านั้นเอง
วางจิตก็วางขันธ์ ยึดจิตก็ยึดขันธ์ ยึดเอาไว้หมดเลย
จิตเหมือนเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้
อย่างเหมือนเมล็ดมะม่วง ในเมล็ดมะม่วงนะก็งอกออกมาเป็นต้นมะม่วงได้ทั้งต้นเลย
มีกิ่ง มีใบ มีราก มีลูกออกมาอีกได้ตั้งเยอะแยะเลย
งั้นยึดจิตไว้อันเดียวนะ ก็ไปงอกขันธ์ขึ้นมาใหม่ได้เต็มๆ ได้ทุกข์ขันธ์เลย

งั้นถ้ายังปล่อยวางจิตไม่ได้ ไม่มีปัญญาเห็นแจ้งว่าตัวจิตเป็นตัวทุกข์
เรียกว่ายังล้างอวิชชาไม่ได้ ยังไม่เห็นความจริงว่าจิตเป็นตัวทุกข์ งั้นตัวอวิชชาหัวโจกเลย
มันก็เหมือนมีเมล็ดพันธุ์ของความเกิดอยู่ในจิตใจอยู่ มีเชื้อพันธุ์ของความเกิด
ทำลายอวิชชาคือความเห็นผิด ไม่เห็นว่าตัวจิตนี้เป็นตัวทุกข์ เห็นว่ามันเป็นของดีของวิเศษ
นี่เป็นเชื้อพันธุ์ จิตที่ยังยึดถือจิตยังหวงแหนจิตอยู่

ถ้าทำลายความเห็นผิดนะว่าจิตเป็นของดีของวิเศษได้ เห็นแต่ทุกข์ล้วนๆเลย
นี่ปัญญาเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง
เห็นเป็นทุกข์นั่นแหละไม่ได้เห็นเป็นอะไร
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง หลวงปู่ดูลย์ว่าเป็นมรรค
ที่เห็นจิตแจ่มแจ้ง เห็นทุกข์ ตัวทุกข์ล้วนๆไม่ใช่ของดีของวิเศษเลย

งั้นล้างความเห็นผิดนะ ล้างอวิชชา ทำลายเชื้อพันธุ์ ทำลายเชื้อเกิดในจิตออกไป
เหลือจิตอยู่แต่ไม่มีเชื้อเกิดที่ซ่อนอยู่ในจิต
คล้ายๆเป็นเมล็ดของต้นไม้ที่ไม่งอกแล้ว เชื้อพันธุ์ในเมล็ดตายไปแล้ว
งั้นเราทำลายนะ เราทำลายลงไปถึงเชื้อพันธุ์ของความเกิด
ถ้าเชื้อพันธุ์ของความเกิดคืออวิชชายังอยู่ ยึด จะไปยึดจิตเอาไว้
ไปยึดจิตอันเดียวก็จะไปงอกเอาขันธ์
หนีไม่พ้นนะ เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อย
เหมือนมีเมล็ดมะม่วงนะเอาไปเพาะ ได้ต้นมะม่วงมา
เมล็ดมะม่วงเก่าหายไป ก็เกิดลูกมะม่วงใหม่ขึ้นมา
มีเมล็ดใหม่ขึ้นมาอีก งอกขึ้นไปอีก ก็เวียนไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบ

ต้องทำลายเชื้อพันธุ์มันในเมล็ดของจิต เมล็ดของผลไม้นั้นก็คือจิตนั่นเอง
เชื้อเกิดของมันคือตัวอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้แจ้งอริยสัจ ไม่รู้ทุกข์นั่นแหละ
ถ้ารู้ทุกข์เมื่อไหร่ก็ละสมุทัยเมื่อนั้น
ละสมุทัยเมื่อไหร่ก็แจ้งนิโรธเมื่อนั้น
แจ้งนิโรธเมื่อไหร่อริยมรรคก็เกิดเมื่อนั้น งั้นหัวโจกเลยก็รู้ทุกข์นั่นแหละ
ถ้ารู้ทุกข์ได้นะก็ละสมุทัยแจ้งนิโรธเกิดอริยมรรคในขณะนั้นเลย

งั้นเรามาหัดรู้ทุกข์นะ ทุกข์อยู่ในขันธ์นะ
ทีแรกเรียนทุกข์ในขันธ์ก่อน อย่าเพิ่งเอาทุกข์ในจิตนะ ยังไม่ถึงหรอก
ยังไม่เห็นหรอกจิตเป็นทุกข์ ยังเห็นไม่ได้หรอก เห็นแต่ขันธ์เป็นทุกข์
ค่อยเรียนนะ เรียนไปเรื่อย พอเห็นขันธ์เป็นทุกข์นะจิตก็ปล่อยขันธ์ไป

สวนสันติธรรม
วันศุกร์ ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔