Print

ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๑๑๖

luangporพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช




ถาม
: เจริญสติแล้วรู้สึกว่าจิตใจของผมปรากฏเป็นความสว่าง ผ่องใส มีความสุขอยู่อย่างนั้นได้ตลอดทั้งวัน ทำได้ขนาดนี้เรียกว่าภาวนาดีแล้วใช่ไหมครับ

ภาวนาให้ใจเราเข้าเป็นอันเดียวกับธรรมะให้ได้นะ
ใจของเราตอนนี้ไม่เป็นอันเดียวกับธรรมะหรอก
ใจของเราเป็นอันเดียวกับอธรรม
ลองดูที่ใจเราสิ เผลอเมื่อไหร่ กิเลสเอาไปกินทุกทีเลย
พื้นเดิมของมันน่ะชั่วนะ พื้นเดิมของใจของเราเอง ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไรหรอก
งั้นใจของเราโดยธรรมชาตินะ มันใส มันสว่าง แต่ไม่บริสุทธิ์ มันโง่
มันถูกกิเลสย้อมโดยมันไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาแต่ไหนแต่ไร
ตกเป็นทาสของกิเลส ตกเป็นทาสของตัณหามาแต่ไหนแต่ไร มันไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นหรอก
ก็คิดแต่ว่า กูดี กูดี กูดี คนอื่นหรอกที่เลว กูเท่านั้นดี
ใจมันไม่เข้าใจความจริง ไม่เห็น
ถูกกิเลสหลอก ถูกกิเลสบังนะ

ก็ต้องมาฝึกฝนตัวเอง ค่อยๆชำระล้างกิเลสออกจากใจให้ได้
บางคนเรียนธรรมะมักง่ายไปนะ ไปได้ยินว่า จิตมันเป็นประภัสสร มันผ่องใส
เหมือนน้ำที่ใส น้ำที่ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสนะ
แต่ว่าพอมีกิเลสจรมาก็กลายเป็นน้ำขุ่นไป เป็นน้ำเน่า น้ำเหม็นไป
งั้น จิตเดิมดีอยู่แล้ว นี่คิดมักง่ายนะ คิดมักง่าย
น้ำที่ใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส อาจจะมีเชื้อโรคก็ได้ แต่มองไม่เห็น
จิตนี้ก็เหมือนกัน จิตนี้โดยตัวของมัน โดยพื้นเดิมของมันนะ ผ่องใส สว่าง แต่สกปรก มีเชื้อโรค
ยังมีกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน แทรกอยู่ข้างใน
มันละเอียดจนเรามองไม่เห็น เราก็เลยว่ามันสว่างดี

พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนไว้ จิตนั้นเดิมมันประภัสสร มันผ่องใส มันสว่าง
แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมาเป็นคราวๆ อันนี้หมายถึงอาการที่น้ำ มันเน่าให้ดูแล้ว
ตอนที่น้ำมันยังไม่เน่าให้ดูนะ เหมือนจิตโดยทั่วๆไป
จิตพื้นๆเนี่ยมันสว่าง มันใส แต่สกปรกนะ มีกิเลสซ่อน เหมือนมีเชื้อโรคซ่อนอยู่น้ำที่ใส
ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่มันมีเชื้อโรค

จิตที่สว่าง จิตที่แจ่มใสเนี่ย เลยเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยไม่ได้ ยังเป็นจิตที่อมโรคอยู่นะ
เราต้องมาชำระล้างจิตนี่ให้หมดจดจากกิเลสจริงๆ จึงจะถึงความบริสุทธิ์
คำว่าประภัสสร ผ่องใส กับคำว่าบริสุทธิ์เนี่ย ไม่เหมือนกัน คนละเรื่องกัน

จิตของเราไม่บริสุทธิ์หรอก แต่จิตเดิมของเราแต่ละคนประภัสสร
พอกิเลสหยาบๆมา จิตก็ขุ่นก็มัว ไม่แจ่มใส
ทำไมจิตยังขุ่นยังมัวไม่แจ่มใสได้ มันมีเชื้อโรคอยู่แล้ว
พอได้อาหารเข้าไป เชื้อโรคมากขึ้นๆ น้ำเน่าให้ดูได้
ถ้ามันไม่มีสิ่งสกปรกซ่อนเร้นอยู่เลยนะ มันก็ไม่เน่าขึ้นมาหรอก ไม่มีโอกาสเน่าขึ้นมาได้

งั้นเราต้องมาชำระล้างใจของเราให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ให้ได้
เครื่องมือในการที่จะชำระล้างใจของเราให้ถึงความบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านสอนแล้ว
ก่อนที่ใจจะบริสุทธิ์เนี่ย กายวาจาต้องดีก่อน
กายวาจาดีด้วยการรักษาศีลนะ

เนื่ยหลังๆสังเกตไหมหลวงพ่อพูดเรื่องศีลเยอะขึ้น ครูบาอาจารย์ท่านฝากมานะ
ไปเยี่ยมท่าน ท่านบอกว่าคนเดี๋ยวนี้ไม่มีศีล ไม่มีธรรม
ขาดศีล ขาดธรรม ช่วยย้ำตัวนี้ให้มากขึ้นหน่อยหนึ่ง
คนไม่มีศีล ไม่มีธรรม มันเบียดเบียนทำร้ายซึ่งกันและกันตลอดเวลา เห็นแก่ตัว ทำร้ายกัน
ไม่รู้หรอกว่า ถ้าเราทุศีลเนี่ย เราทำร้ายตัวเองก่อน ทำร้ายผู้อื่นทีหลัง
ทำร้ายตัวเองก่อนนะ ใจเราเศร้าหมองนะ ใจเรามีกิเลส ผิดศีลผิดธรรมขึ้นมา
งั้นเราต้องคอยชำระจิตใจของเรา

เบื้องต้นนะ ศีลเบื้องต้น ต้องจงใจรักษาไว้ก่อน เบื้องต้นต้องใจก่อน
สมาธิก็เหมือนกัน เบื้องต้นต้องจงใจปฏิบัติก่อน
ปัญญาก็เหมือนกัน เบื้องต้นต้องจงใจพิจารณา
แต่พอมันเป็นศีลแท้ สมาธิแท้ ปัญญาแท้เนี่ย ไม่เจือด้วยความจงใจ

ยกตัวอย่าง ไล่เป็นลำดับไป อย่างศีลเนี่ย
ศีลนะ เบื้องต้นเราต้องจงใจรักษาไว้ก่อน
ตั้งใจนะ ไม่ต้องมาขอกับพระ เสียเวลา เสียเวลาด้วยกันทั้งสองฝ่ายนะ
ตั้งใจเอาเองว่าตื่นนอนขึ้นมาเราจะไม่ทำผิดศีล ๕ นะวันนี้
ตอนกลางวันก่อนจะกินข้าว ก็ตั้งใจว่า จะไม่ทำผิดศีล ๕
ตอนเย็น ตอนค่ำ จะนอนนะ ตั้งใจอีกว่าจะไม่ทำผิดศีล ๕
ตั้งใจของเราอย่างนี้เรื่อยๆ คล้ายๆโปรแกรมตัวเองไว้
บอกตัวเองเตือนตัวเองทุกวันๆว่าจะไม่ทำผิดศีล ๕
เตือนบ่อยๆวันละหลายๆรอบ ใจมันจะได้คุ้นเคย
เวลาจะทำผิดศีล ๕ นะ ใจมันจะได้เตือนนะ ตั้งใจแล้วนะว่าจะไม่ทำผิด

ศีล ๕ ที่ตั้งใจรักษานะก็ดีเหมือนกัน แต่ยังไม่ดีมาก รักษายาก มันรักษาที่กาย รักษาที่วาจา
ถ้าเราจะรักษาศีลให้ดี เราต้องรักษาที่ใจ
ถ้ารักษาใจได้นะ ศึลมีเอง ศีลอัตโนมัติจะเกิดขึ้น
มีสตินั่นแหละเป็นเครื่องรักษาจิต
ไม่ใช่สิ่งอื่นเป็นเครื่องรักษาจิต

ในตำราเค้าก็สอน สติทำหน้าที่อะไร
สติทำหน้าที่อารักขา ทำหน้าที่คุ้มครองรักษาจิต
เรามีหน้าที่ฝึกสติ สติเป็นตัวระลึกรู้
อะไรเกิดขึ้นในกายคอยรู้ อะไรเกิดขึ้นในใจคอยรู้นะ
ถ้าอยากรักษาศีลให้ดีเนี่ย อะไรเกิดขึ้นในใจคอยรู้
พวกเราเห็นไหม อะไรเกิดขึ้นในใจได้บ้าง
มีความสุขความทุกข์เกิดขึ้นในใจรู้สึกไหม
มีกุศล มีอกุศลเกิดขึ้นในใจ
อกุศลอยู่ๆเกิดขึ้นลอยๆไหม
? ไม่เกิดหรอกนะ
มันจะแฝงมากับเวทนา แฝงกับความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์นะ
ไม่เกิดเดี่ยวๆหรอก เกิดด้วยกัน

อย่างทุกขเวทนาทางใจ
ถ้าชื่อเฉพาะ ศัพท์เฉพาะแท้ๆทางวิชาการจะไม่เรียกว่าทุกขเวทนาทางใจ
จะเรียกว่าโทมนัสเวทนา โทมนัสเวทนาหมายถึงทุกข์ทางใจ
ถ้าทุกขเวทนาหมายถึงทุกข์ทางกาย แต่เราเรียกรวมๆว่าทุกขเวทนา
เวลาที่โทมนัสเวทนาเกิดเนี่ยโทสะแทรกเสมอเลย โทสะมันจะแทรก

เวลาโสมนัสเกิดขึ้นนะ
กุศลเกิดขึ้นด้วยก็ได้ โลภะแทรกเข้ามาก็ได้ มีสองอย่างนะ ไม่เหมือนกัน

เนี่ยเราคอยรู้ทันไป อะไรเกิดขึ้นในจิตในใจเราคอยรู้คอยรู้ไป
โสมนัสเกิดขึ้นก็รู้ โทมนัสเกิดขึ้นก็รู้นะ
กุศลเกิดขึ้นก็รู้ โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นก็รู้
ฟุ้งซ่านหดหู่เกิดขึ้นก็รู้ ดีใจเสียใจเกิดขึ้นรู้ทันเรื่อย
การที่เราหัดรู้ทันสภาวะที่เกิดขึ้นในใจเนืองๆ ต่อไปจิตจำสภาวะแม่นนะสติจะเกิดเอง
สติจะเกิดเองเช่นพอความทุกข์เกิดขึ้น สติรู้ทันปั๊บเลย
จิตก็เข้าสู่ความเป็นกลาง ความทุกข์ดับทันทีเลย
หรือกิเลสเกิดขึ้น ทันทีที่สติระลึกรู้ว่ากิเลสเกิดขึ้นในใจ กิเลสจะดับทันทีเลย
เพราะอะไร เพราะกิเลสเกิดร่วมกับกุศลไม่ได้
เมื่อไหร่จิตมีสติ เมื่อนั้นจิตเป็นกุศล เมื่อไรจิตเป็นกุศลเมื่อนั้นกิเลสอยู่ไม่ได้เลย

เพราะงั้นอย่างพวกเราบางคนบอกเห็นกิเลสอยู่ทำไมมันไม่ดับ
สติจริงๆมันยังไม่เกิดหรอกนะ อะไรมันเกิดแทน
? โทสะมันเกิดแทน
อย่างเป็นต้นว่าเห็นใจที่เศร้าหมอง เห็นใจที่เศร้าหมอง เอ๊ะทำไมไม่หาย
ความจริงเกลียดมัน ใจมีโทสะนะ ใจไม่ชอบความเศร้าหมอง นี่เราไม่เห็นตัวนี้
งั้นสติไม่ได้เกิดหรอก แต่โทสะมันเกิดแทน อย่างนี้ไม่ดับหรอก
แต่ถ้าจิตใจเศร้าหมองอยู่ เรารู้ทัน รู้ด้วยความเป็นกลางจริงๆนะ
ความเศร้าหมองดับทันทีเลยนะ ความทุกข์ทางใจดับทันทีเลย

กิเลสใดๆเกิดขึ้นนะ ดับทันทีเลยถ้าสติระลึกได้
เมื่อใดสติเกิดขึ้นและดับกิเลสไปแล้วเนี่ย ศีลจะเกิดอัตโนมัติเลย
คนทำผิดศีลได้ก็เพราะว่ากิเลสมันครอบงำจิต

ถ้าสติเกิดนะ กิเลสมันจะดับไป
ถ้ากิเลสดับเนี่ย ศีลมันเกิดเอง
คนทำผิดศีลได้เพราะกิเลสมันครอบงำจิต
ไปฆ่าเค้า ไปตีเค้า ไปด่าเค้า ไปทำร้ายเค้า ให้ร้ายเค้า
อะไรอย่างนี้เพราะโทสะมันแทรก ถ้าไม่มีโทสะก็ไม่ทำอย่างนั้นหรอก
ไปขโมยเค้า ไปเป็นชู้เค้า ไปพูดจาล่อลวงเค้า อะไรอย่างนี้เพราะโลภะมันแทรก
งั้นถ้าเรามีสติจริงๆนะ รักษาจิตไปเรื่อย ศีลเราจะงดงามขึ้น

มีพวกเราหลายคนนะไปสารภาพกับหลวงพ่อนะ
ว่าแต่เดิมรักษาศีลไม่ค่อยได้หรอก กระพร่องกระแพร่ง
เรียนกับหลวงพ่อแล้วเดี๋ยวนี้รักษาศีลง่าย ใครรู้สึกอย่างนั้นไหม รักษาศีลง่ายขึ้น
รักษาง่ายเพราะสตินั่นเอง ศีลรักษาง่าย ไม่ใช่ของยากอะไร
ศีลนั้นทำให้กายวาจาเรียบร้อยนะ นี่เป็นคุณธรรมอันหนึ่ง
ทำให้กายวาจาเรียบร้อย ด้วยการรักษาใจให้ดีด้วยสติ

ศาลากาญจนาภิเษก (ศาลาลุงชิน)
วันอาทิตย์ ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554